จากที่ใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมา 36 ปี ผมขอเขียนความเห็นเกี่ยวกับความรักของคนเรามันมีความคิดเกี่ยวกับอารมณ์รักในแต่ละช่วงวัยแตกต่าง
วัย 8-11 ปี - สถานีต้นทาง ความรักจะออกแนวแอบชอบไม่กล้าบอก กลัวเพื่อนล้อ ( เริ่มสัก 8 ขวบล่ะกันเนอะ เด็กกว่านี้ผมว่ามันเลอะเทอะ)
วัย 12-16 ปี - สถานีที่ 2 ความรักจะออกแนวกลัวๆ กล้าๆ อยากบอกเพราะอยากมีแฟน แต่กลัวเค้าจะปฏิเสธ ประมาณว่ากลัวหน้าแหกว่างั้นเถอะ ถ้าใครใจกล้าก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน
กันไป
วัย 17-22 ปี - รถไฟออกตัวได้ซักพักก็เป็นช่วงเริ่มวาดอนาคต มีฝัน เป็นวัยที่ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ดังนั้นก็จะพยายามเลือกคนที่จะมาเติมเต็มความฝัน หรือเอาแบบเดินไปตามฝัน
ด้วยกัน รักในช่วงวัยนี้ดูเหมือนจะจริงจัง แต่ก็มีหลายๆ คู่ที่จบจากมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงาน กลับไปกันไม่ได้ หรือไม่มีเวลาให้กันเหมือนเดิม จากที่เคยเดินตัวติดกัน
โทรศัพท์หากันวันละแปดหน หนละชั่วโมง ก็จะไป Focus ที่งาน ถ้าใครได้คนรักที่เข้าใจ ผูกพันกันพอ ความรักก็จะยาวไปจนถึงการใช้ชีวิตคู่
วัย 23-29 ปี - สถานีนี้ ขอใช้คำว่า วัยระเริงเถอะครับ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เป็นวัยที่หาเงินด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องใช้เงิน พ่อ แม่ ดังนั้น จะมีความนับถือในตัวเองสูงขึ้น พฤติกรรมก็จะเริ่ม
เปลี่ยนไป ตามแต่นิสัยพื้นฐานเดิมของแต่ละมนุษย์ ดังนั้นช่วงนี้จะเฮฮา ปาร์ตี้กันสนั่น มีโอกาส พบปะ ผู้คนใหม่ๆ ความรักเปลี่ยนกันได้บ่อย เหมือนเปลี่ยนร้านกินข้าว
เพราะคิดว่าอายุยังน้อย ไม่ต้องรีบร้อน
วัย 30-34 ปี - ใกล้ถึงสถานนีปลายทาง วัยเปลี่ยนเลขนี่น่าจะสำคัญทั้งชาย หญิง แต่ผมว่าผู้หญิงจะเป็นเยอะกว่า ช่วงนี้ถ้าผู้หญิงคนไหนมีแฟนอยู่ อารมณ์จริงจังจะสูง เล้าหรือจะแต่งงาน
กันได้แทบทุกครั้งที่เจอหน้าล่ะคุณ คือผมเข้าใจนะว่ามันเป็นอาการของคนที่จะเปลี่ยนเลข ส่วนไอ้ที่ไม่มีในมือ ก็เร่งมือหากันน่าดู ประเภทว่าคว้าไว้ก่อน ดี เลว เดี๋ยวค่อย
ว่ากัน ก็มีเยอะ ดังนั้น ถ้าผู้หญิงคนไหนตกอยู่ใน mode นี้และเอาไอ้ที่คว้าจับได้มาแต่งงานด้วยในช่วงนี้ ไม่ต้องหมอลักษณ์หรอกครับ ผมก็ฟันธงให้ว่ามีโอกาสเลิกกัน
สูงถึง 75% ไอ้ 25% ทีเหลือทิ้งไว้สำหรับพวกรักแรกพบ เผื่อมันจะมีจริง 555 ส่วนผู้ชายในช่วงอายุนี้ จะไม่ค่อยเร่งร้อนเท่าผู้หญิง ถ้ามีแฟนอยู่ก็มักจะขอทำงานเก็บเงิน
ให้พร้อมก่อน แต่ถ้าไม่มีแฟนก็อาจจะพยายามหา แต่ก็ไม่ดิ้นรน ถ้าเจอก็มักจะบอกตัวเองว่า ดูๆ ไปก่อนเรายังต้องใช้เวลาดูใจกัน
วัย 35-39 ปี - ตายห่า ใกล้จะต้องลงจากรถไฟแล้วนี่หว่า อารมณ์รักของวัยนี้จะใกล้เคียงกันทั้งชายและหญิง เพราะเป็นสถานีเกือบสุดท้ายแล้ว ใครคบกันมาลากยาวถึงช่วงอายุนี้ก็
แต่งงานกันเกือบ 100% หรือถ้าเพิ่งมาคบกันในช่วงวัยนี้ จะคบกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย อาจจะเพราะประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาทำให้รู้จักให้อภัยในหลายๆ เรื่องได้
ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าใครมาเริ่มคบกันในวัยนี้ส่วนใหญ่จะได้ใช้ชีวิตคู่กัน
วัย 40-45 ปี - สถานีสุดท้ายแล้วล่ะผมว่า คือถ้าเลยช่วงวัยนี้ไปก็แต่งงานกันแบบเอามันส์อย่างเดียวแล้ว ลูกเต้าคงไม่ต้องคิดมีกัน เพราะแก่เกินกว่าจะมามีลูกเล็กๆ แล้ว ดังนั้นความ
รักของสถานีสุดท้ายนี้ มักจะเป็นความรักที่เป็นจริงเป็นจัง และรวดเร็วประมาณว่านับกันเป็นเดือน น่าจะได้ และมักจะวางแผนชีวิตกันระยะยาว อาจจะเป็นเพราะหน้าที่
การงานพร้อม และวัยนี้ก็ไม่มีอาการรักกันหวือหวาเหมือนวัยรุ่นแล้ว
เอาล่ะวัยหลังจาก 45 ไป ผมขอไม่กล่าวถึงดีกว่า คือคนโสดที่เหลือเลยเถิดมาขนาดนี้นี่ คงมีทั้งโสดแท้ โสดแบบเคยแต่งงาน โสดแบบเคยใช้ชีวิตคู่ แต่อาการก็คงใกล้ๆ กับวัยสถานีสุดท้ายที่ผมได้กล่าวมาครับ
ความรักในแต่ละช่วงวัยย่อมแตกต่างกัน คุณว่ามั้ย?
วัย 8-11 ปี - สถานีต้นทาง ความรักจะออกแนวแอบชอบไม่กล้าบอก กลัวเพื่อนล้อ ( เริ่มสัก 8 ขวบล่ะกันเนอะ เด็กกว่านี้ผมว่ามันเลอะเทอะ)
วัย 12-16 ปี - สถานีที่ 2 ความรักจะออกแนวกลัวๆ กล้าๆ อยากบอกเพราะอยากมีแฟน แต่กลัวเค้าจะปฏิเสธ ประมาณว่ากลัวหน้าแหกว่างั้นเถอะ ถ้าใครใจกล้าก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตน
กันไป
วัย 17-22 ปี - รถไฟออกตัวได้ซักพักก็เป็นช่วงเริ่มวาดอนาคต มีฝัน เป็นวัยที่ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ดังนั้นก็จะพยายามเลือกคนที่จะมาเติมเต็มความฝัน หรือเอาแบบเดินไปตามฝัน
ด้วยกัน รักในช่วงวัยนี้ดูเหมือนจะจริงจัง แต่ก็มีหลายๆ คู่ที่จบจากมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงาน กลับไปกันไม่ได้ หรือไม่มีเวลาให้กันเหมือนเดิม จากที่เคยเดินตัวติดกัน
โทรศัพท์หากันวันละแปดหน หนละชั่วโมง ก็จะไป Focus ที่งาน ถ้าใครได้คนรักที่เข้าใจ ผูกพันกันพอ ความรักก็จะยาวไปจนถึงการใช้ชีวิตคู่
วัย 23-29 ปี - สถานีนี้ ขอใช้คำว่า วัยระเริงเถอะครับ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เป็นวัยที่หาเงินด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องใช้เงิน พ่อ แม่ ดังนั้น จะมีความนับถือในตัวเองสูงขึ้น พฤติกรรมก็จะเริ่ม
เปลี่ยนไป ตามแต่นิสัยพื้นฐานเดิมของแต่ละมนุษย์ ดังนั้นช่วงนี้จะเฮฮา ปาร์ตี้กันสนั่น มีโอกาส พบปะ ผู้คนใหม่ๆ ความรักเปลี่ยนกันได้บ่อย เหมือนเปลี่ยนร้านกินข้าว
เพราะคิดว่าอายุยังน้อย ไม่ต้องรีบร้อน
วัย 30-34 ปี - ใกล้ถึงสถานนีปลายทาง วัยเปลี่ยนเลขนี่น่าจะสำคัญทั้งชาย หญิง แต่ผมว่าผู้หญิงจะเป็นเยอะกว่า ช่วงนี้ถ้าผู้หญิงคนไหนมีแฟนอยู่ อารมณ์จริงจังจะสูง เล้าหรือจะแต่งงาน
กันได้แทบทุกครั้งที่เจอหน้าล่ะคุณ คือผมเข้าใจนะว่ามันเป็นอาการของคนที่จะเปลี่ยนเลข ส่วนไอ้ที่ไม่มีในมือ ก็เร่งมือหากันน่าดู ประเภทว่าคว้าไว้ก่อน ดี เลว เดี๋ยวค่อย
ว่ากัน ก็มีเยอะ ดังนั้น ถ้าผู้หญิงคนไหนตกอยู่ใน mode นี้และเอาไอ้ที่คว้าจับได้มาแต่งงานด้วยในช่วงนี้ ไม่ต้องหมอลักษณ์หรอกครับ ผมก็ฟันธงให้ว่ามีโอกาสเลิกกัน
สูงถึง 75% ไอ้ 25% ทีเหลือทิ้งไว้สำหรับพวกรักแรกพบ เผื่อมันจะมีจริง 555 ส่วนผู้ชายในช่วงอายุนี้ จะไม่ค่อยเร่งร้อนเท่าผู้หญิง ถ้ามีแฟนอยู่ก็มักจะขอทำงานเก็บเงิน
ให้พร้อมก่อน แต่ถ้าไม่มีแฟนก็อาจจะพยายามหา แต่ก็ไม่ดิ้นรน ถ้าเจอก็มักจะบอกตัวเองว่า ดูๆ ไปก่อนเรายังต้องใช้เวลาดูใจกัน
วัย 35-39 ปี - ตายห่า ใกล้จะต้องลงจากรถไฟแล้วนี่หว่า อารมณ์รักของวัยนี้จะใกล้เคียงกันทั้งชายและหญิง เพราะเป็นสถานีเกือบสุดท้ายแล้ว ใครคบกันมาลากยาวถึงช่วงอายุนี้ก็
แต่งงานกันเกือบ 100% หรือถ้าเพิ่งมาคบกันในช่วงวัยนี้ จะคบกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย อาจจะเพราะประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาทำให้รู้จักให้อภัยในหลายๆ เรื่องได้
ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าใครมาเริ่มคบกันในวัยนี้ส่วนใหญ่จะได้ใช้ชีวิตคู่กัน
วัย 40-45 ปี - สถานีสุดท้ายแล้วล่ะผมว่า คือถ้าเลยช่วงวัยนี้ไปก็แต่งงานกันแบบเอามันส์อย่างเดียวแล้ว ลูกเต้าคงไม่ต้องคิดมีกัน เพราะแก่เกินกว่าจะมามีลูกเล็กๆ แล้ว ดังนั้นความ
รักของสถานีสุดท้ายนี้ มักจะเป็นความรักที่เป็นจริงเป็นจัง และรวดเร็วประมาณว่านับกันเป็นเดือน น่าจะได้ และมักจะวางแผนชีวิตกันระยะยาว อาจจะเป็นเพราะหน้าที่
การงานพร้อม และวัยนี้ก็ไม่มีอาการรักกันหวือหวาเหมือนวัยรุ่นแล้ว
เอาล่ะวัยหลังจาก 45 ไป ผมขอไม่กล่าวถึงดีกว่า คือคนโสดที่เหลือเลยเถิดมาขนาดนี้นี่ คงมีทั้งโสดแท้ โสดแบบเคยแต่งงาน โสดแบบเคยใช้ชีวิตคู่ แต่อาการก็คงใกล้ๆ กับวัยสถานีสุดท้ายที่ผมได้กล่าวมาครับ