เรื่อง
"วิธีการเอาตัวรอดในยุคที่ Trainer มีมากกว่า นักขายประกัน"
credit by :
http://khunjess.com/ Link ที่มาบทความ --->
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://khunjess.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-trainer/
ผมคิดอยู่นาน เนิ่นนาน ว่าจะเอาลงดีไหม บทความที่อาจจะต้มมาม่านี้…
แต่หลังจากปรึกษากับพี่ท่านหนึ่งที่เคมีตรงกัน และโค้ชท่านหนึ่งที่คิดบวกทุกสถานการณ์
ผมเลยตัดสินใจว่า “เอาไงเอากันวะ”
จั่วหัวซะแรง ทำเอาคนขายประกันสะดุ้ง เลยอยากจะเคลือบช็อคโกแลตก่อน
ผมชื่นชมคนทำอาชีพขายประกันนะครับ เพราะคนใกล้ตัวผมหลายคนทำอยู่
แม้มันจะน่ารำคาญที่มันมาหาเราพร้อมรอยยิ้มประหลาดๆนั้นก็เหอะ
แถมหนังสืออันดับหนึ่งในดวงใจของผม ก็ถูกเขียนขึ้นโดยคนขายประกัน
หนังสือเล่มนั้นคือ “นักขายมือโปร” หรือ “How I raised myself from failure to success in selling”
ถัดจาก The Science Of Getting Rich หนังสือที่ผมอยากจะแนะนำก็เล่มนี้แหละ หาได้ตามซีเอ็ด (ถ้าฟลุค)
ในยุค Trainer ครองเมือง ผมนึกถึงประโยคที่เคยถูกพี่ท่านหนึ่งปรามาสไว้ ตอนทำ MLM
(ไม่ต้องมาดราม่านะ ผมมี Passive Income ทุกเดือน ขึ้นชื่อว่า Income ผมไม่รังเกียจหรอก)
เขาบอกว่า “เจษ… ลองเขวี้ยงหินไปข้างนอกมั่วๆ มันต้องโดนคนทำ MLM”
สมัยนี้ เขวี้ยงหินไปข้างนอกมั่วๆ… มันต้องโดน Trainer หรือ โค้ช หรือ นักเขียน แน่นอน
อย่าลืมว่า Trainer เอย โค้ช เอย สรุปสั้นๆกลายเป็นคำเดียวว่า “ครู” ซึ่งน่าจะดีนะ ถ้ามีเยอะขึ้น
แต่ผมมันหัวโบราณ คำว่า “ครู” แปลว่าแม่พิมพ์ผู้ให้ “ความรู้” “ศีลธรรม” และ “แนวทางการใช้ชีวิต”
คำถามสำคัญตอนนี้คือ
“คุณอยากเป็นดินเหนียว ในแม่พิมพ์แบบไหนล่ะ?”
ต่อไปนี้จะเป็น 4 ขั้นตอนในการแสวงหาแม่พิมพ์ หรือ “ครู” ที่ผมใช้มาตลอด 3 ปีของการเปลี่ยนชีวิต
แน่นอนผมเรื่องมาก เพราะผมไม่ “ดูถูก” ชีวิตของตนเอง และผมให้ความสำคัญกับ “เวลา” มากที่สุด
1. ถ้าคุณอยากเป็นหมอ คุณต้องมีครูเป็นหมอ ถ้าคุณอยากสำเร็จ คุณต้องมีครูเป็นคนที่สำเร็จ
แน่นอนคุณคงไม่อยากเอาอาชีพมาเสี่ยง กับศัลยแพทย์ที่เก่งทฤษฎีอย่างเดียว แต่แทบไม่เคยยืนข้างเตียงผ่าตัด
ความสำเร็จก็เช่นกัน… คุณอยากเรียนจากคนที่สำเร็จจริงๆ หรือท่องทฤษฎีความสำเร็จมาสอนคุณล่ะ?
จงใช้เวลาในการค้นหาว่า อยากมีชีวิตแบบไหน และหาคนที่มีชีวิตแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคุณหาเจอ จงอย่าให้เขาคลาดสายตา ทำทุกวิถีทางให้เขาเมตตาคุณ
ครูคนแรกที่สอนหลักความสำเร็จให้ผมคือ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี
ผมทำงานแลกความรู้อยู่นาน จนในที่สุดก็มีผลงานร่วมกับคุณบัณฑิต อึ้งรังษี นั่นคือ
หนังสือ “เก่งภาษา 50 ล้าน”
หนังสือ “หมอดูผู้แม่นที่สุดในโลก”
หนังสือ “ความรวยนั้นฟรีเล่ม 1 และ 2″
คอร์ส “เก่งภาษา 50 ล้าน” และ คอร์ส “กฏแห่งแรงดึงดูด”
2. จงเป็นดินเหนียวที่คู่ควรกับแม่พิมพ์
แม่พิมพ์สร้างเหล็ก ไม่สามารถเอาไปสร้างชิ้นงานที่เป็นพลาสติก หรือดินเหนียวได้
คุณเองก็เช่นกัน เมื่อพบแม่พิมพ์ที่ใฝ่ฝันแล้ว คุณต้องทำตัวให้คู่ควร
เพราะไม่ใช่หมายความว่ามีเงินแล้ว จะเข้าแม่พิมพ์ได้ทันที
เช่นเดียวกันกับแม่พิมพ์ดินเหนียว ที่ไม่ควรพยามยามเปลี่ยนรูปร่างของเหล็ก
ผมเห็นครูบางคนเก่งมากๆ สามารถปั้นเหล็กให้กลายเป็นดินเหนียวได้
ทำคนมีศักยภาพให้ด้อยค่าลง ด้วยการสอนแบบชี้นำไม่ปล่อยให้คิดเอง
เพราะคิดว่า กูเก่ง กูแน่ กูคือที่สุดของที่สุดแล้ว…
ผมเคยนั่งกินข้าวกับ Dr. Mel Gill (ผู้เขียนหนังสือ The Meta Secret)
แล้วมีคนมาถาม Dr. Mel ว่า “Dr. คะ เรียนกับ Dr.ที่เป็นระดับโลก แล้วไม่ต้องไปเรียนกับคนอื่นแล้วใช่ไหม?”
Dr. Mel วางช้อนลง แล้วตอบว่า
“คุณไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน?
ถ้ามีโอกาสคุณควรจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา คุยกับคุณผมยังได้บทเรียนเลย
อย่าปิดโอกาสในการเรียนรู้ แต่เลือกคนที่รู้จริงก็พอ”
3. ตรวจสอบคุณภาพแม่พิมพ์
ข้อนี้ไม่ได้เป็นการลบหลู่ แต่เป็นการให้เกียรติผู้สอน และเปิดใจคนเรียนล่วงหน้า
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคดึกดำบรรพ์ คุณสามารถสืบค้นข้อมูลของคนเกือบทุกคนบนโลกนี้ได้
ผมใช้ Facebook และ Google เป็นตัวตรวจสอบก่อนคุยกับใครก็ตาม
แถม Page Like เยอะก็ไม่ได้บอกอะไร ต้องดู Post Like โดยเฉลี่ย (เช็คแบบหยาบๆ)
ถ้าแม่พิมพ์ร้าวหรือเบี้ยว คุณก็จะออกมาพร้อมความร้าว และความเบี้ยว
ตอนที่ผมเข้าหาคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ผมแทบไม่ต้องตรวจสอบอะไรเลย ระดับโลกอยู่แล้ว
หนังสือแต่ละเล่มก็สุดยอด คุณภาพไม่ต้องพูดถึง แถมวิสัยทัศน์ยังอลังการ
ยกตัวอย่างเคสผม เพราะตอนนั้นผมรู้ว่าผมต้องการความสำเร็จ และความสำเร็จระดับโลก
บวกกับความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย ดังนั้นแม่พิมพ์ชั้นยอดคือ คุณบัณฑิต เท่านั้น
แต่ถ้าคุณสนใจเรื่องอื่น อย่าง เล่นหุ้น หรือ Passive Income คุณต้องกล้าทำการบ้าน
ต่างประเทศเขาถือเรื่องความจริงใจมาก ถึงขนาดต้องกล้าโชว์รายได้กันอย่างเปิดเผย
มิเช่นนั้นคุณก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของ “การตลาด” ที่แยบยล
ปล. เรื่อง Passive Income ผมเป็นติ่ง พี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ อยู่ห่างๆ
4. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
แม้ว่าเทรนเนอร์จะเยอะแยะ แทบเดินชนกัน แต่มันไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย
หากคุณรู้ว่าคุณกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ไม่ว่าคุณจะเรียนกับใคร คุณได้คุณค่าแน่นอน
คุณต้องรู้ว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต และมีสติ อยู่กับความจริงตลอดเวลา
ผมเองเข้าคอร์สสัมมนามาเยอะ (ในฐานะผู้แปล) มี 2 อย่างที่ผมคิดว่าสำคัญ
อย่างแรกคือ ใจของผู้สอน ถ้าเขามาเพื่อเป็นผู้ให้ แม้จะถ่ายทอดไม่เก่ง ผมถือว่าคุณโชคดี
เพราะเขามีมากพอที่จะให้คุณ… แต่กลับกันถ้าเขามาเพื่อกอบโกย ก็ขอให้คุณโชคดี
เพราะจิตที่ขาดแคลน ไม่มีวันเป็นผู้ให้ที่สมบูรณ์แบบได้
อย่างที่สองคือ ใจของผู้เข้าเรียน เพราะกฏแห่งแรงดึงดูดทำงานอย่างมหัศจรรย์ตลอดเวลา
คนที่มีคลื่นใกล้เคียงกัน มักจะถูกดึงดูดเข้าหากัน
จะเห็นว่า สำหรับผม “ความรู้” จากในห้องสัมมนา แทบไม่สำคัญเลย
เพราะผมไม่ได้ไปเอา “ความรู้” ที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า?
แต่ผมไปเพื่อ “หาสัญญาณในการก้าวไปข้างหน้า” ต่างหาก
เรื่องนี้ พี่ชายของผม พี่บี ภก.คงเกียรติ ผู้ก่อตั้ง Beyond Training
ก็ยังไม่เห็นด้วยกับผมอยู่ดี แหมเขาธาตุดินซะขนาดนั้น อิอิ
แต่มาถึงตรงนี้ได้ทุกวันนี้ ก็เฮียแกมีส่วนซะเยอะ
สุดท้ายนี้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมได้มีโอกาสไปกราบครูบาอาจารย์สายสมาธิ
ท่านบ่นว่า คนสมัยนี้ เอะอะก็อ้าง “ความฝัน” เอะอะก็อ้าง “เป้าหมาย”
ถามจริงเถอะ “ความฝัน” ที่อ้างๆกันเนี่ย ใช่ของตัวเองจริงรึ?
ได้มาแล้วจะมี “ความสุข” ไหม?
“อย่าใช้คำว่า “ความฝัน” มาทำให้ “ความโลภ” ดูเลิศหรู”
ผมนี่ ก้มลงกราบ เลย… เพราะแทงใจดำ
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบครับ
---------------------------------------------------------------------------------------
ปล.
ยังอินไม่หายจากหนังสือที่เพิ่งแชร์ไป
http://ppantip.com/topic/32909790
ไปเจอบทความนี้เห็นแล้วอดไม่ได้ จะบอกว่าเห็นด้วยมากๆ ทุกวันนี้ มีแต่คนประกาศตัวว่าเป็นผู้รู้ เป็น trainer
ไม่ได้พาดพึงถึงใคร เราเองก็ได้เรียนสัมนาดีๆมามากมายจากหลาย Trainer รักและเคารพทุกท่านจริงๆค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก่อนอื่นอยาก เกริ่นนิดค่ะ ปัจจุบันพอคนเราเริ่มมีรายได้ มีโอกาสมาก ก็จะเริ่มใฝ่หาความรู้ เพื่อเติบโตเป็นปกติ
เราเองก็ได้ทำธุรกิจส่วนตัว และมีโอกาสพบปะ เพื่อนๆนักธุรกิจ กลุ่มคนที่รักการเรียนรู้พัฒนาตัวเอง
ส่วนมากจะเป็นคนที่มีศักยภาพ ทั้งในองค์กรที่เค้าทำงานประจำ หรือ ทั้งในธุรกิจที่ทำ
คือ ใครๆก็อยากจะเรียนรู้เพื่อพัฒนาธุรกิจตัวเอง แล้วสัมนาดีๆก็มีมากทั้งในและต่างประเทศ
ยิ่งคนสำเร็จมากมาสอน ค่าใช้จ่ายในการเรียนก็ยิ่งสูง มากสุดเคยเจอถึง 5 แสนต่อคอส
อันนี้ชีวิตเรานะ ไม่ได้พาดพึงถึงใครค่ะ บอกก่อนเลย
ปรากฏว่า ตัวเราเอง ยิ่งเรียน ยิ่งรู้สึกพัฒนานะ แต่ผลลัพธ์ส่วนตัว คือ เรายิ่งถอยลง
แต่ก่อนเงินเดือน 30000 ทำงานประจำ จะกินอะไรก็กินได้ มีตังค์เหลือเก็บ พาพ่อแม่ไปเที่ยว ตปท ได้ด้วย
พอเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว อาจจะด้วยประสบการณ์เราน้อย ล้มลุกคลุกคลาน รายได้มี เวลาไม่มี
คุณภาพชีวิตกลับตกต่ำลง กินของถูกลง เที่ยวน้อยลง จนมาพบทางสว่างวันนึง
นั่งเอะใจ รายรับเราก็มากนะ แต่ทำไมชีวิตเราถึงแย่ลง ตกลงเรามีตังค์เหมือนไม่มีใช่มะ
โชคดีมีครูบาอาจารย์มาแนะนำ ว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เราก็ค้นหา แกะความเป็นมาของตัวเอง เลยรู้ว่า แท้จริง เราถูกปลูกฝังความโลภจากคนอื่นนี่นา
เหล่า Trainer ต่างๆ เองก็ไม่รู้ตัวว่า เวลาสอนให้คนรวยขึ้น บางครั้งเค้าอจไปปลูกความโลภในใจคนด้วย
บางคนมีชีวิตพอเพียงมา มะเคยรู้วิธีรวยเร็ว รวยไว มาฟังก็เกิดกิเลส อยากได้บ้างไม่รู้ตัว
ไม่มีใครผิด ไม่ได้เขียนเพื่อโทษอะไรใครนะค่ะ เราผิดเองที่ไม่มีสติแยกแยะความรู้ที่รับมา
อยากแชร์ เพราะเป็นประเด็นความจริงที่คนไม่ค่อยสนใจกัน แต่สำคัญนะ
หลังจากเราเข้าใจ ก็เริ่มกลับมาทำงานธรรมดาๆ ไม่มีตัวตน ไม่ยึดคำสอนใดๆ ทำด้วยความถูกต้อง
โอกาสก็เริ่มกลับมา เงินที่รับแต่ละวันอาจไม่เยอะ แต่ชีวิตเรากินดีอยู่ดี มีความสุข
นับไปนับมา ปรากฏ เงินเข้าแต่ละเดือนมากกว่าตอนทำธุรกิจส่วนตัวอีก
ต้องขอบคุณครูบาอาจารย์ ที่บอกว่า "ความมั่งคั่งที่แท้จริง คือ มีมาให้ใช้ไม่หมดตังหาก"
"อย่าใช้คำว่าความฝัน มาทำให้ความโลภ ดูเลิศหรู" คำคม จากเรื่องนี้ โดนมากขอแชร์ให้กันอ่านเยอะๆค่ะ
credit by : http://khunjess.com/ Link ที่มาบทความ --->[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมคิดอยู่นาน เนิ่นนาน ว่าจะเอาลงดีไหม บทความที่อาจจะต้มมาม่านี้…
แต่หลังจากปรึกษากับพี่ท่านหนึ่งที่เคมีตรงกัน และโค้ชท่านหนึ่งที่คิดบวกทุกสถานการณ์
ผมเลยตัดสินใจว่า “เอาไงเอากันวะ”
จั่วหัวซะแรง ทำเอาคนขายประกันสะดุ้ง เลยอยากจะเคลือบช็อคโกแลตก่อน
ผมชื่นชมคนทำอาชีพขายประกันนะครับ เพราะคนใกล้ตัวผมหลายคนทำอยู่
แม้มันจะน่ารำคาญที่มันมาหาเราพร้อมรอยยิ้มประหลาดๆนั้นก็เหอะ
แถมหนังสืออันดับหนึ่งในดวงใจของผม ก็ถูกเขียนขึ้นโดยคนขายประกัน
หนังสือเล่มนั้นคือ “นักขายมือโปร” หรือ “How I raised myself from failure to success in selling”
ถัดจาก The Science Of Getting Rich หนังสือที่ผมอยากจะแนะนำก็เล่มนี้แหละ หาได้ตามซีเอ็ด (ถ้าฟลุค)
ในยุค Trainer ครองเมือง ผมนึกถึงประโยคที่เคยถูกพี่ท่านหนึ่งปรามาสไว้ ตอนทำ MLM
(ไม่ต้องมาดราม่านะ ผมมี Passive Income ทุกเดือน ขึ้นชื่อว่า Income ผมไม่รังเกียจหรอก)
เขาบอกว่า “เจษ… ลองเขวี้ยงหินไปข้างนอกมั่วๆ มันต้องโดนคนทำ MLM”
สมัยนี้ เขวี้ยงหินไปข้างนอกมั่วๆ… มันต้องโดน Trainer หรือ โค้ช หรือ นักเขียน แน่นอน
อย่าลืมว่า Trainer เอย โค้ช เอย สรุปสั้นๆกลายเป็นคำเดียวว่า “ครู” ซึ่งน่าจะดีนะ ถ้ามีเยอะขึ้น
แต่ผมมันหัวโบราณ คำว่า “ครู” แปลว่าแม่พิมพ์ผู้ให้ “ความรู้” “ศีลธรรม” และ “แนวทางการใช้ชีวิต”
คำถามสำคัญตอนนี้คือ
“คุณอยากเป็นดินเหนียว ในแม่พิมพ์แบบไหนล่ะ?”
ต่อไปนี้จะเป็น 4 ขั้นตอนในการแสวงหาแม่พิมพ์ หรือ “ครู” ที่ผมใช้มาตลอด 3 ปีของการเปลี่ยนชีวิต
แน่นอนผมเรื่องมาก เพราะผมไม่ “ดูถูก” ชีวิตของตนเอง และผมให้ความสำคัญกับ “เวลา” มากที่สุด
1. ถ้าคุณอยากเป็นหมอ คุณต้องมีครูเป็นหมอ ถ้าคุณอยากสำเร็จ คุณต้องมีครูเป็นคนที่สำเร็จ
แน่นอนคุณคงไม่อยากเอาอาชีพมาเสี่ยง กับศัลยแพทย์ที่เก่งทฤษฎีอย่างเดียว แต่แทบไม่เคยยืนข้างเตียงผ่าตัด
ความสำเร็จก็เช่นกัน… คุณอยากเรียนจากคนที่สำเร็จจริงๆ หรือท่องทฤษฎีความสำเร็จมาสอนคุณล่ะ?
จงใช้เวลาในการค้นหาว่า อยากมีชีวิตแบบไหน และหาคนที่มีชีวิตแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคุณหาเจอ จงอย่าให้เขาคลาดสายตา ทำทุกวิถีทางให้เขาเมตตาคุณ
ครูคนแรกที่สอนหลักความสำเร็จให้ผมคือ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี
ผมทำงานแลกความรู้อยู่นาน จนในที่สุดก็มีผลงานร่วมกับคุณบัณฑิต อึ้งรังษี นั่นคือ
หนังสือ “เก่งภาษา 50 ล้าน”
หนังสือ “หมอดูผู้แม่นที่สุดในโลก”
หนังสือ “ความรวยนั้นฟรีเล่ม 1 และ 2″
คอร์ส “เก่งภาษา 50 ล้าน” และ คอร์ส “กฏแห่งแรงดึงดูด”
2. จงเป็นดินเหนียวที่คู่ควรกับแม่พิมพ์
แม่พิมพ์สร้างเหล็ก ไม่สามารถเอาไปสร้างชิ้นงานที่เป็นพลาสติก หรือดินเหนียวได้
คุณเองก็เช่นกัน เมื่อพบแม่พิมพ์ที่ใฝ่ฝันแล้ว คุณต้องทำตัวให้คู่ควร
เพราะไม่ใช่หมายความว่ามีเงินแล้ว จะเข้าแม่พิมพ์ได้ทันที
เช่นเดียวกันกับแม่พิมพ์ดินเหนียว ที่ไม่ควรพยามยามเปลี่ยนรูปร่างของเหล็ก
ผมเห็นครูบางคนเก่งมากๆ สามารถปั้นเหล็กให้กลายเป็นดินเหนียวได้
ทำคนมีศักยภาพให้ด้อยค่าลง ด้วยการสอนแบบชี้นำไม่ปล่อยให้คิดเอง
เพราะคิดว่า กูเก่ง กูแน่ กูคือที่สุดของที่สุดแล้ว…
ผมเคยนั่งกินข้าวกับ Dr. Mel Gill (ผู้เขียนหนังสือ The Meta Secret)
แล้วมีคนมาถาม Dr. Mel ว่า “Dr. คะ เรียนกับ Dr.ที่เป็นระดับโลก แล้วไม่ต้องไปเรียนกับคนอื่นแล้วใช่ไหม?”
Dr. Mel วางช้อนลง แล้วตอบว่า
“คุณไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน?
ถ้ามีโอกาสคุณควรจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา คุยกับคุณผมยังได้บทเรียนเลย
อย่าปิดโอกาสในการเรียนรู้ แต่เลือกคนที่รู้จริงก็พอ”
3. ตรวจสอบคุณภาพแม่พิมพ์
ข้อนี้ไม่ได้เป็นการลบหลู่ แต่เป็นการให้เกียรติผู้สอน และเปิดใจคนเรียนล่วงหน้า
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคดึกดำบรรพ์ คุณสามารถสืบค้นข้อมูลของคนเกือบทุกคนบนโลกนี้ได้
ผมใช้ Facebook และ Google เป็นตัวตรวจสอบก่อนคุยกับใครก็ตาม
แถม Page Like เยอะก็ไม่ได้บอกอะไร ต้องดู Post Like โดยเฉลี่ย (เช็คแบบหยาบๆ)
ถ้าแม่พิมพ์ร้าวหรือเบี้ยว คุณก็จะออกมาพร้อมความร้าว และความเบี้ยว
ตอนที่ผมเข้าหาคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ผมแทบไม่ต้องตรวจสอบอะไรเลย ระดับโลกอยู่แล้ว
หนังสือแต่ละเล่มก็สุดยอด คุณภาพไม่ต้องพูดถึง แถมวิสัยทัศน์ยังอลังการ
ยกตัวอย่างเคสผม เพราะตอนนั้นผมรู้ว่าผมต้องการความสำเร็จ และความสำเร็จระดับโลก
บวกกับความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย ดังนั้นแม่พิมพ์ชั้นยอดคือ คุณบัณฑิต เท่านั้น
แต่ถ้าคุณสนใจเรื่องอื่น อย่าง เล่นหุ้น หรือ Passive Income คุณต้องกล้าทำการบ้าน
ต่างประเทศเขาถือเรื่องความจริงใจมาก ถึงขนาดต้องกล้าโชว์รายได้กันอย่างเปิดเผย
มิเช่นนั้นคุณก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของ “การตลาด” ที่แยบยล
ปล. เรื่อง Passive Income ผมเป็นติ่ง พี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ อยู่ห่างๆ
4. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
แม้ว่าเทรนเนอร์จะเยอะแยะ แทบเดินชนกัน แต่มันไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย
หากคุณรู้ว่าคุณกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ไม่ว่าคุณจะเรียนกับใคร คุณได้คุณค่าแน่นอน
คุณต้องรู้ว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต และมีสติ อยู่กับความจริงตลอดเวลา
ผมเองเข้าคอร์สสัมมนามาเยอะ (ในฐานะผู้แปล) มี 2 อย่างที่ผมคิดว่าสำคัญ
อย่างแรกคือ ใจของผู้สอน ถ้าเขามาเพื่อเป็นผู้ให้ แม้จะถ่ายทอดไม่เก่ง ผมถือว่าคุณโชคดี
เพราะเขามีมากพอที่จะให้คุณ… แต่กลับกันถ้าเขามาเพื่อกอบโกย ก็ขอให้คุณโชคดี
เพราะจิตที่ขาดแคลน ไม่มีวันเป็นผู้ให้ที่สมบูรณ์แบบได้
อย่างที่สองคือ ใจของผู้เข้าเรียน เพราะกฏแห่งแรงดึงดูดทำงานอย่างมหัศจรรย์ตลอดเวลา
คนที่มีคลื่นใกล้เคียงกัน มักจะถูกดึงดูดเข้าหากัน
จะเห็นว่า สำหรับผม “ความรู้” จากในห้องสัมมนา แทบไม่สำคัญเลย
เพราะผมไม่ได้ไปเอา “ความรู้” ที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า?
แต่ผมไปเพื่อ “หาสัญญาณในการก้าวไปข้างหน้า” ต่างหาก
เรื่องนี้ พี่ชายของผม พี่บี ภก.คงเกียรติ ผู้ก่อตั้ง Beyond Training
ก็ยังไม่เห็นด้วยกับผมอยู่ดี แหมเขาธาตุดินซะขนาดนั้น อิอิ
แต่มาถึงตรงนี้ได้ทุกวันนี้ ก็เฮียแกมีส่วนซะเยอะ
สุดท้ายนี้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมได้มีโอกาสไปกราบครูบาอาจารย์สายสมาธิ
ท่านบ่นว่า คนสมัยนี้ เอะอะก็อ้าง “ความฝัน” เอะอะก็อ้าง “เป้าหมาย”
ถามจริงเถอะ “ความฝัน” ที่อ้างๆกันเนี่ย ใช่ของตัวเองจริงรึ?
ได้มาแล้วจะมี “ความสุข” ไหม?
“อย่าใช้คำว่า “ความฝัน” มาทำให้ “ความโลภ” ดูเลิศหรู”
ผมนี่ ก้มลงกราบ เลย… เพราะแทงใจดำ
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบครับ
---------------------------------------------------------------------------------------
ปล.
ยังอินไม่หายจากหนังสือที่เพิ่งแชร์ไป
http://ppantip.com/topic/32909790
ไปเจอบทความนี้เห็นแล้วอดไม่ได้ จะบอกว่าเห็นด้วยมากๆ ทุกวันนี้ มีแต่คนประกาศตัวว่าเป็นผู้รู้ เป็น trainer
ไม่ได้พาดพึงถึงใคร เราเองก็ได้เรียนสัมนาดีๆมามากมายจากหลาย Trainer รักและเคารพทุกท่านจริงๆค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้