คุณรู้จัก Rene Winkler ไหม?
ให้เดาคือ น้อยคนที่อาจจะรู้จักชื่อของ เรเน่ วินค์เลอร์
เรเน่เป็นนักเตะเยอรมันอายุ 21 เขาไม่เคยติดทีมชาติ
ไม่เคยอยู่ทีมใหญ่ๆ แม้แต่ทีมในลีก 2-3 เขาก็ยังไม่ใกล้เคียง เป็นเพียงนักเตะท้องถิ่น
อยู่ในทีมลีก 6 เท่านั้น และเขาก็ยังไม่ใช่ตัวจริงขาประจำ บางครั้งไม่มีชื่อแม้แต่สำรองด้วยซ้ำ
เรเน่ อาจดูไม่มีอะไรน่าจดจำ
ถ้าเกิดว่า เขาไม่ได้ไปเล่นโฆษณาชิ้นสำคัญเข้า
เขาคือนักเตะเยอรมันผู้โชคดี ที่ได้เล่นหนังโฆษณาชิ้นสำคัญให้กับทีมชาติเยอรมัน
นั่นคือโฆษณาชุด Schneller ins trikot หรือที่น่าจะแปลเป็นไทยได้ประมาณว่า
"ต้องเร็วกว่านี้ เพื่อเสื้อของคุณ"
โฆษณาชิ้นนี้โด่งดังอย่างมากในปี 2011 ปีที่มันออกอากาศ
จากข้อมูลคาดว่าเป็นโฆษณาที่ออนแอร์แค่ในประเทศเยอรมัน
เพราะจัดทำโดย อดิดาส เยอรมันเอง เล่าเรื่องของนักเตะน้องใหม่ในทีมชาติเยอรมัน ก่อนที่เขาจะได้เข้ามาติดทีมชาติ
มองเผินๆก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แค่เรื่องราวของนักเตะคนหนึ่ง โดยเทคนิคการนำเสนอแล้วไม่มีอะไรแปลกใหม่
แต่เวอร์ชั่นที่คุณได้ชมไป ยังไม่ใช่เวอร์ชั่นที่ถูกต้อง แต่เป็นเวอร์ชั่นที่แฟนๆทำขึ้นมาใหม่
ก่อนจะไปดูเวอร์ชั่น Original
มาดูเรื่องราวของ Erik Durm กันก่อน
ในปีที่โฆษณาออกอากาศ ก็อาจจะยังไม่มีใครรู้จักชื่อ Erik Durm มากนัก นอกจากพวกติดตามดาวรุ่ง
เพราะเขายังเป็นแค่นักเตะในอคาเดมี่ของ FSV Mainz 05 และอายุเพียง 19 ปี
แต่ 3 ปีต่อมา
เขาก็ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก
หลายเดือนก่อน Erik Durm นักเตะเยอรมันอายุ 22 ปีพึ่งติดทีมชาติชุดใหญ่ได้ 5 เกม
แม้เขาไม่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 แต่เขาก็เป็นหนึ่งในรายชื่อสำรองและเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมในเกมสำคัญ
ที่พาเยอรมันไปคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ได้ที่บราซิล
ย้อนกลับไปยังเกมแรกที่เขาได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของเยอรมันคือ เกมแรกของฤดูกาล 2013-14 ของโบรุซเซียดอร์ทมุนด์ โดยลงไปเล่นท้ายเกมแทนที่โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ โดยตอนนั้นสกอร์ของทีมชนะขาดไปแล้ว 4 ประตูต่อ 0
ในปีนั้น อีริกได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแบ็คซ้ายตัวจริงอย่าง มาร์เซล สเมลเซอร์มีปัญหาบาดเจ็บบ่อยครั้ง อีริกเป็นเด็กที่สโมสรเซ็นมาจาก Mainz 05 ตอนปี 2012 เล่นอยู่ทีมสำรองมาตลอด จนสโมสรพึ่งดันขึ้นมาเล่นทีมใหญ่ในฤดูกาล 2013-14 ก็ได้โอกาสลงเล่นพอดี ที่น่าเซอร์ไพรซ์คือ เขาเริ่มต้นได้ดีมากๆด้วย ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของอีริกนั้น มันมากขนาดที่ว่า โยอาคิม เลิฟ เรียกตัวเขาติดทีมชาติไปบอลโลกด้วยก็แล้วกัน
นัดที่เขาถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกคือเกมกระชับมิตร ก่อนจะถูกเรียกติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกอีกครั้ง
และได้ลงเล่นถึง 4 เกมในรอบคัดเลือก จนกระทั่งเขาได้ไปคว้าแชมป์โลกมาได้ในที่สุด
ดูเหมือนทุกอย่างสวยหรู และ ง่ายดาย แต่อันที่จริง มันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น
อีริกก็เป็นเหมือนนักเตะคนอื่นๆ เขาก็เป็นแค่เด็กขี้อาย นักเตะจากชนบทของเยอรมันที่ชอบการเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่เด็ก
ไต่เต้ามาจากสโมสรท้องถิ่น ได้อยู่ในอคาดามี่ แม้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรนัก
แต่จับพลัดจับผลู เขาก็เริ่มเข้าตาทีมใหญ่บ้างแล้ว เมื่อได้เซ็นสัญญากับดอร์ทมุนด์
สำหรับเด็กที่เล่นฟุตบอลท้องถิ่นมาตลอด นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้ว
เมื่อได้ขึ้นทีมใหญ่ปีแรก และทีมไปจบที่อันดับ 2 ของลีก ก็นับว่าเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดสุดๆสำหรับเขา
แต่อีริกยังไม่รู้ เขามีโอกาสเป็นได้มากกว่านั้น
อย่างที่เราทราบกัน เขาไปถึงบราซิล และกลับมายังเยอรมันพร้อมด้วย เหรียญสีทองคล้องคอ
นับจากวันที่ลงเล่นบุนเดสลีก้าเกมแรกถึงวันที่เขาไปคว้าแชมป์โลกได้ กินระยะเวลาราวๆ 1 ปีพอดี (10 ส.ค. 2013 – 13 ก.ค. 2014) สำหรับอีริกแล้ว นี่มันคงเกินกว่าที่เขาเคยคิดฝันว่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ขนาดนี้
วันที่เขาได้แชมป์โลก เขากลับมายังเยอรมัน ทุกคนเรียกเขาว่า นักเตะแชมป์โลก เขากลับไปยังบ้านเกิด มีพิธีเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ คนแปะป้ายที่หน้าทางเข้าเมืองเกิดว่า "ยินดีต้อนรับแชมป์โลก"
อีริกเล่าว่า เขายังจำได้ว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขายังเล่นในสนามเล็กๆที่เต็มไปด้วยฝุ่นของที่นี่อยู่เลย ขณะที่ลุงและป้าข้างบ้าน ที่มองเห็นอีริกมาตลอดถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ที่เขาไปได้ไกลในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ (อีริกมักต้องติดรถลุงข้างบ้านออกไปที่สนามแข่ง เนื่องจากที่บ้านเขาไม่มีรถส่วนตัว) วันนี้เขากลายเป็นนักเตะที่มีชื่อต่อท้ายว่า "แชมป์โลก" ไปเสียแล้ว (แต่ตัวอีริกเองยังออกปากอยู่เสมอว่า เขาไม่ใช่คนเก่งอะไร)
นั่นทำให้ เมื่อเราเห็นอีริกในวันนี้ ทำให้เรานึกถึงโฆษณาตัวนี้ขึ้นมา
มันคล้ายกับชีวิตของอีริก อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
และนี่คือโฆษณาเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่อดิดาสเยอรมันปล่อยออกมาครั้งแรก
มันแตกต่างจากเวอร์ชั่นที่เราให้ดูไปก่อนหน้า แค่เพียงเป็นภาพ Backward เท่านั้น
แต่ความหมายของมันเปลี่ยนไปทั้งหมด
และเป็นความหมายที่สอดคล้องกับตัว Tag Line ของโฆษณานี้ด้วย
ในเวอร์ชั่นที่แฟนๆทำขึ้น ที่เราให้คุณดูไปในตอนแรก เป็นเวอร์ชั่นที่เล่าเรื่องจากอดีตมาถึงปัจจุบัน
แต่เวอร์ชั่นของอดิดาสเล่าจากปัจจุบันย้อนไปยังอดีต
นั่นคือ
โฆษณาชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ นักเตะคนนึงต้องผ่านอะไรมาแล้วบ้าง เขาฉายภาพให้เห็นความสำเร็จก่อน แล้วค่อยย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น
เป็นเทคนิคที่ง่ายมาก แต่ฉลาดในการเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับเนื้อหาสุดๆ
Simply is the best จริงๆ
ซึ่ง Tag Line ของโฆษณาชิ้นนี้ก็คือ
The Jersey Faster : Run faster. Play faster. Get the jersey faster
วิ่งให้เร็วกว่า เล่นให้เร็วกว่า แล้วเสื้อก็จะเป็นของคุณได้เร็วกว่า
ภาพที่คุณเห็นในวันนี้ อาจเป็นภาพที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว
แต่เมือมองย้อนกลับไป คุณก็จะได้รู้ว่า เส้นทางของเขาก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
เริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ คุณก็ไปถึงฝันเร็วขึ้นเท่านั้น
เรื่องราวสมมุติของ เรเน่ วินค์เลอร์ เมื่อ 3 ปีก่อน มันกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงของ อีริค ดวร์ม
เพียงแต่ของดวร์ม มันก้าวไปไกลกว่านั้นมาก เขาไม่เพียงคว้าเสือทีมชาติมาเป็นของตัวเองได้เท่านั้น
เขาไปยังถึงฝันอันสูงสุดของนักฟุตบอลทุกคนมาแล้ว
เขาได้ชูถ้วยแชมป์โลก มันไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป...
[DFB] เรื่องราวของ Rene Winkler และ ชีวิตจริงของ Erik Durm
ให้เดาคือ น้อยคนที่อาจจะรู้จักชื่อของ เรเน่ วินค์เลอร์
เรเน่เป็นนักเตะเยอรมันอายุ 21 เขาไม่เคยติดทีมชาติ
ไม่เคยอยู่ทีมใหญ่ๆ แม้แต่ทีมในลีก 2-3 เขาก็ยังไม่ใกล้เคียง เป็นเพียงนักเตะท้องถิ่น
อยู่ในทีมลีก 6 เท่านั้น และเขาก็ยังไม่ใช่ตัวจริงขาประจำ บางครั้งไม่มีชื่อแม้แต่สำรองด้วยซ้ำ
เรเน่ อาจดูไม่มีอะไรน่าจดจำ
ถ้าเกิดว่า เขาไม่ได้ไปเล่นโฆษณาชิ้นสำคัญเข้า
เขาคือนักเตะเยอรมันผู้โชคดี ที่ได้เล่นหนังโฆษณาชิ้นสำคัญให้กับทีมชาติเยอรมัน
นั่นคือโฆษณาชุด Schneller ins trikot หรือที่น่าจะแปลเป็นไทยได้ประมาณว่า
"ต้องเร็วกว่านี้ เพื่อเสื้อของคุณ"
โฆษณาชิ้นนี้โด่งดังอย่างมากในปี 2011 ปีที่มันออกอากาศ
จากข้อมูลคาดว่าเป็นโฆษณาที่ออนแอร์แค่ในประเทศเยอรมัน
เพราะจัดทำโดย อดิดาส เยอรมันเอง เล่าเรื่องของนักเตะน้องใหม่ในทีมชาติเยอรมัน ก่อนที่เขาจะได้เข้ามาติดทีมชาติ
มองเผินๆก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แค่เรื่องราวของนักเตะคนหนึ่ง โดยเทคนิคการนำเสนอแล้วไม่มีอะไรแปลกใหม่
แต่เวอร์ชั่นที่คุณได้ชมไป ยังไม่ใช่เวอร์ชั่นที่ถูกต้อง แต่เป็นเวอร์ชั่นที่แฟนๆทำขึ้นมาใหม่
ก่อนจะไปดูเวอร์ชั่น Original
มาดูเรื่องราวของ Erik Durm กันก่อน
ในปีที่โฆษณาออกอากาศ ก็อาจจะยังไม่มีใครรู้จักชื่อ Erik Durm มากนัก นอกจากพวกติดตามดาวรุ่ง
เพราะเขายังเป็นแค่นักเตะในอคาเดมี่ของ FSV Mainz 05 และอายุเพียง 19 ปี
แต่ 3 ปีต่อมา
เขาก็ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก
หลายเดือนก่อน Erik Durm นักเตะเยอรมันอายุ 22 ปีพึ่งติดทีมชาติชุดใหญ่ได้ 5 เกม
แม้เขาไม่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 แต่เขาก็เป็นหนึ่งในรายชื่อสำรองและเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมในเกมสำคัญ
ที่พาเยอรมันไปคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ได้ที่บราซิล
ย้อนกลับไปยังเกมแรกที่เขาได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของเยอรมันคือ เกมแรกของฤดูกาล 2013-14 ของโบรุซเซียดอร์ทมุนด์ โดยลงไปเล่นท้ายเกมแทนที่โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ โดยตอนนั้นสกอร์ของทีมชนะขาดไปแล้ว 4 ประตูต่อ 0
ในปีนั้น อีริกได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแบ็คซ้ายตัวจริงอย่าง มาร์เซล สเมลเซอร์มีปัญหาบาดเจ็บบ่อยครั้ง อีริกเป็นเด็กที่สโมสรเซ็นมาจาก Mainz 05 ตอนปี 2012 เล่นอยู่ทีมสำรองมาตลอด จนสโมสรพึ่งดันขึ้นมาเล่นทีมใหญ่ในฤดูกาล 2013-14 ก็ได้โอกาสลงเล่นพอดี ที่น่าเซอร์ไพรซ์คือ เขาเริ่มต้นได้ดีมากๆด้วย ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของอีริกนั้น มันมากขนาดที่ว่า โยอาคิม เลิฟ เรียกตัวเขาติดทีมชาติไปบอลโลกด้วยก็แล้วกัน
นัดที่เขาถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกคือเกมกระชับมิตร ก่อนจะถูกเรียกติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกอีกครั้ง
และได้ลงเล่นถึง 4 เกมในรอบคัดเลือก จนกระทั่งเขาได้ไปคว้าแชมป์โลกมาได้ในที่สุด
ดูเหมือนทุกอย่างสวยหรู และ ง่ายดาย แต่อันที่จริง มันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น
อีริกก็เป็นเหมือนนักเตะคนอื่นๆ เขาก็เป็นแค่เด็กขี้อาย นักเตะจากชนบทของเยอรมันที่ชอบการเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่เด็ก
ไต่เต้ามาจากสโมสรท้องถิ่น ได้อยู่ในอคาดามี่ แม้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรนัก
แต่จับพลัดจับผลู เขาก็เริ่มเข้าตาทีมใหญ่บ้างแล้ว เมื่อได้เซ็นสัญญากับดอร์ทมุนด์
สำหรับเด็กที่เล่นฟุตบอลท้องถิ่นมาตลอด นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้ว
เมื่อได้ขึ้นทีมใหญ่ปีแรก และทีมไปจบที่อันดับ 2 ของลีก ก็นับว่าเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดสุดๆสำหรับเขา
แต่อีริกยังไม่รู้ เขามีโอกาสเป็นได้มากกว่านั้น
อย่างที่เราทราบกัน เขาไปถึงบราซิล และกลับมายังเยอรมันพร้อมด้วย เหรียญสีทองคล้องคอ
นับจากวันที่ลงเล่นบุนเดสลีก้าเกมแรกถึงวันที่เขาไปคว้าแชมป์โลกได้ กินระยะเวลาราวๆ 1 ปีพอดี (10 ส.ค. 2013 – 13 ก.ค. 2014) สำหรับอีริกแล้ว นี่มันคงเกินกว่าที่เขาเคยคิดฝันว่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ขนาดนี้
วันที่เขาได้แชมป์โลก เขากลับมายังเยอรมัน ทุกคนเรียกเขาว่า นักเตะแชมป์โลก เขากลับไปยังบ้านเกิด มีพิธีเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ คนแปะป้ายที่หน้าทางเข้าเมืองเกิดว่า "ยินดีต้อนรับแชมป์โลก"
อีริกเล่าว่า เขายังจำได้ว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขายังเล่นในสนามเล็กๆที่เต็มไปด้วยฝุ่นของที่นี่อยู่เลย ขณะที่ลุงและป้าข้างบ้าน ที่มองเห็นอีริกมาตลอดถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ที่เขาไปได้ไกลในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ (อีริกมักต้องติดรถลุงข้างบ้านออกไปที่สนามแข่ง เนื่องจากที่บ้านเขาไม่มีรถส่วนตัว) วันนี้เขากลายเป็นนักเตะที่มีชื่อต่อท้ายว่า "แชมป์โลก" ไปเสียแล้ว (แต่ตัวอีริกเองยังออกปากอยู่เสมอว่า เขาไม่ใช่คนเก่งอะไร)
มันคล้ายกับชีวิตของอีริก อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
และนี่คือโฆษณาเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่อดิดาสเยอรมันปล่อยออกมาครั้งแรก
มันแตกต่างจากเวอร์ชั่นที่เราให้ดูไปก่อนหน้า แค่เพียงเป็นภาพ Backward เท่านั้น
แต่ความหมายของมันเปลี่ยนไปทั้งหมด
และเป็นความหมายที่สอดคล้องกับตัว Tag Line ของโฆษณานี้ด้วย
ในเวอร์ชั่นที่แฟนๆทำขึ้น ที่เราให้คุณดูไปในตอนแรก เป็นเวอร์ชั่นที่เล่าเรื่องจากอดีตมาถึงปัจจุบัน
แต่เวอร์ชั่นของอดิดาสเล่าจากปัจจุบันย้อนไปยังอดีต
นั่นคือ
โฆษณาชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ นักเตะคนนึงต้องผ่านอะไรมาแล้วบ้าง เขาฉายภาพให้เห็นความสำเร็จก่อน แล้วค่อยย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น
เป็นเทคนิคที่ง่ายมาก แต่ฉลาดในการเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับเนื้อหาสุดๆ
Simply is the best จริงๆ
The Jersey Faster : Run faster. Play faster. Get the jersey faster
วิ่งให้เร็วกว่า เล่นให้เร็วกว่า แล้วเสื้อก็จะเป็นของคุณได้เร็วกว่า
ภาพที่คุณเห็นในวันนี้ อาจเป็นภาพที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว
แต่เมือมองย้อนกลับไป คุณก็จะได้รู้ว่า เส้นทางของเขาก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
เริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ คุณก็ไปถึงฝันเร็วขึ้นเท่านั้น
เรื่องราวสมมุติของ เรเน่ วินค์เลอร์ เมื่อ 3 ปีก่อน มันกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงของ อีริค ดวร์ม
เพียงแต่ของดวร์ม มันก้าวไปไกลกว่านั้นมาก เขาไม่เพียงคว้าเสือทีมชาติมาเป็นของตัวเองได้เท่านั้น
เขาไปยังถึงฝันอันสูงสุดของนักฟุตบอลทุกคนมาแล้ว