สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกท่าน กระทู้นี้เป็นกระทู้เชิงรีวิว แบบผมได้ของมาลองใช้นะครับ แล้วก็เป็นกระทู้แรกของผมอีกด้วยครับ ส่วนของที่จะมารีวิวก็คือหลอดไฟ LED ของ Philips นั่นเองครับ บางคนอาจจะรู้จัก หรือเคยใช้หลอด LED กันมาบ้างแล้ว และรู้ข้อดีของมันนะครับ แต่ผมว่าก็คงมีอีกหลายๆคน ที่ไม่รู้ว่าหลอด LED มีไว้ทำอะไร มันดีมั้ย มันแพงมั้ย ก็เลยอยากเอาความรู้เรื่องหลอดตรงนี้มาให้เพื่อนๆได้รู้กัน ประกอบกับว่า พอดีทาง Philips เค้าให้หลอด LED มาลองใช้ ผมก็เลยจะเอาตัวหลอด LED มาลองเทสกับร้านที่ผมรู้จักซี้ๆกันให้ดูครับ ว่ามันเหมือนหรือแตกต่างยังไง ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร
ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Favour ครับ เป็นร้านขายเสื้อผ้า พิกัดร้านนี้จะอยู่ที่เอเชียทีค การตกแต่งร้านเค้าถือว่าโอเคเลยนะครับ แต่ไฟไม่ได้ใช้หลอด LED แล้วก็มีหลอดขาด หลอดเสีย ถ้าดูจากภาพจะเห็นว่าดับไปเยอะ หลังจากคุยกับพี่เจ้าของร้าน เค้าก็บอกโอเคครับ เพราะเค้าเองก็ไม่มีเวลาไปหาซื้อหลอดมาเปลี่ยน มาดูกันว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
มาดูบรรยากาศร้านที่ใช้ไฟแบบเดิมกันก่อนครับ
จะเห็นว่าบรรยากาศร้านในตอนแรกจะดูออกเหลืองๆ แสงจ้าเกินไป อาจจะเป็นเพราะการเลือกไฟผิดวัตต์มาใช้อ่ะครับ
สินค้าจะไม่เด่น กลืนๆ ไปกับไฟด้วย แล้วก็หลอดไฟแบบที่ไม่ใช่ LED พอเปิดไวนานๆจะร้อนมากๆ มี UV ด้วย
มีผลทำให้เสื้อผ้าสีซีดลง แถมทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและเสียค่าไฟมากขึ้นครับ
แต่หลอดแบบ LED จะไม่มี UV ไม่ร้อนด้วย ทำให้ประหยัดไฟไปได้ในตัวอีกด้วยครับ
หลังจากเราทำการเปลี่ยนให้พี่เค้าทั้งร้าน บรรยากาศร้านก็ดูโอเคขึ้นนะครับ ดูสว่างขึ้น ไม่เหลืองเกินไป
แล้วอันนี้ผมเปรียบเทียบแสงทั้ง 2 สีมาให้นะครับ เพราะหลอด LED ที่ผมได้มา มันจะมี 2 แสง เป็นแสงสีขาว กับ แสงสีเหลือง ครับ ผมเลยให้เจ้าของร้านเลือกครับ
สรุปทางร้านชอบแสงสีเหลืองมากกว่าเลยเปลี่ยนโซนอื่นเป็นแสงสีเหลืองครับ มาดู Before After กันครับ แต่ละมุม อันนี้จะเป็นรูปของไฟก่อน-หลัง เปลี่ยนครับ
มุมนี้แสงในร้านจะดูสว่างขึ้นครับแต่ไม่ได้สว่างจนแสบตา คือสว่างแบบมองสีเสื้อผ้าได้ชัดขึ้น
อันนี้อาจจะสังเกตยากหน่อยนะครับ แค่ถ้าดูดีๆ แสงมันจะดูสว่าง และนวลกว่าเดิมมากๆครับ ในภาพอาจจะเห็นไม่ชัด แต่ในที่จริงผมยืนยันได้เลยว่าต่างกันจริงๆครับ ดูสว่างกว่าเดิมเยอะเลย แล้วไฟ LED แบบนี้แสงจะไม่จ้าไปด้วยนะครับ ไม่ทำให้ปวดตาด้วยนะครับ ไม่ทำลายเสื้อผ้าด้วยเพราะแสงจากไฟปกติมี UV ทำให้สีของสินค้าซีดลง
แถมมุมอื่นๆ ในร้านครับ ไม่เหลืองแล้วครับ
ที่แรกผมกะจะลองกับร้านเสื้อผ้าแค่ร้านเดียวนะครับ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพอเปลี่ยนแล้วได้คุยกัน คุยไปคุยมา ก็รู้ว่าพี่เจ้าของร้านนี้ เค้ากำลังจะเปิด café’ ครับ เค้าเลยอยากได้สปอนเซอร์ไฟ ที่ร้านนั้นแบบนี้บ้าง ฮ่าๆ เค้าเลยถามว่าจะได้มั้ย ผมเลยบอกไปว่าอาจจะได้ เพราะผมต้องไปถามทาง Philips ก่อน ว่าเค้าจะให้ไฟเพิ่มได้มั้ย อะไรแบบนี้ครับ
สรุปว่า ผมขอไฟมาเพิ่มมาให้พี่เค้าได้ครับเพราะร้านไม่ใหญ่มากใช้ไม่เยอะ แต่ว่าร้านเค้ายังไม่เสร็จ จะเสร็จประมาณอีก 1 อาทิตย์ ดูภาพร้านตอนยังไม่เสร็จกันก่อนนะครับ ร้านชื่อว่า Favour Cafe’ จะเป็นร้านกาแฟที่ภายในร้านขายเสื้อผ้าด้วยครับส่วนเสื้อผ้าก็จากร้านแรกที่ผมรีวิวไปนั่นเอง ร้านอยู่แถวๆท่าเรือมหาราช ใกล้ๆศิลปากรวังท่าพระ, วัดพระแก้ว , ธรรมศาสตร์อ่ะครับ
1 อาทิตย์ผ่านไป ผมก็กลับมาพร้อมกับไฟเลยครับ แต่ร้านเหลือเก็บรายละเอียดอีกนิดนึงนะ ยังไม่เรียบร้อยดี แต่ผมก็เอาไฟมาให้พี่เค้าก่อนเลย พี่เค้าก็ให้พี่ช่างช่วย และเค้าก็อาสามาช่วยเองด้วยครับ ไฟที่ติดก็จะมีด้านข้างของร้าน กับด้านในของร้านครับ
ติดทั้งนอกร้านและในร้านเลยครับ
มาดูหลังจากติดไฟเสร็จกันเลยนะครับ จะมีผสมกับหลอดที่พี่เจ้าของร้านเค้าเตรียมมาเองด้วยนะครับ เค้าบอกว่าเป็นหลอดวินเทจ มันจะเข้ากับโคมไฟที่เค้าเลือกใช้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วอ่ะครับ ก็เลยใส่ผสมกันไปครับ แต่ก็ดูสวยดีนะครับมาดูแสงกันเลยครับ
อันนี้เป็นร้านตอนเสร็จแล้วนะครับ พี่เจ้าของร้านส่งรูปมาให้ผมดู บรรยากาศโอเคเลยทีเดียวครับ ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่าง ทั้งการจัดวางของภายในร้าน แสงสว่าง ยังไงก็ต้องขอขอบคุณพี่เจ้าของร้านจากร้าน Favour นะครับ ที่อนุญาตให้ผมนำรูปมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน จะบอกว่าเปลี่ยนไฟสองร้านนี้เล่นเอาเหนื่อยเลยนะครับ แต่ยังดีที่ Cafe’ มีช่างที่ทำร้านคอยช่วย ไม่งั้นผมแย่แน่ๆ
แสงในตอนกลางวันอาจจะเห็นแสงจากหลอดไฟไม่ชัดเท่าไหร่ เนื่องจากแสงแดดแรง ต้องรอช่วงเย็นๆไปจนถึงค่ำๆ ถึงจะเห็นว่าบรรยากาศในร้านมันโอเคมากๆ เลยครับ ผมลองเปรียบเทียบมาให้ดูครับ
บรรยากาศอื่นๆ รวมๆ ครับ
หลังจากดูร้านที่ไปจัดไฟเสร็จแล้ว อันนี้ผมขอแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนหลอดไฟกันนิดนึงนะครับ ว่าทำไมเราจึงควรเปลี่ยนมาเป็น LED กัน พอดีผมได้รับคำแนะนำมาอีกทีครับ เลยพบว่ามีหลายๆอย่างที่เข้าใจผิดมาตลอด
ปกติที่บ้านเราใช้หลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดนีออนกันอยู่ใช่มั้ยครับ แต่ผมจะบอกว่าหลอดพวกนั้นจะให้แสงสว่างที่มากเกินไป ถ้าเราเปิดทิ้งไว้นานๆ เนี่ย ความร้อนและรังสียูวีจะสามารถมาทำร้ายผิวของเราได้นะครับ แต่หลอด LED จะตรงกันข้ามเลยครับ มันจะให้ความสว่างที่พอเหมาะ ช่วยถนอมสายตา ไม่มีความร้อนและรังสียูวีครับ อันนี้เป็นข้อดีสุดๆของ LED เลย
อันนี้ผมขอแนะนำเรื่องการเลือกซื้อหลอดไฟ LED อีกนิดนึง สิ่งที่เราควรจะรู้มีดังนี้นะครับ
1. ต้องทราบโคมไฟที่เราใช้อยู่ว่าจะใส่หลอดชนิดไหน หรือขั้วแบบใด ได้บ้าง
2. ควรปริมาณแสง(ลูเมน) สีของแสง กำลังไฟที่ใช้(วัตต์) กระแสไฟฟ้าที่ใช้(โวลต์) และเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถดูได้ที่บนกล่องบรรจุภัณฑ์ ข้างกล่องบรรจุภัณฑ์ และตัวผลิตภัณฑ์ครับผม
ผมจะอธิบายจากตัวอย่างหลอดไฟที่ผมได้มาตามนี้นะครับ
จากหน้ากล่องจะแจ้งว่าไฟนี้มีกำลังไฟ 7.5 วัตต์
สีของแสงเป็นสี Warm white
ประหยัดพลังงาน 85%
ส่วนด้านข้างกล่องก็จะมีสัญลักษณ์ เครื่องหมายมาตรฐานต่างๆ บอกถึงตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อเน้นย้ำความมั่นใจมากขึ้น มีเสริมคำอธิบายคุณสมบัติต่างๆ รวมถึงแถบวัด ที่บอกปริมาณแสง กำลังไฟ และสีของแสงด้วยครับ
แล้วผมอยากอธิบายเพิ่มเติมเรื่องปริมาณแสงหน่อยนะครับ ที่มันมีหน่วยเป็นลูเมน เพราะตอนแรกผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามันคืออะไร เลยอยากอธิบายแบบสั้นๆ เผื่อใครที่ยังไม่รู้จะได้เข้าใจง่ายๆนะครับ ลูเมน มันเป็นค่าปริมาณความสว่างของแสงครับ ถ้าเราอยากได้ความสว่างที่มากขึ้นกว่าเดิม เราก็เลือกหลอดที่มีค่าลูเมนมากขึ้นนั่นเองครับซึ่งคนทั่วไปจะเข้าใจว่าวัตต์สูงยิ่งสว่างซึ่งจริงๆไม่ใช่ครับให้ดูที่ลูเมนเป็นหลักเลย
ส่วนด้านบนของกล่องก็จะมีคุณสมบัติแจ้งอีกเหมือนกันนะครับ มีบอกครบเหมือนกัน ทั้งกำลังไฟ กระแสไฟ ปริมาณแสง และสีของแสง รวมถึงขั้วของหลอดด้วยครับ
ซึ่งเวลาเราแกะหลอดในกล่องออกมา ในตัวหลอดไฟก็จะมีคุณสมบัติที่ผมบอกไปแจ้งไว้เหมือนกันครับ สรุปว่าเค้าบอกเอาไว้ทุกที่กันเลยทีเดียว ดูไม่ยากครับ
ถ้าอยากเปลี่ยนกันแบบทั้งบ้านอะไรแบบนี้ คืออยากให้ลองศึกษาดูนะครับ ว่าเราควรซื้อไฟแบบไหนยังไง เพราะไฟดูภายนอกมันจะเหมือนกันมาก แต่ในเรื่องคุณสมบัติ ระยะเวลาการใช้งาน ถ้าซื้อแบบมีมาตรฐานมันต่างกันแน่นอนครับ มันจะช่วยให้เราประหยัดเวลาเปลี่ยน ประหยัดเงินในกระเป๋า ไม่ต้องซื้อบ่อยๆ ครับ หรือถ้าไม่มั่นใจก็ลองซื้อมาเทสดูแสง ดูกำลังไฟ ความสว่าง กันก่อนก็ได้ครับ ถ้าซื้อมาทีเดียว อาจจะเสียดายเงิน เสียดายเวลาครับ ผมว่าทั้งบ้านไม่น่าใช้แสงหรือกำลังไฟเท่ากันหมดอ่ะครับ
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับคนที่คิดจะเปลี่ยนหลอดไฟใช้กันนะครับ ผมก็รู้มาประมาณเท่านี้เนอะ อาจจะมีผิดพลาดบ้าง หรืออาจจะดูเยอะ ฮ่าๆ แต่ถ้าอะไรที่ผมบอกไปมันมีผิดพลาดไปก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ^^
[SR] รีวิว หลอดไฟ LED ของ Philips พอดีได้มาลองใช้ครับ
ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Favour ครับ เป็นร้านขายเสื้อผ้า พิกัดร้านนี้จะอยู่ที่เอเชียทีค การตกแต่งร้านเค้าถือว่าโอเคเลยนะครับ แต่ไฟไม่ได้ใช้หลอด LED แล้วก็มีหลอดขาด หลอดเสีย ถ้าดูจากภาพจะเห็นว่าดับไปเยอะ หลังจากคุยกับพี่เจ้าของร้าน เค้าก็บอกโอเคครับ เพราะเค้าเองก็ไม่มีเวลาไปหาซื้อหลอดมาเปลี่ยน มาดูกันว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
มาดูบรรยากาศร้านที่ใช้ไฟแบบเดิมกันก่อนครับ
จะเห็นว่าบรรยากาศร้านในตอนแรกจะดูออกเหลืองๆ แสงจ้าเกินไป อาจจะเป็นเพราะการเลือกไฟผิดวัตต์มาใช้อ่ะครับ
สินค้าจะไม่เด่น กลืนๆ ไปกับไฟด้วย แล้วก็หลอดไฟแบบที่ไม่ใช่ LED พอเปิดไวนานๆจะร้อนมากๆ มี UV ด้วย
มีผลทำให้เสื้อผ้าสีซีดลง แถมทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและเสียค่าไฟมากขึ้นครับ
แต่หลอดแบบ LED จะไม่มี UV ไม่ร้อนด้วย ทำให้ประหยัดไฟไปได้ในตัวอีกด้วยครับ
หลังจากเราทำการเปลี่ยนให้พี่เค้าทั้งร้าน บรรยากาศร้านก็ดูโอเคขึ้นนะครับ ดูสว่างขึ้น ไม่เหลืองเกินไป
แล้วอันนี้ผมเปรียบเทียบแสงทั้ง 2 สีมาให้นะครับ เพราะหลอด LED ที่ผมได้มา มันจะมี 2 แสง เป็นแสงสีขาว กับ แสงสีเหลือง ครับ ผมเลยให้เจ้าของร้านเลือกครับ
สรุปทางร้านชอบแสงสีเหลืองมากกว่าเลยเปลี่ยนโซนอื่นเป็นแสงสีเหลืองครับ มาดู Before After กันครับ แต่ละมุม อันนี้จะเป็นรูปของไฟก่อน-หลัง เปลี่ยนครับ
มุมนี้แสงในร้านจะดูสว่างขึ้นครับแต่ไม่ได้สว่างจนแสบตา คือสว่างแบบมองสีเสื้อผ้าได้ชัดขึ้น
อันนี้อาจจะสังเกตยากหน่อยนะครับ แค่ถ้าดูดีๆ แสงมันจะดูสว่าง และนวลกว่าเดิมมากๆครับ ในภาพอาจจะเห็นไม่ชัด แต่ในที่จริงผมยืนยันได้เลยว่าต่างกันจริงๆครับ ดูสว่างกว่าเดิมเยอะเลย แล้วไฟ LED แบบนี้แสงจะไม่จ้าไปด้วยนะครับ ไม่ทำให้ปวดตาด้วยนะครับ ไม่ทำลายเสื้อผ้าด้วยเพราะแสงจากไฟปกติมี UV ทำให้สีของสินค้าซีดลง
แถมมุมอื่นๆ ในร้านครับ ไม่เหลืองแล้วครับ
ที่แรกผมกะจะลองกับร้านเสื้อผ้าแค่ร้านเดียวนะครับ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพอเปลี่ยนแล้วได้คุยกัน คุยไปคุยมา ก็รู้ว่าพี่เจ้าของร้านนี้ เค้ากำลังจะเปิด café’ ครับ เค้าเลยอยากได้สปอนเซอร์ไฟ ที่ร้านนั้นแบบนี้บ้าง ฮ่าๆ เค้าเลยถามว่าจะได้มั้ย ผมเลยบอกไปว่าอาจจะได้ เพราะผมต้องไปถามทาง Philips ก่อน ว่าเค้าจะให้ไฟเพิ่มได้มั้ย อะไรแบบนี้ครับ
สรุปว่า ผมขอไฟมาเพิ่มมาให้พี่เค้าได้ครับเพราะร้านไม่ใหญ่มากใช้ไม่เยอะ แต่ว่าร้านเค้ายังไม่เสร็จ จะเสร็จประมาณอีก 1 อาทิตย์ ดูภาพร้านตอนยังไม่เสร็จกันก่อนนะครับ ร้านชื่อว่า Favour Cafe’ จะเป็นร้านกาแฟที่ภายในร้านขายเสื้อผ้าด้วยครับส่วนเสื้อผ้าก็จากร้านแรกที่ผมรีวิวไปนั่นเอง ร้านอยู่แถวๆท่าเรือมหาราช ใกล้ๆศิลปากรวังท่าพระ, วัดพระแก้ว , ธรรมศาสตร์อ่ะครับ
1 อาทิตย์ผ่านไป ผมก็กลับมาพร้อมกับไฟเลยครับ แต่ร้านเหลือเก็บรายละเอียดอีกนิดนึงนะ ยังไม่เรียบร้อยดี แต่ผมก็เอาไฟมาให้พี่เค้าก่อนเลย พี่เค้าก็ให้พี่ช่างช่วย และเค้าก็อาสามาช่วยเองด้วยครับ ไฟที่ติดก็จะมีด้านข้างของร้าน กับด้านในของร้านครับ
ติดทั้งนอกร้านและในร้านเลยครับ
มาดูหลังจากติดไฟเสร็จกันเลยนะครับ จะมีผสมกับหลอดที่พี่เจ้าของร้านเค้าเตรียมมาเองด้วยนะครับ เค้าบอกว่าเป็นหลอดวินเทจ มันจะเข้ากับโคมไฟที่เค้าเลือกใช้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วอ่ะครับ ก็เลยใส่ผสมกันไปครับ แต่ก็ดูสวยดีนะครับมาดูแสงกันเลยครับ
อันนี้เป็นร้านตอนเสร็จแล้วนะครับ พี่เจ้าของร้านส่งรูปมาให้ผมดู บรรยากาศโอเคเลยทีเดียวครับ ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่าง ทั้งการจัดวางของภายในร้าน แสงสว่าง ยังไงก็ต้องขอขอบคุณพี่เจ้าของร้านจากร้าน Favour นะครับ ที่อนุญาตให้ผมนำรูปมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน จะบอกว่าเปลี่ยนไฟสองร้านนี้เล่นเอาเหนื่อยเลยนะครับ แต่ยังดีที่ Cafe’ มีช่างที่ทำร้านคอยช่วย ไม่งั้นผมแย่แน่ๆ
แสงในตอนกลางวันอาจจะเห็นแสงจากหลอดไฟไม่ชัดเท่าไหร่ เนื่องจากแสงแดดแรง ต้องรอช่วงเย็นๆไปจนถึงค่ำๆ ถึงจะเห็นว่าบรรยากาศในร้านมันโอเคมากๆ เลยครับ ผมลองเปรียบเทียบมาให้ดูครับ
บรรยากาศอื่นๆ รวมๆ ครับ
หลังจากดูร้านที่ไปจัดไฟเสร็จแล้ว อันนี้ผมขอแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนหลอดไฟกันนิดนึงนะครับ ว่าทำไมเราจึงควรเปลี่ยนมาเป็น LED กัน พอดีผมได้รับคำแนะนำมาอีกทีครับ เลยพบว่ามีหลายๆอย่างที่เข้าใจผิดมาตลอด
ปกติที่บ้านเราใช้หลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดนีออนกันอยู่ใช่มั้ยครับ แต่ผมจะบอกว่าหลอดพวกนั้นจะให้แสงสว่างที่มากเกินไป ถ้าเราเปิดทิ้งไว้นานๆ เนี่ย ความร้อนและรังสียูวีจะสามารถมาทำร้ายผิวของเราได้นะครับ แต่หลอด LED จะตรงกันข้ามเลยครับ มันจะให้ความสว่างที่พอเหมาะ ช่วยถนอมสายตา ไม่มีความร้อนและรังสียูวีครับ อันนี้เป็นข้อดีสุดๆของ LED เลย
อันนี้ผมขอแนะนำเรื่องการเลือกซื้อหลอดไฟ LED อีกนิดนึง สิ่งที่เราควรจะรู้มีดังนี้นะครับ
1. ต้องทราบโคมไฟที่เราใช้อยู่ว่าจะใส่หลอดชนิดไหน หรือขั้วแบบใด ได้บ้าง
2. ควรปริมาณแสง(ลูเมน) สีของแสง กำลังไฟที่ใช้(วัตต์) กระแสไฟฟ้าที่ใช้(โวลต์) และเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถดูได้ที่บนกล่องบรรจุภัณฑ์ ข้างกล่องบรรจุภัณฑ์ และตัวผลิตภัณฑ์ครับผม
ผมจะอธิบายจากตัวอย่างหลอดไฟที่ผมได้มาตามนี้นะครับ
จากหน้ากล่องจะแจ้งว่าไฟนี้มีกำลังไฟ 7.5 วัตต์
สีของแสงเป็นสี Warm white
ประหยัดพลังงาน 85%
ส่วนด้านข้างกล่องก็จะมีสัญลักษณ์ เครื่องหมายมาตรฐานต่างๆ บอกถึงตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อเน้นย้ำความมั่นใจมากขึ้น มีเสริมคำอธิบายคุณสมบัติต่างๆ รวมถึงแถบวัด ที่บอกปริมาณแสง กำลังไฟ และสีของแสงด้วยครับ
แล้วผมอยากอธิบายเพิ่มเติมเรื่องปริมาณแสงหน่อยนะครับ ที่มันมีหน่วยเป็นลูเมน เพราะตอนแรกผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามันคืออะไร เลยอยากอธิบายแบบสั้นๆ เผื่อใครที่ยังไม่รู้จะได้เข้าใจง่ายๆนะครับ ลูเมน มันเป็นค่าปริมาณความสว่างของแสงครับ ถ้าเราอยากได้ความสว่างที่มากขึ้นกว่าเดิม เราก็เลือกหลอดที่มีค่าลูเมนมากขึ้นนั่นเองครับซึ่งคนทั่วไปจะเข้าใจว่าวัตต์สูงยิ่งสว่างซึ่งจริงๆไม่ใช่ครับให้ดูที่ลูเมนเป็นหลักเลย
ส่วนด้านบนของกล่องก็จะมีคุณสมบัติแจ้งอีกเหมือนกันนะครับ มีบอกครบเหมือนกัน ทั้งกำลังไฟ กระแสไฟ ปริมาณแสง และสีของแสง รวมถึงขั้วของหลอดด้วยครับ
ซึ่งเวลาเราแกะหลอดในกล่องออกมา ในตัวหลอดไฟก็จะมีคุณสมบัติที่ผมบอกไปแจ้งไว้เหมือนกันครับ สรุปว่าเค้าบอกเอาไว้ทุกที่กันเลยทีเดียว ดูไม่ยากครับ
ถ้าอยากเปลี่ยนกันแบบทั้งบ้านอะไรแบบนี้ คืออยากให้ลองศึกษาดูนะครับ ว่าเราควรซื้อไฟแบบไหนยังไง เพราะไฟดูภายนอกมันจะเหมือนกันมาก แต่ในเรื่องคุณสมบัติ ระยะเวลาการใช้งาน ถ้าซื้อแบบมีมาตรฐานมันต่างกันแน่นอนครับ มันจะช่วยให้เราประหยัดเวลาเปลี่ยน ประหยัดเงินในกระเป๋า ไม่ต้องซื้อบ่อยๆ ครับ หรือถ้าไม่มั่นใจก็ลองซื้อมาเทสดูแสง ดูกำลังไฟ ความสว่าง กันก่อนก็ได้ครับ ถ้าซื้อมาทีเดียว อาจจะเสียดายเงิน เสียดายเวลาครับ ผมว่าทั้งบ้านไม่น่าใช้แสงหรือกำลังไฟเท่ากันหมดอ่ะครับ
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับคนที่คิดจะเปลี่ยนหลอดไฟใช้กันนะครับ ผมก็รู้มาประมาณเท่านี้เนอะ อาจจะมีผิดพลาดบ้าง หรืออาจจะดูเยอะ ฮ่าๆ แต่ถ้าอะไรที่ผมบอกไปมันมีผิดพลาดไปก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ^^