ตัวตนของเขาช่างเลือนราง หัวใจไร้ซึ่งแสงแห่งความหวังใด
มีเพียงนางยึดมั่นในดวงใจ ฤๅจะพ่ายพันธนาการแห่งมนตรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาคแรก
http://writer.dek-d.com/kung-chun/writer/view.php?id=646312
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/32588396
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/32925155
Guildmystic มนตราพันธนาการ II
บทที่ 3
เพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่เคยไปไกลกว่าขอบเขตอาณาจักรของตน ประสบการณ์อันน้อยนิดที่มีจึงทำให้สการ์เล็ตเคยจินตนาการว่าการเดินทางสู่หุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ตั้งขององค์กรเวทมนตร์นั้นคงทุรกันดาร สัญจรลำบากและใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าจะถึงจุดหมาย
ใช่ หลายสิบปีก่อนมันเคยเป็นอย่างนั้น
ครั้นเมื่อองค์กรแห่งเวทมนตร์ขยายใหญ่และมีชื่อเสียงขึ้นมากจากการคลี่คลายข้อร้องขอของผู้รับบริการ ทั้งยังคอยกำราบปีศาจและมารร้าย กำจัดเภทภัยแก่เหล่ามนุษย์ชาติโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใด ผู้คนทั่วไปจึงชื่นชมให้ความนับถือแก่พวกเขาเหล่าจอมเวท
ในแต่ละปีจะมีคนมากมายเดินทางไปยังกิลด์มิสทิคด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลาย บ้างก็เพื่อขอเข้าเรียนศึกษาตำราเวท หรือส่งคำร้องขอรับบริการ บางส่วนมาติดต่อขอซื้อสินค้ามนตรา หรือแม้แต่มาเพื่อท่องเที่ยวทัศนาสูดกลิ่นไอแห่งมายาอันน่าพิศวงและหลงใหลของเมืองมนตร์ เส้นทางหลายสายที่ใช้ในการสัญจรสู่องค์กรกิลด์มิสทิคจึงถูกปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้คนสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาถึงสิบสามวันในการเดินทางจากอาณาจักรเรสทอเรียสู่หุบเขาอันเป็นสถานที่ตั้งขององค์กรเวทมนตร์
มักชา คือชื่อของเมืองและหุบเขาซึ่งเป็นสถานที่ตั้งขององค์กรควบคุมผู้ใช้เวทมนตร์นาม กิลด์มิสทิค อยู่บริเวณรอยต่อของสามอาณาจักรทางตอนเหนือของทวีป
ในอดีตเป็นพื้นที่มีกรณีพิพาทแย่งชิงพรมแดนจากทั้งสามอาณาจักรที่ล้อมรอบอยู่เสมอ จนชาวบ้านธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสงบสุข ทว่าหลังจากกลุ่มชนผู้ฝักใฝ่ในเวทมนตร์เข้าครอบครองพื้นที่และตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่ออาณาจักรใดก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปรุกรานยังแผ่นดินนี้อีก
เนื่องจากเหล่าผู้ฝักใฝ่ในเวทมนตร์มักทำการทดลองริเริ่มสร้างอาคมเวทมนตร์แปลกใหม่อยู่เสมอ พวกเขาจึงต้องการสถานที่ซึ่งจะทำการใดก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อคนธรรมดา หุบเขามักชาที่เคยมีแต่สงครามการสู้รบจนชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่ได้สนองความต้องการพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ทว่าด้วยความชื่นชมนับถือในฐานะจอมเวทและต้องการความสามารถที่จะได้รับหลังเข้าร่วมศึกษาวิชามนตรา ทำให้มีผู้คนไม่น้อยเดินทางเข้าไปยังหุบเขาแห่งนี้โดยตั้งความหวังว่าตนจะได้เป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถด้านการใช้เวทมนตร์ ทั้งที่มีคนส่วนน้อยสำเร็จการศึกษาออกมาได้
แม้คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรกิลด์มิสทิค แต่ด้วยความชื่นชมหลงใหลในเวทมนตร์จนไม่อาจตัดใจ ทำให้มีคนไม่น้อยปักหลักตั้งรากฐานสร้างบ้านเรือนอยู่รายรอบอาณาเขตต้องห้ามขององค์กรแห่งนั้น กระทั่งขยายอาณาเขตออกไปกลายเป็นเมืองขนาดย่อมแห่งหนึ่งในหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของมนตรา
สการ์เล็ตแง้มบานหน้าต่างของห้องโดยสารบนรถม้าออกก่อนเอียงศีรษะเล็กน้อย พอให้มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนปลายสุดของถนนซึ่งตนกำลังใกล้เข้าไปทุกที
ป้อมประตูเมืองมักชาสร้างจากอิฐหินสีดำ ยามต้องแสงจัดจ้าของตะวันคล้อยบ่ายมันส่องประกายเรื่อเรืองออกมาเป็นสีน้ำเงินแกมเขียวอย่างน่าอัศจรรย์ ขับเน้นบานประตูโลหะทึมทึบจนแลดูทั้งน่าพิศวงและครั่นคร้ามอยู่ในที
ครั้นผ่านบานประตูเข้าสู่แหล่งชุมชนภายในเมือง เหล่าคนต่างถิ่นล้วนกวาดตาสำรวจสิ่งปลูกสร้างในดินแดนแห่งเวทมนตร์ด้วยความสนใจใคร่รู้ กระนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากแหล่งชุมชนทั่วไปเท่าใดนัก
อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากอิฐ ปูนและไม้ มีขนาดสองถึงห้าชั้น ด้านหน้าแคบ แต่ด้านในลึก ตึกหลังหนึ่งจึงซอยห้องออกไปได้หลายร้าน
ใช่ ในสายตาสการ์เล็ตเห็นแต่ร้านค้า มีทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในจำนวนนั้นที่มีมากสุดก็คงจะเป็นร้านขายสินค้าเกี่ยวกับเวทมนตร์
สมเป็นเมืองแห่งมนตรา
ผู้คนคึกคักหนาตา ต่างคนแต่งกายด้วยลักษณะที่หลากหลาย บ่งบอกว่ามาจากสถานที่ต่างกัน นั่นเพราะนอกจากเป็นเมืองแห่งเวทมนตร์แล้ว มักชายังนับเป็นเมืองแห่งการค้าขายสินค้าเวทและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง
ค่าครองชีพคงจะสูงไม่ใช่น้อย
ความคิดนั้นถูกยืนยันด้วยราคาค่าห้องพักและค่าอาหารสำหรับคณะเดินทางจากเรสทอเรียหกคน เพียงแต่มันไม่ทำให้รู้สึกผิดหวังหรือเสียดายเงินสักเท่าไรเมื่อได้รับบริการที่ดีกลับมา เหนืออื่นใดเพราะได้รับประทานอาหารรสชาติแปลกใหม่และอร่อยถูกใจทุกคน
กว่ามื้อเย็นจะเสร็จสิ้นก็มืดค่ำแล้ว สการ์เล็ตจึงสั่งให้ผู้ติดตามทุกคนตรวจดูสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนอนุญาตให้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ส่วนนางนั้นไปยืนอยู่บนระเบียงห้องพักส่วนตัวบนชั้นสี่ซึ่งหันหน้าไปทางองค์กรแห่งมนตรา ทอดสายตาจับจ้องยอดตึกสูงตระหง่านทับผ่านฟ้าสีน้ำเงินเข้มแลเห็นเป็นเงาทะมึน
ปราสาทแห่งเวทมนตร์
บริกรในห้องอาหารขานนามว่าอย่างนั้น เหล่าผู้ใช้เวทในกาลก่อนรังสรรค์สถานที่ขนาดใหญ่ กว้างขวางและแข็งแรงขึ้นมาเพื่อให้บุคคลผู้ฝักใฝ่มนตราได้อาศัย และใช้ประโยชน์สถานที่ในการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกใครรบกวนหรือรบกวนใคร
สถานที่มีแต่ผู้ใช้เวทมนตร์สมควรอยู่และเป็นบ้านในปัจจุบันของเรมิเรส
สการ์เล็ตกระพริบตาและยกสองแขนขึ้นโอบตัวเองก่อนจะกระถดตัวกลับเข้าไปในห้องอันอบอุ่น เนื่องจากเมืองมักชาอยู่ทางตอนเหนือของทวีป อุณหภูมิอากาศจึงค่อนข้างเย็น และเหน็บหนาวขึ้นอีกหลังตะวันลับขอบฟ้า
“แม้ว่าจะหนาว แต่เจ้าคงไม่ต้องเหงาอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังเล็กนั่นอีกแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาจับจ้องไปยังเงาทะมึนของปราสาทแห่งมนตรา
“ตอนนี้เจ้ามีความสุขดีอยู่หรือเปล่า เรมิเรส”
Guildmystic มนตราพันธนาการ II (เมืองมายา มนตราอลเวง) บทที่ 3
มีเพียงนางยึดมั่นในดวงใจ ฤๅจะพ่ายพันธนาการแห่งมนตรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Guildmystic มนตราพันธนาการ II
บทที่ 3
เพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่เคยไปไกลกว่าขอบเขตอาณาจักรของตน ประสบการณ์อันน้อยนิดที่มีจึงทำให้สการ์เล็ตเคยจินตนาการว่าการเดินทางสู่หุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ตั้งขององค์กรเวทมนตร์นั้นคงทุรกันดาร สัญจรลำบากและใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าจะถึงจุดหมาย
ใช่ หลายสิบปีก่อนมันเคยเป็นอย่างนั้น
ครั้นเมื่อองค์กรแห่งเวทมนตร์ขยายใหญ่และมีชื่อเสียงขึ้นมากจากการคลี่คลายข้อร้องขอของผู้รับบริการ ทั้งยังคอยกำราบปีศาจและมารร้าย กำจัดเภทภัยแก่เหล่ามนุษย์ชาติโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใด ผู้คนทั่วไปจึงชื่นชมให้ความนับถือแก่พวกเขาเหล่าจอมเวท
ในแต่ละปีจะมีคนมากมายเดินทางไปยังกิลด์มิสทิคด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลาย บ้างก็เพื่อขอเข้าเรียนศึกษาตำราเวท หรือส่งคำร้องขอรับบริการ บางส่วนมาติดต่อขอซื้อสินค้ามนตรา หรือแม้แต่มาเพื่อท่องเที่ยวทัศนาสูดกลิ่นไอแห่งมายาอันน่าพิศวงและหลงใหลของเมืองมนตร์ เส้นทางหลายสายที่ใช้ในการสัญจรสู่องค์กรกิลด์มิสทิคจึงถูกปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้คนสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาถึงสิบสามวันในการเดินทางจากอาณาจักรเรสทอเรียสู่หุบเขาอันเป็นสถานที่ตั้งขององค์กรเวทมนตร์
มักชา คือชื่อของเมืองและหุบเขาซึ่งเป็นสถานที่ตั้งขององค์กรควบคุมผู้ใช้เวทมนตร์นาม กิลด์มิสทิค อยู่บริเวณรอยต่อของสามอาณาจักรทางตอนเหนือของทวีป
ในอดีตเป็นพื้นที่มีกรณีพิพาทแย่งชิงพรมแดนจากทั้งสามอาณาจักรที่ล้อมรอบอยู่เสมอ จนชาวบ้านธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสงบสุข ทว่าหลังจากกลุ่มชนผู้ฝักใฝ่ในเวทมนตร์เข้าครอบครองพื้นที่และตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่ออาณาจักรใดก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปรุกรานยังแผ่นดินนี้อีก
เนื่องจากเหล่าผู้ฝักใฝ่ในเวทมนตร์มักทำการทดลองริเริ่มสร้างอาคมเวทมนตร์แปลกใหม่อยู่เสมอ พวกเขาจึงต้องการสถานที่ซึ่งจะทำการใดก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อคนธรรมดา หุบเขามักชาที่เคยมีแต่สงครามการสู้รบจนชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่ได้สนองความต้องการพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ทว่าด้วยความชื่นชมนับถือในฐานะจอมเวทและต้องการความสามารถที่จะได้รับหลังเข้าร่วมศึกษาวิชามนตรา ทำให้มีผู้คนไม่น้อยเดินทางเข้าไปยังหุบเขาแห่งนี้โดยตั้งความหวังว่าตนจะได้เป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถด้านการใช้เวทมนตร์ ทั้งที่มีคนส่วนน้อยสำเร็จการศึกษาออกมาได้
แม้คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรกิลด์มิสทิค แต่ด้วยความชื่นชมหลงใหลในเวทมนตร์จนไม่อาจตัดใจ ทำให้มีคนไม่น้อยปักหลักตั้งรากฐานสร้างบ้านเรือนอยู่รายรอบอาณาเขตต้องห้ามขององค์กรแห่งนั้น กระทั่งขยายอาณาเขตออกไปกลายเป็นเมืองขนาดย่อมแห่งหนึ่งในหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของมนตรา
สการ์เล็ตแง้มบานหน้าต่างของห้องโดยสารบนรถม้าออกก่อนเอียงศีรษะเล็กน้อย พอให้มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนปลายสุดของถนนซึ่งตนกำลังใกล้เข้าไปทุกที
ป้อมประตูเมืองมักชาสร้างจากอิฐหินสีดำ ยามต้องแสงจัดจ้าของตะวันคล้อยบ่ายมันส่องประกายเรื่อเรืองออกมาเป็นสีน้ำเงินแกมเขียวอย่างน่าอัศจรรย์ ขับเน้นบานประตูโลหะทึมทึบจนแลดูทั้งน่าพิศวงและครั่นคร้ามอยู่ในที
ครั้นผ่านบานประตูเข้าสู่แหล่งชุมชนภายในเมือง เหล่าคนต่างถิ่นล้วนกวาดตาสำรวจสิ่งปลูกสร้างในดินแดนแห่งเวทมนตร์ด้วยความสนใจใคร่รู้ กระนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากแหล่งชุมชนทั่วไปเท่าใดนัก
อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากอิฐ ปูนและไม้ มีขนาดสองถึงห้าชั้น ด้านหน้าแคบ แต่ด้านในลึก ตึกหลังหนึ่งจึงซอยห้องออกไปได้หลายร้าน
ใช่ ในสายตาสการ์เล็ตเห็นแต่ร้านค้า มีทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับและอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในจำนวนนั้นที่มีมากสุดก็คงจะเป็นร้านขายสินค้าเกี่ยวกับเวทมนตร์
สมเป็นเมืองแห่งมนตรา
ผู้คนคึกคักหนาตา ต่างคนแต่งกายด้วยลักษณะที่หลากหลาย บ่งบอกว่ามาจากสถานที่ต่างกัน นั่นเพราะนอกจากเป็นเมืองแห่งเวทมนตร์แล้ว มักชายังนับเป็นเมืองแห่งการค้าขายสินค้าเวทและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง
ค่าครองชีพคงจะสูงไม่ใช่น้อย
ความคิดนั้นถูกยืนยันด้วยราคาค่าห้องพักและค่าอาหารสำหรับคณะเดินทางจากเรสทอเรียหกคน เพียงแต่มันไม่ทำให้รู้สึกผิดหวังหรือเสียดายเงินสักเท่าไรเมื่อได้รับบริการที่ดีกลับมา เหนืออื่นใดเพราะได้รับประทานอาหารรสชาติแปลกใหม่และอร่อยถูกใจทุกคน
กว่ามื้อเย็นจะเสร็จสิ้นก็มืดค่ำแล้ว สการ์เล็ตจึงสั่งให้ผู้ติดตามทุกคนตรวจดูสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนอนุญาตให้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ส่วนนางนั้นไปยืนอยู่บนระเบียงห้องพักส่วนตัวบนชั้นสี่ซึ่งหันหน้าไปทางองค์กรแห่งมนตรา ทอดสายตาจับจ้องยอดตึกสูงตระหง่านทับผ่านฟ้าสีน้ำเงินเข้มแลเห็นเป็นเงาทะมึน
ปราสาทแห่งเวทมนตร์
บริกรในห้องอาหารขานนามว่าอย่างนั้น เหล่าผู้ใช้เวทในกาลก่อนรังสรรค์สถานที่ขนาดใหญ่ กว้างขวางและแข็งแรงขึ้นมาเพื่อให้บุคคลผู้ฝักใฝ่มนตราได้อาศัย และใช้ประโยชน์สถานที่ในการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกใครรบกวนหรือรบกวนใคร
สถานที่มีแต่ผู้ใช้เวทมนตร์สมควรอยู่และเป็นบ้านในปัจจุบันของเรมิเรส
สการ์เล็ตกระพริบตาและยกสองแขนขึ้นโอบตัวเองก่อนจะกระถดตัวกลับเข้าไปในห้องอันอบอุ่น เนื่องจากเมืองมักชาอยู่ทางตอนเหนือของทวีป อุณหภูมิอากาศจึงค่อนข้างเย็น และเหน็บหนาวขึ้นอีกหลังตะวันลับขอบฟ้า
“แม้ว่าจะหนาว แต่เจ้าคงไม่ต้องเหงาอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังเล็กนั่นอีกแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาจับจ้องไปยังเงาทะมึนของปราสาทแห่งมนตรา
“ตอนนี้เจ้ามีความสุขดีอยู่หรือเปล่า เรมิเรส”