ที่มาเล่าประสบการณ์เริ่มจากผมลงรูปเปรียบเทียบระหว่างตอนอ้วนๆกับตอนลดลงมา แล้วประมานว่าขายวิตามินลดน้ำหนัก คือใจอ่ะล้อเล่น แต่มีพี่ๆน้องๆเพื่อนๆหลายคนทักมาเรื่องวิตามินนั้นจริง เลยรู้สึกว่า "เห้ย คนเรานี้ก็แปลกน่ะ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้น้ำหนักลด แต่ไม่ยอมออกกำลังกาย" แต่สุดท้ายแล้วก็เพราะตัวเองไปลงไว้ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเลยเอาประสบการณ์ที่ลดน้ำหนักมาแชร์กันเลยดีกว่า
เข้าเรื่องเลยน่ะครับ (พิมพ์ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย)
ผมเป็นคนตัวใหญ่หรืออ้วนมาตั้งกะเด็ก เกิดมาก็น้ำหนัก4.4โลเลย ด้วยความที่เป็นคนโครงร่างใหญ่ กินเก่ง แถมไม่ได้เล่นกีฬาเลยในวัยเด็ก น้ำหนักจึงแซงหน้าเพื่อนๆมาโดยตลอด
รูปตอนประถม
และพอมาช่วงมัธยมต้น-มัธยมปลาย ก็เริ่มเล่นกีฬา เล่นเป็นจริงเป็นจังเลยครับ เล่นบาส ซ้อมบาสเอย วิ่งเอย เล่นแมร่งเช้าเย็นๆ เล่นแทบจะทุกวัน แข่งให้กับโรงเรียนเลยครับ อาจดูเหมือนว่า แตะกีฬาแล้วจะผอมใช่ไหมครับ
รูปตอนมัธยม ทั้งไปแข่งบาส ปั่นจักยานCar free day
จะเห็นได้ว่า ตัวไม่ได้เล็กลงเลย และน้ำหนักก็แตะ100โลกว่าๆเข้าไปแล้ว แล้วก็พุ่งทะยานไปสู่108โลตอนจบมัธยมปลาย
และที่เลวร้ายกว่านั้น พอเข้ามหาลัย ไปอยู่หอ น้ำหนักพุงทะยานไปสู่ 116 แล้วก็ไม่กล้าช่างอีกเลยยยยยยย
ป.ล.ที่น้ำหนักขึ้นเอาๆ ยังเล่นบาสตลอดน่ะครับ ว่างก็ไปเล่น อาทิตย์นึงเล่นประมาน2-3วันตลอด
รูปตอนเข้ามหาลัยครับ
แต่มีเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งรุนแรงเรียกว่าหักมุมชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ"อกหัก"นั้นเองงง ฮ่าๆๆๆๆ แต่ก็ได้ประโยคที่ทำให้ฮึกเฮิมแหละยึดมั่นจนทำให้ลดน้ำหนักได้มาประโยคนึงที่ว่า "สุขภาพตัวเองยังดูแลไม่ได้ จะดูแลใครได้" อันนี้กล่าวโดยแม่ของเขา สมัยตอนยังคบกันอยู่ (มาฮึกเฮิมตอนเลิกกัน ฮ่าๆๆๆ)
เขาเรื่องลดน้ำหนักก่อนเลย ผมเริ่มโดยการคุมอาหารครับ แต่ไม่ใช่คุมแบบหักดิบเลยน่ะครับ แค่ลดของจุกจิกลง ลองอยู่พักใหญ่ๆเลยครับหลายเดือน
ก็ไม่เป็นผล ขาแทบทรุดตอนไปช่างน้ำหนัก 116โลเท่าเดิม ทั้งๆที่คุมอาหารมา (หรือไอ้ตอนนั้นจริงๆผมว่าเกิน116ไปแหละครับ)
จนมาตอนหลังได้ลองมานั่งศึกษาร่างกายวิธีการลดน้ำหนักดูครับ ทำให้ทราบว่า ที่ผ่านมาทั้งหมดที่ทำ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่โดยรวมถือว่าผิดครับ
จนได้ขอสรุปว่า "ถ้าวิธีถูก ก็ลดได้"
เลยมาคิดวิธีการหลัก "3ข้อเปลี่ยนชีวิต" โดยเริ่มจาก
ข้อ1.อาหาร แค่เปลี่ยนลักษณะนิสัย จากกินทุกอย่างเป็นเลือกกิน แค่อ่านฉลากก่อนหยิบไปจ่ายตังค์เช่นวงกลมแดงๆ2วง
วงที่1คำจำนวนคนที่ควรจะกินต่อถุงหรือขวด หรือ ถุงนึงขวดนึงควรแบ่งกันกี่คน
วงที่2คือจำนวนแคลลอรี่ ที่จะได้รับ
วิธีการคิดก็คือ เอาวงแรงคูณกับวงที่สอง เช่น หน่วยบริโภค2.5 แคลที่ได้รับ 150กิโลแคล ก็เอา 2.5x150=375กิโลแคล ที่จะได้รับต่อหนึ่งถุงหรือหนึ่งขวดที่กินเข้าไป
ที่จริงต้องดูน้ำหนักกับโซเดียมอีก แต่แค่นี้พอครับ 2อันนี้ที่สำคัญ โดยคำนวนจากร่างกายคนเราต้องการประมาน2000แคลต่อวัน อันนี้แหละครับที่สำคัญ
ต้องบริหารจัดการให้ดี ถ้าเรากินพอดี ก็เท่ากับไม่อ้วนไม่ผอม กินไม่ถึงก็ผอม กินเลยก็อ้วน ง่ายๆครับ สำหรับคนที่ไม่รีบลดอะไร ก็สักวันนึงไม่เกิน1800แคล สำหรับรีบหน่อยก็1200-1500แคล >>>>>และที่สำคัญ<<<<< ห้ามอดอาหารหลัก3เวลา โดยเฉพาะมื้อเช้า ร่างกายของเรามีระบบดูดซึมสารอาหาร แต่จะไม่ดูทั้งหมด ถ้าเรากินมื้อเว้นมือ จากปกติดูดแค่60-70% เราเว้นไป มื้อต่อไปอาจดูดทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะงั้นอันตรายครับ
ข้อ2.การออกกำลังกาย ว่ากันว่า คนเรายอมทำทุกอย่างให้ผอม ไม่ว่ายาจะอันตรายแค่ไหนก็ยอมกิน เพื่อให้ผอม แต่สิ่งเดียวที่พยายามจะหลีกเลี่ยงนั้นก็คือ
"การออกกำลังกาย" และถ้าถามว่าไม่ทำได้ไหม? ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตอบได้เลยว่า ได้ครับ!! แต่มันจะไม่ไวและไม่ได้แข็งแรงขึ้นมาเลย โดยการเพิ่มแอคชั่นในการใช้ชีวิตครับ เช่นเวลาเดินก็เพิ่มสปีดให้ไว้ขึ้น แกว่งแขนให้มากขึ้น เลือกขึ้นบันไดแทนลิฟในชั้นไม่กี่ชั้น แค่นี้แหละครับ และถ้าอยากให้เร็วขึ้น ก็หลีกเลี่ยงคำว่าออกกำลังกายไม่ได้ครับ แต่จะเห็นว่าผมก็เล่นกีฬาแต่ยังอ้วน นั้นก็เพราะผิดวิธีครับ ที่จะแนะนำคือวิธีที่ถูกต้อง
การออกกำลังกายที่ถูกต้องในการลดน้ำหนักคือ การออกกำลังกายเกิน45นาทีครับ และต้องเป็นการออกกำลังกายที่ต่อเนื่อง อาจฟังดูโหดร้าย แต่ไม่จำเป็นต้องวิ่งก็ได้ครับ เดินวันละ45นาที เพราะร่างกายของเราจะถึงเอาไขมันมาใช้ก็ต่อเมื่อ ออกกำลังกายต่อเนื่องเกิน30นาที ถ้าไม่เกิน ร่างกายจะดึงมาใช้แค่ที่กินไป ไม่ได้เอาที่สะสมไว้มาใช้
ถ้ารวมกับการคำนวนข้อ 1 และ 2 ก็จะประมาณว่า ถ้าวันนึงเรากินแค่1800แคล และยังออกกำลังกายเผาผลาญไปอีก300แคล เท่ากับวันนั้น เราใช้ไปแค่1500 >>>1500แคล<<< ถือว่าน้อยมาก นี้แค่คำนวนแบบลดแบบไม่ต้องหักโหมน่ะ แล้วถ้าเพื่อมการออกกำลังกาย+เพิ่มดูแลเรื่องแคล
เผลอๆอาจไม่ถึง1200ต่อวันด้วยซ้ำ แค่3เดือนเห็นผลชัวร์ และที่สำคัญถ้าทำได้ถึง3เดือน=กลายเป็นนิสัย ร่างกายก็จะแข็งแรงแถมไม่กลับมาอ้วน
ดีกว่ากินยาเป็นไหนๆ อยากมี10ปีสุดท้ายของชีวิตไว้อยู่กับโรงพยาบาลหรือ10ปีสุดท้ายอยู่กับครอบครัวและคนที่เรารัก
และข้อสุดท้าย
ข้อ3.วินัย,ความตั้งใจ,และเป้าหมาย สั้นๆง่ายๆแค่นี้แหละครับแต่สำคัญที่สุด
แค่เริ่มชีวิตก็เปลี่ยน ผมอ้วนมาตลอด20ปีตั้งแต่เด็กยังทำได้ ใช้เวลาแค่6-7เดือนยังทำได้ แล้วคุณละครับ ผมเชื่อว่าถ้าผมทำได้ มนุษย์ทุกคนบนโลกทำได้
เป็นกำลังใจให้ครับ สุดท้ายนี้ถ้าต้องการคำปรึกษา ติดต่อมาได้ทาง
สู้ๆครับ ที่เหลือเป็นรูปครับ ผมไม่ค่อยถ่ายรูป บางรูปก็จะเป็นช่วงน้ำหนักประมาน78-80อยู่บ้าง
มีรูปที่ใส่เสื้อกล้ามนี้เพิ่งถ่ายสด
มาแชร์ประสบการณ์ ลดน้ำหนักจาก 116โล สู่74โล >>ให้ถูกวิธีแล้วจะลดได้ไว<<
เข้าเรื่องเลยน่ะครับ (พิมพ์ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย)
ผมเป็นคนตัวใหญ่หรืออ้วนมาตั้งกะเด็ก เกิดมาก็น้ำหนัก4.4โลเลย ด้วยความที่เป็นคนโครงร่างใหญ่ กินเก่ง แถมไม่ได้เล่นกีฬาเลยในวัยเด็ก น้ำหนักจึงแซงหน้าเพื่อนๆมาโดยตลอด
รูปตอนประถม
และพอมาช่วงมัธยมต้น-มัธยมปลาย ก็เริ่มเล่นกีฬา เล่นเป็นจริงเป็นจังเลยครับ เล่นบาส ซ้อมบาสเอย วิ่งเอย เล่นแมร่งเช้าเย็นๆ เล่นแทบจะทุกวัน แข่งให้กับโรงเรียนเลยครับ อาจดูเหมือนว่า แตะกีฬาแล้วจะผอมใช่ไหมครับ
รูปตอนมัธยม ทั้งไปแข่งบาส ปั่นจักยานCar free day
จะเห็นได้ว่า ตัวไม่ได้เล็กลงเลย และน้ำหนักก็แตะ100โลกว่าๆเข้าไปแล้ว แล้วก็พุ่งทะยานไปสู่108โลตอนจบมัธยมปลาย
และที่เลวร้ายกว่านั้น พอเข้ามหาลัย ไปอยู่หอ น้ำหนักพุงทะยานไปสู่ 116 แล้วก็ไม่กล้าช่างอีกเลยยยยยยย
ป.ล.ที่น้ำหนักขึ้นเอาๆ ยังเล่นบาสตลอดน่ะครับ ว่างก็ไปเล่น อาทิตย์นึงเล่นประมาน2-3วันตลอด
รูปตอนเข้ามหาลัยครับ
แต่มีเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งรุนแรงเรียกว่าหักมุมชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ"อกหัก"นั้นเองงง ฮ่าๆๆๆๆ แต่ก็ได้ประโยคที่ทำให้ฮึกเฮิมแหละยึดมั่นจนทำให้ลดน้ำหนักได้มาประโยคนึงที่ว่า "สุขภาพตัวเองยังดูแลไม่ได้ จะดูแลใครได้" อันนี้กล่าวโดยแม่ของเขา สมัยตอนยังคบกันอยู่ (มาฮึกเฮิมตอนเลิกกัน ฮ่าๆๆๆ)
เขาเรื่องลดน้ำหนักก่อนเลย ผมเริ่มโดยการคุมอาหารครับ แต่ไม่ใช่คุมแบบหักดิบเลยน่ะครับ แค่ลดของจุกจิกลง ลองอยู่พักใหญ่ๆเลยครับหลายเดือน
ก็ไม่เป็นผล ขาแทบทรุดตอนไปช่างน้ำหนัก 116โลเท่าเดิม ทั้งๆที่คุมอาหารมา (หรือไอ้ตอนนั้นจริงๆผมว่าเกิน116ไปแหละครับ)
จนมาตอนหลังได้ลองมานั่งศึกษาร่างกายวิธีการลดน้ำหนักดูครับ ทำให้ทราบว่า ที่ผ่านมาทั้งหมดที่ทำ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่โดยรวมถือว่าผิดครับ
จนได้ขอสรุปว่า "ถ้าวิธีถูก ก็ลดได้"
เลยมาคิดวิธีการหลัก "3ข้อเปลี่ยนชีวิต" โดยเริ่มจาก
ข้อ1.อาหาร แค่เปลี่ยนลักษณะนิสัย จากกินทุกอย่างเป็นเลือกกิน แค่อ่านฉลากก่อนหยิบไปจ่ายตังค์เช่นวงกลมแดงๆ2วง
วงที่1คำจำนวนคนที่ควรจะกินต่อถุงหรือขวด หรือ ถุงนึงขวดนึงควรแบ่งกันกี่คน
วงที่2คือจำนวนแคลลอรี่ ที่จะได้รับ
วิธีการคิดก็คือ เอาวงแรงคูณกับวงที่สอง เช่น หน่วยบริโภค2.5 แคลที่ได้รับ 150กิโลแคล ก็เอา 2.5x150=375กิโลแคล ที่จะได้รับต่อหนึ่งถุงหรือหนึ่งขวดที่กินเข้าไป
ที่จริงต้องดูน้ำหนักกับโซเดียมอีก แต่แค่นี้พอครับ 2อันนี้ที่สำคัญ โดยคำนวนจากร่างกายคนเราต้องการประมาน2000แคลต่อวัน อันนี้แหละครับที่สำคัญ
ต้องบริหารจัดการให้ดี ถ้าเรากินพอดี ก็เท่ากับไม่อ้วนไม่ผอม กินไม่ถึงก็ผอม กินเลยก็อ้วน ง่ายๆครับ สำหรับคนที่ไม่รีบลดอะไร ก็สักวันนึงไม่เกิน1800แคล สำหรับรีบหน่อยก็1200-1500แคล >>>>>และที่สำคัญ<<<<< ห้ามอดอาหารหลัก3เวลา โดยเฉพาะมื้อเช้า ร่างกายของเรามีระบบดูดซึมสารอาหาร แต่จะไม่ดูทั้งหมด ถ้าเรากินมื้อเว้นมือ จากปกติดูดแค่60-70% เราเว้นไป มื้อต่อไปอาจดูดทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะงั้นอันตรายครับ
ข้อ2.การออกกำลังกาย ว่ากันว่า คนเรายอมทำทุกอย่างให้ผอม ไม่ว่ายาจะอันตรายแค่ไหนก็ยอมกิน เพื่อให้ผอม แต่สิ่งเดียวที่พยายามจะหลีกเลี่ยงนั้นก็คือ
"การออกกำลังกาย" และถ้าถามว่าไม่ทำได้ไหม? ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตอบได้เลยว่า ได้ครับ!! แต่มันจะไม่ไวและไม่ได้แข็งแรงขึ้นมาเลย โดยการเพิ่มแอคชั่นในการใช้ชีวิตครับ เช่นเวลาเดินก็เพิ่มสปีดให้ไว้ขึ้น แกว่งแขนให้มากขึ้น เลือกขึ้นบันไดแทนลิฟในชั้นไม่กี่ชั้น แค่นี้แหละครับ และถ้าอยากให้เร็วขึ้น ก็หลีกเลี่ยงคำว่าออกกำลังกายไม่ได้ครับ แต่จะเห็นว่าผมก็เล่นกีฬาแต่ยังอ้วน นั้นก็เพราะผิดวิธีครับ ที่จะแนะนำคือวิธีที่ถูกต้อง
การออกกำลังกายที่ถูกต้องในการลดน้ำหนักคือ การออกกำลังกายเกิน45นาทีครับ และต้องเป็นการออกกำลังกายที่ต่อเนื่อง อาจฟังดูโหดร้าย แต่ไม่จำเป็นต้องวิ่งก็ได้ครับ เดินวันละ45นาที เพราะร่างกายของเราจะถึงเอาไขมันมาใช้ก็ต่อเมื่อ ออกกำลังกายต่อเนื่องเกิน30นาที ถ้าไม่เกิน ร่างกายจะดึงมาใช้แค่ที่กินไป ไม่ได้เอาที่สะสมไว้มาใช้
ถ้ารวมกับการคำนวนข้อ 1 และ 2 ก็จะประมาณว่า ถ้าวันนึงเรากินแค่1800แคล และยังออกกำลังกายเผาผลาญไปอีก300แคล เท่ากับวันนั้น เราใช้ไปแค่1500 >>>1500แคล<<< ถือว่าน้อยมาก นี้แค่คำนวนแบบลดแบบไม่ต้องหักโหมน่ะ แล้วถ้าเพื่อมการออกกำลังกาย+เพิ่มดูแลเรื่องแคล
เผลอๆอาจไม่ถึง1200ต่อวันด้วยซ้ำ แค่3เดือนเห็นผลชัวร์ และที่สำคัญถ้าทำได้ถึง3เดือน=กลายเป็นนิสัย ร่างกายก็จะแข็งแรงแถมไม่กลับมาอ้วน
ดีกว่ากินยาเป็นไหนๆ อยากมี10ปีสุดท้ายของชีวิตไว้อยู่กับโรงพยาบาลหรือ10ปีสุดท้ายอยู่กับครอบครัวและคนที่เรารัก
และข้อสุดท้าย
ข้อ3.วินัย,ความตั้งใจ,และเป้าหมาย สั้นๆง่ายๆแค่นี้แหละครับแต่สำคัญที่สุด
แค่เริ่มชีวิตก็เปลี่ยน ผมอ้วนมาตลอด20ปีตั้งแต่เด็กยังทำได้ ใช้เวลาแค่6-7เดือนยังทำได้ แล้วคุณละครับ ผมเชื่อว่าถ้าผมทำได้ มนุษย์ทุกคนบนโลกทำได้
เป็นกำลังใจให้ครับ สุดท้ายนี้ถ้าต้องการคำปรึกษา ติดต่อมาได้ทาง
สู้ๆครับ ที่เหลือเป็นรูปครับ ผมไม่ค่อยถ่ายรูป บางรูปก็จะเป็นช่วงน้ำหนักประมาน78-80อยู่บ้าง
มีรูปที่ใส่เสื้อกล้ามนี้เพิ่งถ่ายสด