กระทู้หลัก Link >>>
http://ppantip.com/topic/32995388
เที่ยวฮิโรชิม่า เกาะแห่งเทพเจ้ามิยาจิม่า ศาลเจ้าอิซึคุชิมา(มรดกโลก) Atomic Bomb Dome(มรดกโลก) สวนสันติภาพ และพิพิธภัณฑ์สงครามโลก
4 ธันวาคม 2557 : สวัสดีครับเพื่อนๆ ต่อจากตอนเดิมสำหรับทริปแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่น 7วัน จากฟูกุโอกะ ถึงโตเกียวนะครับ วันนี้เป็นวันแรกหลังจากนั่งเครื่องบินของ Jet Star อยู่ร่วมๆ 5-6ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงสนามบินฟูกุโอกะตอนเช้าตรู่ประมาณ 09.05 โมงเช้าครับ เร็วกว่ากำหนดการอยู่ประมาณ 20นาที ซึ่งสภาพอากาศในช่วงนั้นมีพายุเข้าพอดีครับ ทำให้เจอกับฝนตกปรอยๆ บวกกับอากาศที่ค่อนข้างหนาวเหน็บเลยทีเดียว พอเครื่องลงปุ๊ปก็จะมีรถวิ่งมารับไปยังอาคารผู้โดยสารขาเข้า โดยจะไม่มีงวงช้างมาต่อเหมือนสายการบิน Full Service อื่นครับ
ผมใช้เวลาในการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอยู่ประมาณ 30 นาที เนื่องจากเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินไม่ได้แจกใบ Arrival Card ให้ ทำให้ต้องมาเสียเวลากรอกที่หน้าตม.ครับ เจ้าหน้าที่ก็ทำงานกันรวดเร็วมาก ผมโดนถามนิดหน่อยประมาณว่าที่พักชื่ออะไร มากี่วัน กลับเมือไหร่ แต่เพื่อนที่มาพร้อมกันไม่โดนถามซักคำครับ ผมแนะนำเพื่อนให้พิมพ์เอกสาร Hotel Voucher ไปกันเหนียวครับ เผื่อเจอเจ้าหน้าที่เขี้ยวๆ
หลังจากผ่านด่านตม.ทั้งหมดแล้วก็ได้เวลาเข้าเมืองกันแล้วละครับ สำหรับเป้าหมายแรกของวันนี้ก็คือการนำใบ Change Order ที่ซื้อจากเมืองไทยมาแลกเป็น JR Rail Pass ที่ญี่ปุ่น สำหรับสนามบินฟูกุโอกะนั้นจะไม่มี JR Office อยู่ ซึ่งการจะแลกตั๋ว JR นี้ต้องเดินทางไปสถานีรถไฟฟ้า Hakata เท่านั้นครับ อยู่เลยจากสนามบินไปประมาณ 4-5 ป้ายรถเมล์เท่านั้นเอง เราสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินได้โดยนั่ง Shutter Bus จากอาคารระหว่างประเทศ ไปอาคารภายในประเทศครับ แต่ผมเลือกเดินทางโดยรถเมล์เนื่องจากไม่ต้องไปต่อรถให้เสียเวลา เราสามารถขึ้นที่หน้าอาคารระหว่างประเทศได้เลย โดยรถเมล์จะมีบริการทุกๆครึ่งชม.ครับ เดินออกจากสนามบินปุ๊ปเลี้ยวซ้ายไปยืนรอช่องหมายเลข 2 เลย(ไม่ได้ถ่ายรูปมานะครับ เพราะตอนเดินออกไป รถเมล์มาพอดี) สามารถรับบัตรที่ประตูขึ้นแล้วนำไปจ่ายที่ตู้ข้างคนขับรถตอนลงได้เลยครับ ค่าโดยสารคนละ 260 เยน
นั่งอยู่บนรถประมาณ 15 นาทีครับ ก็มาถึงสถานีรถไฟ Hakata ซึ่งเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฟูกุโอกะ เดี๊ยวเราจะเข้าไปหา JR Office ข้างในนี้ครับ
เจอแล้วครับ JR Office ตั้งอยู่ชั้น 1 นี่เอง คิวยาวใช้ได้เลย สำหรับแถวที่แลกตั๋ว JR แนะนำเพื่อนๆที่จะไปให้เผื่อเวลาจุดนี้ไว้ซัก 30นาทีเป็นอย่างน้อยนะครับ เพราะนอกจากคิวที่ยาวแล้ว นักท่องเที่ยวบางคนอาจจะถามเรื่องข้อมูลการท่องเที่ยวเยอะทำให้ใช้เวลานานเข้าไปอีกครับ ตอนนั้นเวลา 10.40 แล้ว ผมตั้งใจจะจองรถ Shinkansen ไปเมืองฮิโรชิม่า รอบ 11.09น. ทีแรกคิดว่าไม่ทันแล้ว แต่สุดท้ายก็ทันหวุดหวิดครับ แนะนำเพื่อนๆให้จดรายการรถไฟชิงคันเซ็นที่เราจะนั่งทั้งทริปไว้ แล้วให้เจ้าหน้าที่เค้า Reserve Seat ตอนนั้นเลยทีเดียวครับ ใช้เวลาแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น
แว๊บบบ ได้มาแล้วว JR Rail Pass หรือบัตรเบ่งครับ
มาถึงชานชลาเกือบไม่ทันครับ เนื่องจากสถานีใหญ่มาก ใช้เวลาเดินพอสมควรครับ รถไฟชิงคันเซ็นนี่ออกตรงเวลามากๆ คือถ้าเดินมาช้าไป 1นาทีนี่เรียกว่าหมดสิทธิได้ขึ้นแน่ๆครับ
มาแล้วครับเจ้ารถไฟหัวกระสุน
หลังจากนั่งรถไฟชิงคันเซ็นอยู่นานร่วมๆ 1ชั่วโมง ก็มาถึงที่สถานีฮิโรชิม่าเวลา 12.16น. ตรงเวลาเป๊ะเลยครับจากนั้นก็ทำการเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR สาย Sanyo เพื่อเดินทางจากสถานีฮิโรชิม่าไปยังสถานีมิยาจิมาคุจิ
รูปตอนยืนรอเปลี่ยนสายรถครับ เข้าคิวเป็นระเบียบมากๆ
นั่งรถไฟค่อนข้างนานพอสมควร คือรถไฟวิ่งเร็วมาก (น่าจะเร็วกว่า BTS บ้านเราซะอีก) แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลครับ อีกอย่างสถานีมิยาจิม่าอยู่ค่อนข้างจะปลายจังหวัดฮิโรชิม่าทำให้ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน ผมมาถึงที่สถานีมิยาจิมาคุจิเวลา 13.00 โมงตรงครับ พอเดินออกจากสถานีไปปุ๊ปก็จะเห็นป้ายนำทางไปท่าเรือทันที ซึ่งการเดินทางไปยังเกาะมิยาจิม่านี้นั้นต้องอาศัยเรือข้ามฝากเท่านั้น ซึ่งเราสามารถใช้บัตร JR Pass ขึ้นได้ฟรีเลยเนื่องจากเป็นเครือของ JR ครับ
เดินมาเรื่อยๆครับ ตามทางจะมีป้ายบอกตำแหน่งท่าเรือครับ และเราก็จะเห็นเรือเฟอรี่จอดรออยู่ไกลๆครับ
บรรยากาศบนเรือครับ นั่งเรือมาซักพักก็จะเห็นศาลเจ้าอิซึคุชิม่า ตั้งเด่นเป็นสง่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะมิยาจิม่านี้ครับ
โดยเรือนั้นจะมาจอดที่ท่าเรือของเกาะซึ่งจะอยู่ห่างจากจุดที่ศาลเจ้าอิซึคุชิม่าตั้งอยู่ประมาณ 1Km ดังนั้นเราจำเป็นต้องเดินผ่านซอยละลายทรัพย์ก่อน เข้าใจว่าเป็นหลักการตลาดครับ โดยซอยนี้มีของขายเยอะมาก ของกินน่าอร่อยๆทั้งนั้นเลย
หลังจากเดินอยู่นานพอสมควรก็มาถึงซักที ศาลเจ้าอิซึคุชิม่าซึ่งโดดเด่นด้วยเสาโทริอิขนาดใหญ่และยังได้รับเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมครับ
จังหวะที่ไปน้ำลงพอดีครับ ถือว่าโชคดีมากๆที่มีโอกาสเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดครับ แต่ถ้าใครอยากได้วิวตอนน้ำขึ้นพร้อมด้วยแบ๊กกราวเป็นพระอาทิตย์กำลังตกดินสีแดงๆส้มๆแล้วละก็ต้องมาช่วงเย็นๆหน่อยครับ
ระหว่างทางแถวนั้นจะเจอกับ “ฝูงกวางโหด” เดินมาหาของกินครับ ระวังโดนน้องกวางงับนิ้วนะทุกคน
บนเกาะนี้ยังมีกิจกรรมรวมทั้งสถานที่น่าสนใจอีกเยอะแยะมากมายครับ เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือ วัดชินโตสำคัญๆหลายแห่ง แต่ด้วยเวลาที่จำกัดผมจึงใช้เวลาที่เกาะนี้แค่ 1ชั่วโมงแล้วจึงเดินทางกลับตอนประมาณ 14.45 น. ครับ
ขากลับลองเดินผ่านถนนอีกเส้นเป็นเส้นคู่ขนาน จะผ่านกับซอยละลายทรัพย์ครับ ความหมายก็ตามภาพ
จากนั้นก็นั่งเรือข้ามฝากกลับมาที่สถานีมิยาจิมาคุจิอีกครั้ง
แล้วก็แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้อข้าวปั้นมารองท้องก่อนครับ ราคา 345 เยน หรือ ประมาณ 100บาท ทานหมดนี่รับรองความแน่นครับ
ผมเดินข้ามสะพานไปรอรถไฟ JR เพื่อนั่งกลับไปในเมือง โดยลงสถานี NISHIHIROSHIMA เพื่อเดินต่อไปขึ้นรถรางครับ คราวนี้เราจะไปเที่ยว Atomic Bomb Dome , สวนสันติภาพ, แล้วก็พิพิธภัณฑ์สงครามโลกหรือเรียกพิพิธภัณฑ์สันติภาพก็ได้ครับ ไปทีเดียวได้สถานที่สำคัญของเมืองนี้หลายที่เลย ถือว่าเป็น Highlight สำหรับคนที่มาเที่ยวฮิโรชิม่าที่ไม่ควรพลาดครับ
คราวนี้ต้องเปลี่ยนไปนั่งรถรางแทนแล้วครับ เนื่องจากเมืองฮิโรชิม่านั้นจะมีแต่รถไฟ JR กับรถรางเท่านั้น ไม่มีรถไฟใต้ดินเหมือนเมืองใหญ่ๆครับ โดยรถรางนั้นจะครอบคลุมสถานที่สำคัญๆในเมืองมากกว่ารถไฟ JR ส่วนค่ารถนั้น 160 Yen ตลอดสายครับ ขึ้นอยู่กับสายของรถด้วยนะครับบางสายก็คิดค่าโดยสารตามระยะทาง
แว๊บพอลงรถรางมาปุ๊ป หันไปอีกฝั่งของถนนก็จะเจอกับจุด Land Mark สำคัญทันทีครับ นั่นคือ Atomic Bomb Dome ที่ยังคงเหลือไว้จากสมัยสงครามโลกตั้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความหมายของเสรีภาพและความโหดร้ายของสงคราม
จากนั้นเวลา 16.00 ผมก็รีบเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์สงครามโลก เนื่องจากว่าประตูเข้านั้นจะปิดเวลา 16.30 ระหว่างทางก็จะต้องเดินผ่านสวนเสรีภาพครับ บรรยากาศดีมาก จะมีเด็กๆมาทัศนศึกษาค่อนข้างเยอะครับ รวมทั้งจิตกรก็จะใช้เวลามาวาดรูปวิวทิวทัศน์แถวนี้ด้วย
ระหว่างทางผ่านอนุเสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญจุดนึงของสวนสันติภาพนี้เลยทีเดียวครับ
โดยเด็กหญิงซาดาโกะหรือซะดะโกะ เป็นเด็กหญิงชาวญี่ปุ่น ที่อาศัยอยู่ใกล้กับสะพานมิซาสะในจังหวัดฮิโระชิมะ เธอมีอายุได้เพียงสองปี เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่ฮิโระชิมะ เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พ.ศ. 2488 แต่เธอรอดมาได้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 เมื่อมีอายุได้ 11 ปี ในขณะที่กำลังซ้อมวิ่งอยู่นั้น เธอรู้สึกมึนหัวแล้วล้มลง หลังเข้ารับการตรวจก็พบว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผลสืบเนื่องจากระเบิดนิวเคลียร์
เพื่อนของซะดะโกะได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตำนานที่ว่า ถ้าใครพับนกกระดาษได้ครบหนึ่งพันตัว จะได้สิ่งที่ตนต้องการ ซะดะโกะหวังว่านี่อาจช่วยให้เธอหายป่วยและกับมาวิ่งได้อีกครั้ง เธอใช้เวลา 14 เดือนในโรงพยาบาล และพับนกมากกว่า 1,300 ตัว ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 12 ปี (ในเรื่องเล่าที่ค่อนข้างแพร่หลายกล่าวว่าเธอพับนกได้แค่ 644 ตัวก่อนจะเสียชีวิต และเพื่อนของเธอพับนกให้เธอจนครบหนึ่งพันตัว และฝังนกเหล่านั้นพร้อมกับร่างของเธอ) ปัจจุบันที่ฐานอนุสาวรีย์ของเธอในบริเวณอนุสรณ์สถานสันติภาพ ฮิโระชิมะ ผู้คนจากทั่วโลกยังคงแวะเวียน นำพวงมาลัยนกกระเรียนกระดาษมาวางเพื่อระลึกถึงเธอ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม (ที่มา th.wikipedia.org)
เดินต่อมาเรื่อยๆก็จะถึงบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์สงครามโลกหรือ Peace Memorial Museumครับ ตรงนี้จะเป็นลานกว้างมากๆเลย บรรยากาศดีทีเดียวเลย ส่วนในรูปนี้เป็นทางเข้า Museumครับประตูด้านซ้ายมือ
[CR] Review วันที่ 1 เที่ยวฮิโรชิม่า ศาลเจ้าอิซึคุชิมา Atomic Bomb Dome สวนสันติภาพ และพิพิธภัณฑ์สงครามโลก
เที่ยวฮิโรชิม่า เกาะแห่งเทพเจ้ามิยาจิม่า ศาลเจ้าอิซึคุชิมา(มรดกโลก) Atomic Bomb Dome(มรดกโลก) สวนสันติภาพ และพิพิธภัณฑ์สงครามโลก
4 ธันวาคม 2557 : สวัสดีครับเพื่อนๆ ต่อจากตอนเดิมสำหรับทริปแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่น 7วัน จากฟูกุโอกะ ถึงโตเกียวนะครับ วันนี้เป็นวันแรกหลังจากนั่งเครื่องบินของ Jet Star อยู่ร่วมๆ 5-6ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงสนามบินฟูกุโอกะตอนเช้าตรู่ประมาณ 09.05 โมงเช้าครับ เร็วกว่ากำหนดการอยู่ประมาณ 20นาที ซึ่งสภาพอากาศในช่วงนั้นมีพายุเข้าพอดีครับ ทำให้เจอกับฝนตกปรอยๆ บวกกับอากาศที่ค่อนข้างหนาวเหน็บเลยทีเดียว พอเครื่องลงปุ๊ปก็จะมีรถวิ่งมารับไปยังอาคารผู้โดยสารขาเข้า โดยจะไม่มีงวงช้างมาต่อเหมือนสายการบิน Full Service อื่นครับ
ผมใช้เวลาในการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอยู่ประมาณ 30 นาที เนื่องจากเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินไม่ได้แจกใบ Arrival Card ให้ ทำให้ต้องมาเสียเวลากรอกที่หน้าตม.ครับ เจ้าหน้าที่ก็ทำงานกันรวดเร็วมาก ผมโดนถามนิดหน่อยประมาณว่าที่พักชื่ออะไร มากี่วัน กลับเมือไหร่ แต่เพื่อนที่มาพร้อมกันไม่โดนถามซักคำครับ ผมแนะนำเพื่อนให้พิมพ์เอกสาร Hotel Voucher ไปกันเหนียวครับ เผื่อเจอเจ้าหน้าที่เขี้ยวๆ
หลังจากผ่านด่านตม.ทั้งหมดแล้วก็ได้เวลาเข้าเมืองกันแล้วละครับ สำหรับเป้าหมายแรกของวันนี้ก็คือการนำใบ Change Order ที่ซื้อจากเมืองไทยมาแลกเป็น JR Rail Pass ที่ญี่ปุ่น สำหรับสนามบินฟูกุโอกะนั้นจะไม่มี JR Office อยู่ ซึ่งการจะแลกตั๋ว JR นี้ต้องเดินทางไปสถานีรถไฟฟ้า Hakata เท่านั้นครับ อยู่เลยจากสนามบินไปประมาณ 4-5 ป้ายรถเมล์เท่านั้นเอง เราสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินได้โดยนั่ง Shutter Bus จากอาคารระหว่างประเทศ ไปอาคารภายในประเทศครับ แต่ผมเลือกเดินทางโดยรถเมล์เนื่องจากไม่ต้องไปต่อรถให้เสียเวลา เราสามารถขึ้นที่หน้าอาคารระหว่างประเทศได้เลย โดยรถเมล์จะมีบริการทุกๆครึ่งชม.ครับ เดินออกจากสนามบินปุ๊ปเลี้ยวซ้ายไปยืนรอช่องหมายเลข 2 เลย(ไม่ได้ถ่ายรูปมานะครับ เพราะตอนเดินออกไป รถเมล์มาพอดี) สามารถรับบัตรที่ประตูขึ้นแล้วนำไปจ่ายที่ตู้ข้างคนขับรถตอนลงได้เลยครับ ค่าโดยสารคนละ 260 เยน
นั่งอยู่บนรถประมาณ 15 นาทีครับ ก็มาถึงสถานีรถไฟ Hakata ซึ่งเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฟูกุโอกะ เดี๊ยวเราจะเข้าไปหา JR Office ข้างในนี้ครับ
เจอแล้วครับ JR Office ตั้งอยู่ชั้น 1 นี่เอง คิวยาวใช้ได้เลย สำหรับแถวที่แลกตั๋ว JR แนะนำเพื่อนๆที่จะไปให้เผื่อเวลาจุดนี้ไว้ซัก 30นาทีเป็นอย่างน้อยนะครับ เพราะนอกจากคิวที่ยาวแล้ว นักท่องเที่ยวบางคนอาจจะถามเรื่องข้อมูลการท่องเที่ยวเยอะทำให้ใช้เวลานานเข้าไปอีกครับ ตอนนั้นเวลา 10.40 แล้ว ผมตั้งใจจะจองรถ Shinkansen ไปเมืองฮิโรชิม่า รอบ 11.09น. ทีแรกคิดว่าไม่ทันแล้ว แต่สุดท้ายก็ทันหวุดหวิดครับ แนะนำเพื่อนๆให้จดรายการรถไฟชิงคันเซ็นที่เราจะนั่งทั้งทริปไว้ แล้วให้เจ้าหน้าที่เค้า Reserve Seat ตอนนั้นเลยทีเดียวครับ ใช้เวลาแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น
แว๊บบบ ได้มาแล้วว JR Rail Pass หรือบัตรเบ่งครับ
มาถึงชานชลาเกือบไม่ทันครับ เนื่องจากสถานีใหญ่มาก ใช้เวลาเดินพอสมควรครับ รถไฟชิงคันเซ็นนี่ออกตรงเวลามากๆ คือถ้าเดินมาช้าไป 1นาทีนี่เรียกว่าหมดสิทธิได้ขึ้นแน่ๆครับ
มาแล้วครับเจ้ารถไฟหัวกระสุน
หลังจากนั่งรถไฟชิงคันเซ็นอยู่นานร่วมๆ 1ชั่วโมง ก็มาถึงที่สถานีฮิโรชิม่าเวลา 12.16น. ตรงเวลาเป๊ะเลยครับจากนั้นก็ทำการเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR สาย Sanyo เพื่อเดินทางจากสถานีฮิโรชิม่าไปยังสถานีมิยาจิมาคุจิ
รูปตอนยืนรอเปลี่ยนสายรถครับ เข้าคิวเป็นระเบียบมากๆ
นั่งรถไฟค่อนข้างนานพอสมควร คือรถไฟวิ่งเร็วมาก (น่าจะเร็วกว่า BTS บ้านเราซะอีก) แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลครับ อีกอย่างสถานีมิยาจิม่าอยู่ค่อนข้างจะปลายจังหวัดฮิโรชิม่าทำให้ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน ผมมาถึงที่สถานีมิยาจิมาคุจิเวลา 13.00 โมงตรงครับ พอเดินออกจากสถานีไปปุ๊ปก็จะเห็นป้ายนำทางไปท่าเรือทันที ซึ่งการเดินทางไปยังเกาะมิยาจิม่านี้นั้นต้องอาศัยเรือข้ามฝากเท่านั้น ซึ่งเราสามารถใช้บัตร JR Pass ขึ้นได้ฟรีเลยเนื่องจากเป็นเครือของ JR ครับ
เดินมาเรื่อยๆครับ ตามทางจะมีป้ายบอกตำแหน่งท่าเรือครับ และเราก็จะเห็นเรือเฟอรี่จอดรออยู่ไกลๆครับ
บรรยากาศบนเรือครับ นั่งเรือมาซักพักก็จะเห็นศาลเจ้าอิซึคุชิม่า ตั้งเด่นเป็นสง่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะมิยาจิม่านี้ครับ
โดยเรือนั้นจะมาจอดที่ท่าเรือของเกาะซึ่งจะอยู่ห่างจากจุดที่ศาลเจ้าอิซึคุชิม่าตั้งอยู่ประมาณ 1Km ดังนั้นเราจำเป็นต้องเดินผ่านซอยละลายทรัพย์ก่อน เข้าใจว่าเป็นหลักการตลาดครับ โดยซอยนี้มีของขายเยอะมาก ของกินน่าอร่อยๆทั้งนั้นเลย
หลังจากเดินอยู่นานพอสมควรก็มาถึงซักที ศาลเจ้าอิซึคุชิม่าซึ่งโดดเด่นด้วยเสาโทริอิขนาดใหญ่และยังได้รับเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมครับ
จังหวะที่ไปน้ำลงพอดีครับ ถือว่าโชคดีมากๆที่มีโอกาสเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดครับ แต่ถ้าใครอยากได้วิวตอนน้ำขึ้นพร้อมด้วยแบ๊กกราวเป็นพระอาทิตย์กำลังตกดินสีแดงๆส้มๆแล้วละก็ต้องมาช่วงเย็นๆหน่อยครับ
ระหว่างทางแถวนั้นจะเจอกับ “ฝูงกวางโหด” เดินมาหาของกินครับ ระวังโดนน้องกวางงับนิ้วนะทุกคน
บนเกาะนี้ยังมีกิจกรรมรวมทั้งสถานที่น่าสนใจอีกเยอะแยะมากมายครับ เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือ วัดชินโตสำคัญๆหลายแห่ง แต่ด้วยเวลาที่จำกัดผมจึงใช้เวลาที่เกาะนี้แค่ 1ชั่วโมงแล้วจึงเดินทางกลับตอนประมาณ 14.45 น. ครับ
ขากลับลองเดินผ่านถนนอีกเส้นเป็นเส้นคู่ขนาน จะผ่านกับซอยละลายทรัพย์ครับ ความหมายก็ตามภาพ
จากนั้นก็นั่งเรือข้ามฝากกลับมาที่สถานีมิยาจิมาคุจิอีกครั้ง
แล้วก็แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้อข้าวปั้นมารองท้องก่อนครับ ราคา 345 เยน หรือ ประมาณ 100บาท ทานหมดนี่รับรองความแน่นครับ
ผมเดินข้ามสะพานไปรอรถไฟ JR เพื่อนั่งกลับไปในเมือง โดยลงสถานี NISHIHIROSHIMA เพื่อเดินต่อไปขึ้นรถรางครับ คราวนี้เราจะไปเที่ยว Atomic Bomb Dome , สวนสันติภาพ, แล้วก็พิพิธภัณฑ์สงครามโลกหรือเรียกพิพิธภัณฑ์สันติภาพก็ได้ครับ ไปทีเดียวได้สถานที่สำคัญของเมืองนี้หลายที่เลย ถือว่าเป็น Highlight สำหรับคนที่มาเที่ยวฮิโรชิม่าที่ไม่ควรพลาดครับ
คราวนี้ต้องเปลี่ยนไปนั่งรถรางแทนแล้วครับ เนื่องจากเมืองฮิโรชิม่านั้นจะมีแต่รถไฟ JR กับรถรางเท่านั้น ไม่มีรถไฟใต้ดินเหมือนเมืองใหญ่ๆครับ โดยรถรางนั้นจะครอบคลุมสถานที่สำคัญๆในเมืองมากกว่ารถไฟ JR ส่วนค่ารถนั้น 160 Yen ตลอดสายครับ ขึ้นอยู่กับสายของรถด้วยนะครับบางสายก็คิดค่าโดยสารตามระยะทาง
แว๊บพอลงรถรางมาปุ๊ป หันไปอีกฝั่งของถนนก็จะเจอกับจุด Land Mark สำคัญทันทีครับ นั่นคือ Atomic Bomb Dome ที่ยังคงเหลือไว้จากสมัยสงครามโลกตั้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความหมายของเสรีภาพและความโหดร้ายของสงคราม
จากนั้นเวลา 16.00 ผมก็รีบเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์สงครามโลก เนื่องจากว่าประตูเข้านั้นจะปิดเวลา 16.30 ระหว่างทางก็จะต้องเดินผ่านสวนเสรีภาพครับ บรรยากาศดีมาก จะมีเด็กๆมาทัศนศึกษาค่อนข้างเยอะครับ รวมทั้งจิตกรก็จะใช้เวลามาวาดรูปวิวทิวทัศน์แถวนี้ด้วย
ระหว่างทางผ่านอนุเสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญจุดนึงของสวนสันติภาพนี้เลยทีเดียวครับ
โดยเด็กหญิงซาดาโกะหรือซะดะโกะ เป็นเด็กหญิงชาวญี่ปุ่น ที่อาศัยอยู่ใกล้กับสะพานมิซาสะในจังหวัดฮิโระชิมะ เธอมีอายุได้เพียงสองปี เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่ฮิโระชิมะ เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พ.ศ. 2488 แต่เธอรอดมาได้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 เมื่อมีอายุได้ 11 ปี ในขณะที่กำลังซ้อมวิ่งอยู่นั้น เธอรู้สึกมึนหัวแล้วล้มลง หลังเข้ารับการตรวจก็พบว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผลสืบเนื่องจากระเบิดนิวเคลียร์
เพื่อนของซะดะโกะได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตำนานที่ว่า ถ้าใครพับนกกระดาษได้ครบหนึ่งพันตัว จะได้สิ่งที่ตนต้องการ ซะดะโกะหวังว่านี่อาจช่วยให้เธอหายป่วยและกับมาวิ่งได้อีกครั้ง เธอใช้เวลา 14 เดือนในโรงพยาบาล และพับนกมากกว่า 1,300 ตัว ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 12 ปี (ในเรื่องเล่าที่ค่อนข้างแพร่หลายกล่าวว่าเธอพับนกได้แค่ 644 ตัวก่อนจะเสียชีวิต และเพื่อนของเธอพับนกให้เธอจนครบหนึ่งพันตัว และฝังนกเหล่านั้นพร้อมกับร่างของเธอ) ปัจจุบันที่ฐานอนุสาวรีย์ของเธอในบริเวณอนุสรณ์สถานสันติภาพ ฮิโระชิมะ ผู้คนจากทั่วโลกยังคงแวะเวียน นำพวงมาลัยนกกระเรียนกระดาษมาวางเพื่อระลึกถึงเธอ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม (ที่มา th.wikipedia.org)
เดินต่อมาเรื่อยๆก็จะถึงบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์สงครามโลกหรือ Peace Memorial Museumครับ ตรงนี้จะเป็นลานกว้างมากๆเลย บรรยากาศดีทีเดียวเลย ส่วนในรูปนี้เป็นทางเข้า Museumครับประตูด้านซ้ายมือ