จากกรณีมีผู้ไม่หวังดีโปรยใบปลิวกระดาษเอ 4 โจมตีคณะกรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ข้อความยกเลิกอัยการศึก เสรีภาพ FREEDOM หยุดคุกคามประชาชน อำนาจเป็นของประชาชน หยุดข่มขู่สื่อมวลชน รอบบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. และที่หน้าร้านอาหารศรแดง เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น.วันที่23 พ.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ (26 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 23.00 น.วานนี้ (25 พ.ย.) พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พ.อ.คชาชาต บุญดี ผบ.ป.1 รอ. นำกำลังทหารจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1 รอ.) ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เข้าควบคุมตัวนายสิทธิทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา อายุ 54 ปี อาชีพสถาปนิก และนายวชิร หรือบอย ทองสุข อายุ 38 ปี ชาว จ.เพชรบุรี ผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโปรยใบปลิว
โดยควบคุมตัวนายสิทธิทัศน์ได้ที่บ้านเลขที่ 18 ซอยเพชรเกษม 48 แยก 16-1 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. พร้อมของกลางอุปกรณ์การพิมพ์ใบปลิว เช่น เครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อเอชพี 1 เครื่อง ปากกาเมจิกสีดำ คัตเตอร์ ไม้บรรทัดยาว ตลับหมึกปรินเตอร์ เสื้อยืดลายพรางทหาร 1 ตัว เสื้อยืดคอกลมสีดำสกรีนข้อความ “เสรีชนคนราชดำเนิน” 1 ตัว เสื้อยืดกลมสีดำสกรีนรูปนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ข้อความ “ภูผาขวางกั้นอธรรม” 1 ตัว หมวกลายพรางทหาร 2 ใบ เข็มขัดสีดำพร้อมซองปืนและซองกุญแจมือ 1 ชุด ห่วงขาผ้า 1 คู่ กระดาษขนาดเอ 4 ยี่ห้อโอเค 1 รีม รถเบนซ์ รุ่นซี 200 สีดำ ทะเบียน 1 กม 200 กรุงเทพมหานคร
ส่วนนายวชิรควบคุมตัวได้จาก จ.เพชรบุรี ตรวจยึดจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ 100 สีน้ำเงิน ทะเบียน กมร 4 นครปฐม ที่ใช้โปรยใบปลิวได้ภายหลัง จากนั้นได้ควบคุมตัวทั้งสองคนไว้ภายในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อทำการปรับทัศนคติ
จากการสอบสวนทั้งสองคนให้การรับสารภาพ โดยนายสิทธิทัศน์รับว่าเริ่มเขียนใบปลิวโจมตี คสช.ตั้งแต่เวลา 19.00 น.วันที่ 22 พ.ย.ด้วยตัวเอง ก่อนจะทำการถ่ายเอกสารไว้รวมแล้วกว่า 7,000 แผ่น จนกระทั่งเวลา 03.00 น.วันที่ 23 พ.ย.ก็นัดนายวชิรคนขับรถของตัวเอง ให้มาเจอกันที่ซอยสำราญราษฎร์ ก่อนส่งถุงใส่ใบปลิวให้นายวชิร เพื่อขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวโดยไม่ติดป้ายทะเบียน นำไปโปรยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ส่วนสาเหตุเนื่องจากตนเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.มาก่อนตั้งแต่ปี 2553 จากนั้นเมื่อมีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ก็ได้มาสังเกตการณ์ด้วย จนกระทั่ง คสช.ยึดอำนาจ ตนรู้สึกว่าถูกปิดกั้นสิทธิจึงอยากแสดงออกอะไรบางอย่าง และไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง
ด้าน พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.สำราญราษฎร์ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่บก.สส.บช.น. ควบคุมตัวตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนได้แล้ว ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ทหารนำตัวไปปรับทัศนคติ โดยในส่วนของ สน.สำราญราษฎร์ ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองคนจากศาลทหาร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารส่งตัวกลับมาให้ทาง สน.สำราญราษฎร์ ก็จะนำตัวส่งฝากขังต่อไป
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000136329
ทั้งนี้ นายสิทธิ์ทัศน์ ในอดีตเคยถูกร้องเรียนจากบริษัทรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอความเป็นธรรมจากการถูกนายทหารและนักการเมืองร่วมกันฉ้อโกงและข่มขู่ กรณีการอนุมัติให้รื้อถอนพื้นที่ทหารเพื่อสร้างเป็นอาคารรัฐสภาใหม่ โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า เมื่อ ก.ค. 2555 นายสิทธิ์ทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา ได้อ้างตัวเป็นผู้บริหารพรรคเพื่อไทย และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พร้อมกับติดบัตรแสดงตนว่า เป็นคณะทำงานของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เสนองานรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) และ ขสทบ.ที่ตั้งอยู่ถนนสามเสน เขตดุสิต เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ให้แก่บริษัท โดยอ้างว่าได้งานจากนายทหารระดับนายพล ตำแหน่งที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์
ต่อมา นายสิทธิ์ทัศน์ได้พาทีมงานไปพบกับ พ.ท.ชินสรณ์ เรืองศุข ผบ.ม.พัน.4 รอ. ที่ระบุว่ามีอำนาจในการมอบงานรื้อถอน และนำเอกสารอนุมัติการรื้อถอนของทางราชการมาแสดงต่อบริษัท พร้อมออกเอกสารราชการให้บริษัทเข้าทำการรื้อถอนได้ โดยไม่ต้องมีการประมูล แต่มีการเรียกรับเงินและค่าของขวัญราคาแพง จำนวน 4 ล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อจ่ายให้กับผู้ใหญ่ที่ให้งานมา แต่เมื่อถึงกำหนดเริ่มงาน พ.ท.ชินสรณ์ได้ขอเลื่อนถึง 2 ครั้ง จากนั้นได้ยกเลิกสัญญา และขึ้นป้ายให้บริษัทอื่นรื้อถอนแทน พร้อมปฏิเสธให้บริษัทเข้าพบ และโทรศัพท์พูดจาข่มขู่ให้หยุดดำเนินการใดๆ มิฉะนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย จึงได้ไปร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการต่างๆ
รวบสองแนวร่วม นปช.โปรยใบปลิวรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ (26 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 23.00 น.วานนี้ (25 พ.ย.) พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พ.อ.คชาชาต บุญดี ผบ.ป.1 รอ. นำกำลังทหารจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1 รอ.) ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เข้าควบคุมตัวนายสิทธิทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา อายุ 54 ปี อาชีพสถาปนิก และนายวชิร หรือบอย ทองสุข อายุ 38 ปี ชาว จ.เพชรบุรี ผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโปรยใบปลิว
โดยควบคุมตัวนายสิทธิทัศน์ได้ที่บ้านเลขที่ 18 ซอยเพชรเกษม 48 แยก 16-1 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. พร้อมของกลางอุปกรณ์การพิมพ์ใบปลิว เช่น เครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อเอชพี 1 เครื่อง ปากกาเมจิกสีดำ คัตเตอร์ ไม้บรรทัดยาว ตลับหมึกปรินเตอร์ เสื้อยืดลายพรางทหาร 1 ตัว เสื้อยืดคอกลมสีดำสกรีนข้อความ “เสรีชนคนราชดำเนิน” 1 ตัว เสื้อยืดกลมสีดำสกรีนรูปนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ข้อความ “ภูผาขวางกั้นอธรรม” 1 ตัว หมวกลายพรางทหาร 2 ใบ เข็มขัดสีดำพร้อมซองปืนและซองกุญแจมือ 1 ชุด ห่วงขาผ้า 1 คู่ กระดาษขนาดเอ 4 ยี่ห้อโอเค 1 รีม รถเบนซ์ รุ่นซี 200 สีดำ ทะเบียน 1 กม 200 กรุงเทพมหานคร
ส่วนนายวชิรควบคุมตัวได้จาก จ.เพชรบุรี ตรวจยึดจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ 100 สีน้ำเงิน ทะเบียน กมร 4 นครปฐม ที่ใช้โปรยใบปลิวได้ภายหลัง จากนั้นได้ควบคุมตัวทั้งสองคนไว้ภายในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อทำการปรับทัศนคติ
จากการสอบสวนทั้งสองคนให้การรับสารภาพ โดยนายสิทธิทัศน์รับว่าเริ่มเขียนใบปลิวโจมตี คสช.ตั้งแต่เวลา 19.00 น.วันที่ 22 พ.ย.ด้วยตัวเอง ก่อนจะทำการถ่ายเอกสารไว้รวมแล้วกว่า 7,000 แผ่น จนกระทั่งเวลา 03.00 น.วันที่ 23 พ.ย.ก็นัดนายวชิรคนขับรถของตัวเอง ให้มาเจอกันที่ซอยสำราญราษฎร์ ก่อนส่งถุงใส่ใบปลิวให้นายวชิร เพื่อขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวโดยไม่ติดป้ายทะเบียน นำไปโปรยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ส่วนสาเหตุเนื่องจากตนเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.มาก่อนตั้งแต่ปี 2553 จากนั้นเมื่อมีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ก็ได้มาสังเกตการณ์ด้วย จนกระทั่ง คสช.ยึดอำนาจ ตนรู้สึกว่าถูกปิดกั้นสิทธิจึงอยากแสดงออกอะไรบางอย่าง และไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง
ด้าน พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.สำราญราษฎร์ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่บก.สส.บช.น. ควบคุมตัวตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนได้แล้ว ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ทหารนำตัวไปปรับทัศนคติ โดยในส่วนของ สน.สำราญราษฎร์ ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองคนจากศาลทหาร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารส่งตัวกลับมาให้ทาง สน.สำราญราษฎร์ ก็จะนำตัวส่งฝากขังต่อไป
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000136329
ทั้งนี้ นายสิทธิ์ทัศน์ ในอดีตเคยถูกร้องเรียนจากบริษัทรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอความเป็นธรรมจากการถูกนายทหารและนักการเมืองร่วมกันฉ้อโกงและข่มขู่ กรณีการอนุมัติให้รื้อถอนพื้นที่ทหารเพื่อสร้างเป็นอาคารรัฐสภาใหม่ โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า เมื่อ ก.ค. 2555 นายสิทธิ์ทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา ได้อ้างตัวเป็นผู้บริหารพรรคเพื่อไทย และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พร้อมกับติดบัตรแสดงตนว่า เป็นคณะทำงานของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เสนองานรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) และ ขสทบ.ที่ตั้งอยู่ถนนสามเสน เขตดุสิต เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ให้แก่บริษัท โดยอ้างว่าได้งานจากนายทหารระดับนายพล ตำแหน่งที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์
ต่อมา นายสิทธิ์ทัศน์ได้พาทีมงานไปพบกับ พ.ท.ชินสรณ์ เรืองศุข ผบ.ม.พัน.4 รอ. ที่ระบุว่ามีอำนาจในการมอบงานรื้อถอน และนำเอกสารอนุมัติการรื้อถอนของทางราชการมาแสดงต่อบริษัท พร้อมออกเอกสารราชการให้บริษัทเข้าทำการรื้อถอนได้ โดยไม่ต้องมีการประมูล แต่มีการเรียกรับเงินและค่าของขวัญราคาแพง จำนวน 4 ล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อจ่ายให้กับผู้ใหญ่ที่ให้งานมา แต่เมื่อถึงกำหนดเริ่มงาน พ.ท.ชินสรณ์ได้ขอเลื่อนถึง 2 ครั้ง จากนั้นได้ยกเลิกสัญญา และขึ้นป้ายให้บริษัทอื่นรื้อถอนแทน พร้อมปฏิเสธให้บริษัทเข้าพบ และโทรศัพท์พูดจาข่มขู่ให้หยุดดำเนินการใดๆ มิฉะนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย จึงได้ไปร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการต่างๆ