โชคดีที่ผมไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปมากนัก.. การไปญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาของผมจึงไม่ได้วางแผนให้เจอสิ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยใฝ่หากันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟใหญ่แดงใน Asakusa พระใหญ่เขียวใน Kamakura หรือตึกน่ารักๆใน Yokohama และอื่นๆที่ผมไม่รู้จัก
ผมกล้าใช้คำว่า ‘โชคดี’ เพราะผมได้ไปพบเจอสิ่งที่ตรงกับ ‘ความต้องการในส่วนลึก’ ของการไปโตเกียว 5 วัน 5 คืนในครั้งนี้ ความต้องการนั้นคือการได้ ‘พักผ่อน’ อย่างแท้จริง ร่างกายและจิตใจของผมต้องการพักผ่อนอยู่เรื่อยๆ แม้ในระหว่างไปท่องเที่ยวต่างแดนก็ตาม ที่นั่นคือโรงแรมเก่าๆแต่เก๋ามากชื่อว่า Manza Prince Hotel ตั้งอยู่บนบริเวณยอดเขาสูงมากใจกลางเกาะญี่ปุ่นชื่อว่า Manza (นั่งชินคังเซน 50 นาทีจากโตเกียว ต่อรถ Shuttle Bus ของโรงแรมขึ้นดอยไปอีก 90 นาที)
เมื่อมาถึงโรงแรม คุณ Masami Honma เจ้าหน้าที่ต้อนรับวัยราวๆ 50 ถามผมด้วยภาษาอังกฤษที่ไพเราะว่า ‘พวกคุณรู้จักโรงแรมนี้ได้อย่างไร?’ (คุณ Masami น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้เสนาะหูที่สุดคนนึงในเกาะญี่ปุ่นตั้งแต่ Sapporo ยัน Okinawa) ผมตอบว่า ‘อะโกด้า’ และคุณ Masami ก็ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงออกมาว่า ‘คุณคือแขกจากประเทศไทยกลุ่มที่ 2 ตั้งแต่โรงแรมนี้เปิดมาเป็นสิบๆปี โดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มข้าราชการ’
ผมเลือกโรงแรมนี้เพราะข้อเสนอด้านราคาที่งดงามสำหรับคนมัธยัสถ์งบประมาณน้อยอย่างผม โดยเบ็ดเสร็จแล้วค่าโรงแรม + ออนเซ็น อยู่ที่ 1,200 บาทต่อคนเพียงเท่านั้น ส่วน Shuttle Bus ไปกลับนั้นโรงแรมแถมให้ฟรีพร้อมวิวต้นไม้ผลัดสีที่มีหิมะกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ (โดยมีเงื่อนไขว่าจะไปรับตอนเช้า 10.30 น. หรือ 13.30 น. เท่านั้นนะ ถ้าตกรถก็ต้องนั่ง Local Bus แสนแพงมาเอง.. แพงกว่าค่าโรงแรมละกัน)
จากรูปด้านบน จะเห็นได้ว่าพอออกจากสถานี Karuizawa (จุดแดง) จะต้องเดินทางมายังจุดจอดรอของ Shuttle Bus อีกพอสมควร แต่ถ้าอ่านข้อความบนรูปรถ จะเห็นได้ว่ามันจอดอยู่ที่ South Exit ของสถานี Karuizawa เท่านั้นเอง ดังนั้นการทรานสิตในจุดนี้ไม่ลำบากอะไรเลย (แต่ในกรณีของผมนั้น
จำเวลารถออกเป็น 14.00 น. ซึ่งเป็นความจำที่ผิด! และขบวนรถไฟชินกังเซนที่นั่งมาก็บอกเวลาว่าจะถึงตอน 13.30 น.ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ Shuttle Bus จะออก ผมก็เลยต้องหายื้มโทรศัพท์คนญี่ปุ่นโทรไปอ้อนวอนเจ้าหน้าที่โรงแรมให้ไปอ้อนวอนพนักงานขับรถอีกทีให้รอผม 5 นาที ครั้งแรกคนขับไม่ยอม ครั้งที่สองจึงยอมใจอ่อนโชคยังดีที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตามนั้น)
การเดินทางจาก Tokyo ไปยัง Karuizawa Station นั้นเกิดขึ้นเพราะ Kanto Pass แท้ๆ เพราะผมมองว่า ไหนๆก็เหมาจ่ายไปตั้ง 3 วันแล้ว ลองกระแดะนั่งชินกังเซนไปที่ไกลๆให้เลือดสูบฉีดกันสักหน่อยท่าจะดี (ตอนที่แพลนทริปเห็นข้อมูลว่าคนเค้านั่งไป Nikko กัน พอเปิดดูรูปใน Pantip + Google แล้วเลยพบว่า การแสวงบุญไม่ใช่หนทางของทริปในช่วง 50 ปีที่จะถึงนี้ของผม..)
เมือง Karuizawa
ลองนึกภาพตามสักนิดนะครับ (บอกแล้วว่าไม่ได้ชอบถ่ายรูปมากนัก) พอขบวนรถไฟมันกำลังจะจอดที่ชานชาลาสถานี Karuizawa ภาพที่ผมเห็นแล้วเฮ้ยๆเลย เพราะนั่นคือ ภาพคนบนเนินเขากำลังเล่นสกีครับ!! ตกใจมากเพราะตลอดทางที่นั่งมานั้นไม่เห็นจะเห็นหิมะสักอะตอมเลย นั่นหมายความว่า 1.ที่นี่หิมะตกแล้ว 2.หิมะตกพอให้เล่าสกีได้ก่อนเดือนธันวาคม (เค้าเรียกว่า Autumn Ski ว้าวๆๆ) และที่สำคัญคือ ข้างๆที่เค้าเล่นสกีกันมันเป็น Outlet ใหญ่อลังการมาก ถ้าเทียบกับที่เมืองไทยน่าจะประมาณว่า ลงจากหลังช้างที่ อ.แม่แตง แล้วเดินเข้าพาราก้อนอะไรอย่างนั้น
(รูปก้อปมาจากอินเตอร์เนตครับ)
เรื่องช๊อปนั้นผมไม่ค่อยถนัด แต่คนที่ถนัดช๊อปที่ไปด้วยกันมานบอกว่าของลดเยอะมาก แบรนด์ที่ใช่ๆก็ยังลดถึง 70% ให้เวลาช๊อปแค่ 2 ชม.นั้นโหดร้ายมากเพราะเดินไปได้แค่ครึ่งเดียวของทั้ง Outlet มีแบรนด์อะไรมั่งนั้นไปดูกันเองตามลิ้งค์นี้ครับ
http://www.karuizawa-psp.jp.e.kd.hp.transer.com/web/translation/
ผมขอแนะนำให้บรรจุทริป ‘KaruManza’ นี้เข้าไปอยู่ในแผนการเดินทางด้วยนะครับ.. KaruManza คือคำผสมที่ผมนำมาผสมเองให้มันฟังดูมีอะไร หาใน Hyperdia คงไม่เจอ สาเหตุหลักที่ผมต้องเอา Manza เข้ามาเป็นส่วนสำคัญก็เพราะมันคือ ‘สถานที่พักผ่อน’ อย่างแท้จริง ไม่ใช่เฉพาะผม แต่โรงแรมนี้คือสถานที่พักผ่อนของคนญี่ปุ่นมานานแล้ว!! (สังเกตได้จากอายุเฉลี่ยของผู้เข้าพักที่พี๊คมาก) เริ่มที่ Onsen ซึ่งเป็นไฮไลท์กันก่อนนะครับ
ลองคิดดูนะครับ..
1. มาญี่ปุ่นทั้งที ถ้าไม่ได้มาแช่ออนเซ็น เสียเที่ยวไหม? (เสียสิ)
2. แล้วถ้าเรามีโอกาสเลือกสถานที่แช่ออนเซ็น ระหว่างในโรงอาบน้ำทั่วไปใต้ฝ้าเพดาน กับบ่ออแบบ outdoor ใต้ฟ้างาม เราจะเลือกอันไหน? (อันหลังสิ)
3. และถ้าเรารู้ว่า มันมีออนเซ็นแบบ outdoor ที่วิวโคตระสวยแถมอากาศโคตระดีแบบในหนังเรื่อง The Sound of Music เราอยากจะไปไหมล่ะ? (อยากจิ)
4. และยิ่งถ้าเราได้รู้ว่า น้ำออนเซ็นที่มีแร่ sulfur อยู่มากจนน้ำกลายเป็นสีขาวนั้นทำให้ผิวของเราเต่งตึง เราจะพลาดโอกาสนี้ได้ด้วยเหรอ? (ยังงัยก็ไม่ได้หรอก)
5. แถมถ้าเรารู้ว่าที่ onsen นั้นมีบ่อรวมชายหญิงด้วยเนี่ย เราจะลังเลอะไรอยู่อีก? (ระดับความลังเลเท่ากับศูนย์ทันที)
สำหรับสุภาพสตรี..
ผมได้ยินมาว่า ในห้องน้ำออนเซ็นนั้นมีครีมแปลกๆหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่นครีมตบนม ครีมตบตูด และอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ น่าลองนะครับ
พอแช่ออนเซ็นเสร็จ ผมแนะนำให้เดินไปซื้อสาเกและมาม่าพร้อมขนมต่างๆที่ minimart มาเสยครับ สำหรับผมสาเกขวดนี้ถือว่าเป็นองค์ประกอบส่งเสริมความชิวที่สำคัญมากๆสำหรับอากาศที่เย็นแบบภูเขาสูงในญี่ปุ่นแบบนี้ อืมม.. จริงๆแล้วร้านอาหารที่ proper ที่โรงแรมก็มีครับ แต่ผมว่ามันแพงไปหน่อยนึง อีกอย่างคือผมอยากนั่งเสวยสุขที่ห้องกับสาเกดีๆขวดละ 300 บาท (น่าจะประมาณ 500 มิล) กับขนมและ Sevenstars (ผลิตภัณฑ์จำพวกเดียวกับ Marlboro, Krongthip) ที่ห้องครับ โอ้วว.. เกือบลืมให้ดูภาพถ่ายห้องพักแน่ะ
(ภาพนี้เป็นภาพที่ยังเช็ดฝ้าตอนเดินเข้าห้องไม่หมด พอเช็ดหมดแล้วเด็ดกว่านี้แน่นอนฮระ)
ทั้ง Shopping + นั่งรถ + แช่ออนเซ็น + นอนค้าง นี่ใช้เวลาเพียง 27 ชั่วโมงเท่านั้นเองเหรอ?
ประมาณนั้นแหละครับ
ถ้าใครอยากเล่นสกีเป็นชีวิตจิตใจ โรงแรมนี้ก็มี Ski ไว้ให้บริการครับ โดยที่เค้าโฆษณาไว้ว่ามันเป็นเกล็ดหิมะแบบ Powder Snow (หิมะมองเลย่ะ) แต่ต้องไปหลังวันที่ 15 ธันวาคมนะถึงจะได้เล่น การเดินทางจากโรงแรมไปสนามสกีน่าจะใช้เท้าแค่ 2 ข้างกับเวลาแค่ 3 นาทีก็พอครับ (เกิ้ลบอกว่าอย่างนี้น่ะ..)
ลาด้วยภาพคนเล่นสกีที่ Manza นะครับ จุบุ
[CR] ช๊อป + แช่ + ชิว + ชมวิว รวดเดียวภายใน 27 ชม.ที่ Karuizawa + Manza Onsen (โตเกียวรอบนอก)
ผมกล้าใช้คำว่า ‘โชคดี’ เพราะผมได้ไปพบเจอสิ่งที่ตรงกับ ‘ความต้องการในส่วนลึก’ ของการไปโตเกียว 5 วัน 5 คืนในครั้งนี้ ความต้องการนั้นคือการได้ ‘พักผ่อน’ อย่างแท้จริง ร่างกายและจิตใจของผมต้องการพักผ่อนอยู่เรื่อยๆ แม้ในระหว่างไปท่องเที่ยวต่างแดนก็ตาม ที่นั่นคือโรงแรมเก่าๆแต่เก๋ามากชื่อว่า Manza Prince Hotel ตั้งอยู่บนบริเวณยอดเขาสูงมากใจกลางเกาะญี่ปุ่นชื่อว่า Manza (นั่งชินคังเซน 50 นาทีจากโตเกียว ต่อรถ Shuttle Bus ของโรงแรมขึ้นดอยไปอีก 90 นาที)
เมื่อมาถึงโรงแรม คุณ Masami Honma เจ้าหน้าที่ต้อนรับวัยราวๆ 50 ถามผมด้วยภาษาอังกฤษที่ไพเราะว่า ‘พวกคุณรู้จักโรงแรมนี้ได้อย่างไร?’ (คุณ Masami น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้เสนาะหูที่สุดคนนึงในเกาะญี่ปุ่นตั้งแต่ Sapporo ยัน Okinawa) ผมตอบว่า ‘อะโกด้า’ และคุณ Masami ก็ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงออกมาว่า ‘คุณคือแขกจากประเทศไทยกลุ่มที่ 2 ตั้งแต่โรงแรมนี้เปิดมาเป็นสิบๆปี โดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มข้าราชการ’
ผมเลือกโรงแรมนี้เพราะข้อเสนอด้านราคาที่งดงามสำหรับคนมัธยัสถ์งบประมาณน้อยอย่างผม โดยเบ็ดเสร็จแล้วค่าโรงแรม + ออนเซ็น อยู่ที่ 1,200 บาทต่อคนเพียงเท่านั้น ส่วน Shuttle Bus ไปกลับนั้นโรงแรมแถมให้ฟรีพร้อมวิวต้นไม้ผลัดสีที่มีหิมะกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ (โดยมีเงื่อนไขว่าจะไปรับตอนเช้า 10.30 น. หรือ 13.30 น. เท่านั้นนะ ถ้าตกรถก็ต้องนั่ง Local Bus แสนแพงมาเอง.. แพงกว่าค่าโรงแรมละกัน)
จากรูปด้านบน จะเห็นได้ว่าพอออกจากสถานี Karuizawa (จุดแดง) จะต้องเดินทางมายังจุดจอดรอของ Shuttle Bus อีกพอสมควร แต่ถ้าอ่านข้อความบนรูปรถ จะเห็นได้ว่ามันจอดอยู่ที่ South Exit ของสถานี Karuizawa เท่านั้นเอง ดังนั้นการทรานสิตในจุดนี้ไม่ลำบากอะไรเลย (แต่ในกรณีของผมนั้น จำเวลารถออกเป็น 14.00 น. ซึ่งเป็นความจำที่ผิด! และขบวนรถไฟชินกังเซนที่นั่งมาก็บอกเวลาว่าจะถึงตอน 13.30 น.ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ Shuttle Bus จะออก ผมก็เลยต้องหายื้มโทรศัพท์คนญี่ปุ่นโทรไปอ้อนวอนเจ้าหน้าที่โรงแรมให้ไปอ้อนวอนพนักงานขับรถอีกทีให้รอผม 5 นาที ครั้งแรกคนขับไม่ยอม ครั้งที่สองจึงยอมใจอ่อนโชคยังดีที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตามนั้น)
การเดินทางจาก Tokyo ไปยัง Karuizawa Station นั้นเกิดขึ้นเพราะ Kanto Pass แท้ๆ เพราะผมมองว่า ไหนๆก็เหมาจ่ายไปตั้ง 3 วันแล้ว ลองกระแดะนั่งชินกังเซนไปที่ไกลๆให้เลือดสูบฉีดกันสักหน่อยท่าจะดี (ตอนที่แพลนทริปเห็นข้อมูลว่าคนเค้านั่งไป Nikko กัน พอเปิดดูรูปใน Pantip + Google แล้วเลยพบว่า การแสวงบุญไม่ใช่หนทางของทริปในช่วง 50 ปีที่จะถึงนี้ของผม..)
เมือง Karuizawa
ลองนึกภาพตามสักนิดนะครับ (บอกแล้วว่าไม่ได้ชอบถ่ายรูปมากนัก) พอขบวนรถไฟมันกำลังจะจอดที่ชานชาลาสถานี Karuizawa ภาพที่ผมเห็นแล้วเฮ้ยๆเลย เพราะนั่นคือ ภาพคนบนเนินเขากำลังเล่นสกีครับ!! ตกใจมากเพราะตลอดทางที่นั่งมานั้นไม่เห็นจะเห็นหิมะสักอะตอมเลย นั่นหมายความว่า 1.ที่นี่หิมะตกแล้ว 2.หิมะตกพอให้เล่าสกีได้ก่อนเดือนธันวาคม (เค้าเรียกว่า Autumn Ski ว้าวๆๆ) และที่สำคัญคือ ข้างๆที่เค้าเล่นสกีกันมันเป็น Outlet ใหญ่อลังการมาก ถ้าเทียบกับที่เมืองไทยน่าจะประมาณว่า ลงจากหลังช้างที่ อ.แม่แตง แล้วเดินเข้าพาราก้อนอะไรอย่างนั้น
(รูปก้อปมาจากอินเตอร์เนตครับ)
เรื่องช๊อปนั้นผมไม่ค่อยถนัด แต่คนที่ถนัดช๊อปที่ไปด้วยกันมานบอกว่าของลดเยอะมาก แบรนด์ที่ใช่ๆก็ยังลดถึง 70% ให้เวลาช๊อปแค่ 2 ชม.นั้นโหดร้ายมากเพราะเดินไปได้แค่ครึ่งเดียวของทั้ง Outlet มีแบรนด์อะไรมั่งนั้นไปดูกันเองตามลิ้งค์นี้ครับ http://www.karuizawa-psp.jp.e.kd.hp.transer.com/web/translation/
ผมขอแนะนำให้บรรจุทริป ‘KaruManza’ นี้เข้าไปอยู่ในแผนการเดินทางด้วยนะครับ.. KaruManza คือคำผสมที่ผมนำมาผสมเองให้มันฟังดูมีอะไร หาใน Hyperdia คงไม่เจอ สาเหตุหลักที่ผมต้องเอา Manza เข้ามาเป็นส่วนสำคัญก็เพราะมันคือ ‘สถานที่พักผ่อน’ อย่างแท้จริง ไม่ใช่เฉพาะผม แต่โรงแรมนี้คือสถานที่พักผ่อนของคนญี่ปุ่นมานานแล้ว!! (สังเกตได้จากอายุเฉลี่ยของผู้เข้าพักที่พี๊คมาก) เริ่มที่ Onsen ซึ่งเป็นไฮไลท์กันก่อนนะครับ
ลองคิดดูนะครับ..
1. มาญี่ปุ่นทั้งที ถ้าไม่ได้มาแช่ออนเซ็น เสียเที่ยวไหม? (เสียสิ)
2. แล้วถ้าเรามีโอกาสเลือกสถานที่แช่ออนเซ็น ระหว่างในโรงอาบน้ำทั่วไปใต้ฝ้าเพดาน กับบ่ออแบบ outdoor ใต้ฟ้างาม เราจะเลือกอันไหน? (อันหลังสิ)
3. และถ้าเรารู้ว่า มันมีออนเซ็นแบบ outdoor ที่วิวโคตระสวยแถมอากาศโคตระดีแบบในหนังเรื่อง The Sound of Music เราอยากจะไปไหมล่ะ? (อยากจิ)
4. และยิ่งถ้าเราได้รู้ว่า น้ำออนเซ็นที่มีแร่ sulfur อยู่มากจนน้ำกลายเป็นสีขาวนั้นทำให้ผิวของเราเต่งตึง เราจะพลาดโอกาสนี้ได้ด้วยเหรอ? (ยังงัยก็ไม่ได้หรอก)
5. แถมถ้าเรารู้ว่าที่ onsen นั้นมีบ่อรวมชายหญิงด้วยเนี่ย เราจะลังเลอะไรอยู่อีก? (ระดับความลังเลเท่ากับศูนย์ทันที)
สำหรับสุภาพสตรี..
ผมได้ยินมาว่า ในห้องน้ำออนเซ็นนั้นมีครีมแปลกๆหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่นครีมตบนม ครีมตบตูด และอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ น่าลองนะครับ
พอแช่ออนเซ็นเสร็จ ผมแนะนำให้เดินไปซื้อสาเกและมาม่าพร้อมขนมต่างๆที่ minimart มาเสยครับ สำหรับผมสาเกขวดนี้ถือว่าเป็นองค์ประกอบส่งเสริมความชิวที่สำคัญมากๆสำหรับอากาศที่เย็นแบบภูเขาสูงในญี่ปุ่นแบบนี้ อืมม.. จริงๆแล้วร้านอาหารที่ proper ที่โรงแรมก็มีครับ แต่ผมว่ามันแพงไปหน่อยนึง อีกอย่างคือผมอยากนั่งเสวยสุขที่ห้องกับสาเกดีๆขวดละ 300 บาท (น่าจะประมาณ 500 มิล) กับขนมและ Sevenstars (ผลิตภัณฑ์จำพวกเดียวกับ Marlboro, Krongthip) ที่ห้องครับ โอ้วว.. เกือบลืมให้ดูภาพถ่ายห้องพักแน่ะ
(ภาพนี้เป็นภาพที่ยังเช็ดฝ้าตอนเดินเข้าห้องไม่หมด พอเช็ดหมดแล้วเด็ดกว่านี้แน่นอนฮระ)
ทั้ง Shopping + นั่งรถ + แช่ออนเซ็น + นอนค้าง นี่ใช้เวลาเพียง 27 ชั่วโมงเท่านั้นเองเหรอ?
ประมาณนั้นแหละครับ
ถ้าใครอยากเล่นสกีเป็นชีวิตจิตใจ โรงแรมนี้ก็มี Ski ไว้ให้บริการครับ โดยที่เค้าโฆษณาไว้ว่ามันเป็นเกล็ดหิมะแบบ Powder Snow (หิมะมองเลย่ะ) แต่ต้องไปหลังวันที่ 15 ธันวาคมนะถึงจะได้เล่น การเดินทางจากโรงแรมไปสนามสกีน่าจะใช้เท้าแค่ 2 ข้างกับเวลาแค่ 3 นาทีก็พอครับ (เกิ้ลบอกว่าอย่างนี้น่ะ..)
ลาด้วยภาพคนเล่นสกีที่ Manza นะครับ จุบุ