เนื่องจากอยู่ๆเราก็นึกถึงเพลงนี้แล้วมาคิดถึงเนื้อหาและที่ไปที่มาของเพลงจริงๆเลยเกิดข้อสงสัยว่าจริงๆแล้วเพลงหน้าที่ 10 ประการของเด็กนี่มัน
เป็นสิ่งที่จำเป็นรึเปล่า มันปลูกฝังค่านิยมผิดๆที่ไม่จำเป็นรึเปล่า หลังจากได้ลองหาข้อมูลแล้วก็พบว่าเพลงนี้ที่แต่งขึ้นพร้อมๆกับการเกิดของวันเด็ก
และมีจุดประสงค์คือกระตุ้นให้เด็กได้รู้ถึงบทบาท หน้าที่ สิทธิ ความรับผิดชอบและระเบียบวินัยของการที่จะเป็นเด็กดีได้ ซึ่งทำให้เราเกิดข้อสงสัยต่างๆ
อย่างเช่น ในข้อแรกที่ร้องว่าเด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน
1.นับถือศาสนา
จริงๆแล้วการจะเป็นเด็กดีต้องนับถือศาสนามั้ย? เราคิดว่าไม่ เพราะการนับถือศาสนาเป็นแค่ความเชื่อส่วนบุคคล หากไม่นับถือก็คือไม่เชื่อซึ่งก็
คือไม่ผิดเนื่องจากมันไม่ได้เบียดเบียนหรือทำให้ใครเดือดร้อน แล้วเราก็เกิดคำถามอีกว่าจริงๆแล้วการนับถือศาสนาเนี่ยมันอาจจะส่งผลเสียได้
มากกว่าผลดีรึเปล่า คือถ้าถามว่าศาสนานั้นดีมั้ย เราว่าดีนะ เพราะแน่นอนล่ะว่ามันสอนให้ทุกคนทำดี ละเว้นความชั่ว รักเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือผู้คน
เป็นที่พึ่งให้จิตใจ ทำให้สบายใจแต่หากพูดถึงผลเสียแล้วซึ่งเราคิดๆดูแล้วว่ามันก็ทำให้เกิดผลเสียมากมายคือ มันทำให้บางคนงมงายมากเกินไป
กับสิ่งที่แทบจะพิสูจ์ไม่ได้ว่ามีจริงๆ หลายๆคนถึงขั้นใช้มันเป็นข้ออ้างถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริง หรือรุนแรงกว่านั้นคือบางคน
ถึงขั้นใช้ศาสนามาเป็นเครื่องชี้มูลความผิด แช่งให้คนอื่นตกนรกหรือพระเจ้าจะลงโทษ อีกผลเสียที่เรานึกได้คือศาสนาทำให้เกิดการแบ่งแยกและ
ทะเลาะกัน โดยมีตัวอย่างให้เห็นชัดๆได้ในประเทศอินเดีย หรือตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้เลยคือเราอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับอาม่า ปกติเรานับถือ
คริสต์แต่อาม่านับถือพุทธและพระญี่ปุ่น แน่นอนว่าเราโดนอาม่าพูดถากถางและว่าศาสนาของเราบ่อย ซึ่งเราไม่ได้ซีเรียสนะเพราะแน่นอนว่าแกก็ต้อง
มองว่าสิ่งที่แกเชื่อนั้นดีที่สุดอยู่แล้ว หรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับแม่เราคือพ่อเรานับถือพุทธ แม่นับถือคริสต์ ทำให้ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยมากเพราะ
พ่อชอบดูถูกและด่าแม่ว่าโง่ที่นับถือศาสนานี้ อันนี้เราไม่ได้ตั้งใจให้มองว่าคนนับถือพุทธมีแต่คนดูถูกศาสนาอื่นแบบนี้นะ แต่เรายกตัวอย่างเพื่อชี้ให้
เห็นว่าศาสนานั้นจริงๆก็ส่งผลให้เกิดความแตกแยกเหมือนกัน และเราไม่ได้ตัดสินคุณค่าศาสนาใดนะ เพราะทุกศาสนานั้นดีหมดเหมือนที่เราบอกไว้
ข้างต้น ผลเสียอีกอย่างหนึ่งคือมันทำให้บางคนเสียเงินให้ศาสนามากเกินไป ซึ่งมันก็ดีแหละที่เป็นการส่งเสริมให้สิ่งที่ตัวเองเคารพให้ดำรงต่อไป
แต่บางคนก็มุ่งเสียเงินให้กับวัดกับโบสถ์มากเกินไปโดยมีความเชื่อว่ายิ่งทำให้วัดยิ่งได้บุญเยอะ ได้ไปสวรรค์ ซึ่งเรามองว่าถ้าเอาเงินส่วนนี้ไปช่วย
คนที่ลำบากจริงๆจะดีกว่ารึเปล่า ข้อมูลจาก wiki บอกว่าศาสนาเกิดจากความต้องการเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ เป็นคำสอนยึดเหนี่ยวจิตใจ
เป็นความเชื่อมุมมองแห่งชีวิต เราเลยมองว่าคนไม่นับถือศาสนาก็สามารถมีความเชื่อ มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ มีศีลธรรมประจำใจได้ และก็สามารถ
เข้าใจแก่นของแต่ละศาสนาได้โดยไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนานั้นๆ เราเลยคิดว่ามันเป็นการปลูกฝังค่านิยมผิดๆให้แก่เด็กรึเปล่าที่ว่าจะเป็นคนดีได้
นั้นต้องนับถือศาสนา
อีกหัวข้อนึงคือ
ข้อ 3 ที่ว่าเด็กดีต้องเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์
ข้อนี่เราก็คิดว่าจริงๆแล้วการปลูกฝังให้เด็กเชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ไปทุกอย่างโดยปราศจากการคิดวิเคราะห์พิจารณาว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิดเป็นสิ่งที่
ไม่ถูกต้องเท่าไหร่เพราะทุกสิ่งที่พ่อแม่หรือครูอาจารย์พูดหรือทำแน่นอนว่าไม่มีทางถูกต้องไปหมดทุกอย่างอย่างเช่นในกรณีที่เราเคยเห็นจริงๆคือ
แม่คนนึงวางแก้วน้ำที่กินหมดแล้วไว้บนพื้นโดยบอกว่าลูกว่าเดี๋ยวก็มีคนมาเก็บเอง ซึ่งถ้าลูกเชื่อแม่โดยปราศจากการพิจารณาว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด
ก็จะทำให้เขามองว่าการทิ้งขยะลงพื้นให้เป็นภาระเพิ่มขึ้นของคนเก็บขยะไม่ใช่สิ่งที่ผิด เราจึงคิดว่าการเป็นเด็กดีได้นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังพ่อ
แม่ไปซะทุกอย่าง และการที่ไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้แปลว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กอกตัญญู เป็นเด็กไม่ดี ไม่รักพ่อแม่เพราะมันไม่เกี่ยวกันเลย
จากเหตุผลที่เราให้มาข้างตัน เราจึงคิดว่าจริงๆแล้วข้อปลูกฝังเหล่านี้อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีรึเปล่า ถ้าใครเห็นต่างสามารถแย้งด้วย
เหตุผลได้เลยนะ เราอยากฟัง เรามาตั้งกระทู้ในนี้ก็เพราะต้องการเห็นความคิดเห็นหลายๆแบบ และหากเราได้ทำให้คุณไม่สบายใจเพราะเหตุผล
ที่เราให้ไปหรือใช้คำพูดผิด เข้าใจอะไรผิดก็ขอโทษด้วย และคุณสามารถแย้งได้นะ
เพลงหน้าที่ของเด็กเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดหรือไม่?
เป็นสิ่งที่จำเป็นรึเปล่า มันปลูกฝังค่านิยมผิดๆที่ไม่จำเป็นรึเปล่า หลังจากได้ลองหาข้อมูลแล้วก็พบว่าเพลงนี้ที่แต่งขึ้นพร้อมๆกับการเกิดของวันเด็ก
และมีจุดประสงค์คือกระตุ้นให้เด็กได้รู้ถึงบทบาท หน้าที่ สิทธิ ความรับผิดชอบและระเบียบวินัยของการที่จะเป็นเด็กดีได้ ซึ่งทำให้เราเกิดข้อสงสัยต่างๆ
อย่างเช่น ในข้อแรกที่ร้องว่าเด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน
1.นับถือศาสนา
จริงๆแล้วการจะเป็นเด็กดีต้องนับถือศาสนามั้ย? เราคิดว่าไม่ เพราะการนับถือศาสนาเป็นแค่ความเชื่อส่วนบุคคล หากไม่นับถือก็คือไม่เชื่อซึ่งก็
คือไม่ผิดเนื่องจากมันไม่ได้เบียดเบียนหรือทำให้ใครเดือดร้อน แล้วเราก็เกิดคำถามอีกว่าจริงๆแล้วการนับถือศาสนาเนี่ยมันอาจจะส่งผลเสียได้
มากกว่าผลดีรึเปล่า คือถ้าถามว่าศาสนานั้นดีมั้ย เราว่าดีนะ เพราะแน่นอนล่ะว่ามันสอนให้ทุกคนทำดี ละเว้นความชั่ว รักเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือผู้คน
เป็นที่พึ่งให้จิตใจ ทำให้สบายใจแต่หากพูดถึงผลเสียแล้วซึ่งเราคิดๆดูแล้วว่ามันก็ทำให้เกิดผลเสียมากมายคือ มันทำให้บางคนงมงายมากเกินไป
กับสิ่งที่แทบจะพิสูจ์ไม่ได้ว่ามีจริงๆ หลายๆคนถึงขั้นใช้มันเป็นข้ออ้างถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริง หรือรุนแรงกว่านั้นคือบางคน
ถึงขั้นใช้ศาสนามาเป็นเครื่องชี้มูลความผิด แช่งให้คนอื่นตกนรกหรือพระเจ้าจะลงโทษ อีกผลเสียที่เรานึกได้คือศาสนาทำให้เกิดการแบ่งแยกและ
ทะเลาะกัน โดยมีตัวอย่างให้เห็นชัดๆได้ในประเทศอินเดีย หรือตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้เลยคือเราอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับอาม่า ปกติเรานับถือ
คริสต์แต่อาม่านับถือพุทธและพระญี่ปุ่น แน่นอนว่าเราโดนอาม่าพูดถากถางและว่าศาสนาของเราบ่อย ซึ่งเราไม่ได้ซีเรียสนะเพราะแน่นอนว่าแกก็ต้อง
มองว่าสิ่งที่แกเชื่อนั้นดีที่สุดอยู่แล้ว หรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับแม่เราคือพ่อเรานับถือพุทธ แม่นับถือคริสต์ ทำให้ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยมากเพราะ
พ่อชอบดูถูกและด่าแม่ว่าโง่ที่นับถือศาสนานี้ อันนี้เราไม่ได้ตั้งใจให้มองว่าคนนับถือพุทธมีแต่คนดูถูกศาสนาอื่นแบบนี้นะ แต่เรายกตัวอย่างเพื่อชี้ให้
เห็นว่าศาสนานั้นจริงๆก็ส่งผลให้เกิดความแตกแยกเหมือนกัน และเราไม่ได้ตัดสินคุณค่าศาสนาใดนะ เพราะทุกศาสนานั้นดีหมดเหมือนที่เราบอกไว้
ข้างต้น ผลเสียอีกอย่างหนึ่งคือมันทำให้บางคนเสียเงินให้ศาสนามากเกินไป ซึ่งมันก็ดีแหละที่เป็นการส่งเสริมให้สิ่งที่ตัวเองเคารพให้ดำรงต่อไป
แต่บางคนก็มุ่งเสียเงินให้กับวัดกับโบสถ์มากเกินไปโดยมีความเชื่อว่ายิ่งทำให้วัดยิ่งได้บุญเยอะ ได้ไปสวรรค์ ซึ่งเรามองว่าถ้าเอาเงินส่วนนี้ไปช่วย
คนที่ลำบากจริงๆจะดีกว่ารึเปล่า ข้อมูลจาก wiki บอกว่าศาสนาเกิดจากความต้องการเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ เป็นคำสอนยึดเหนี่ยวจิตใจ
เป็นความเชื่อมุมมองแห่งชีวิต เราเลยมองว่าคนไม่นับถือศาสนาก็สามารถมีความเชื่อ มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ มีศีลธรรมประจำใจได้ และก็สามารถ
เข้าใจแก่นของแต่ละศาสนาได้โดยไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนานั้นๆ เราเลยคิดว่ามันเป็นการปลูกฝังค่านิยมผิดๆให้แก่เด็กรึเปล่าที่ว่าจะเป็นคนดีได้
นั้นต้องนับถือศาสนา
อีกหัวข้อนึงคือข้อ 3 ที่ว่าเด็กดีต้องเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์
ข้อนี่เราก็คิดว่าจริงๆแล้วการปลูกฝังให้เด็กเชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ไปทุกอย่างโดยปราศจากการคิดวิเคราะห์พิจารณาว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิดเป็นสิ่งที่
ไม่ถูกต้องเท่าไหร่เพราะทุกสิ่งที่พ่อแม่หรือครูอาจารย์พูดหรือทำแน่นอนว่าไม่มีทางถูกต้องไปหมดทุกอย่างอย่างเช่นในกรณีที่เราเคยเห็นจริงๆคือ
แม่คนนึงวางแก้วน้ำที่กินหมดแล้วไว้บนพื้นโดยบอกว่าลูกว่าเดี๋ยวก็มีคนมาเก็บเอง ซึ่งถ้าลูกเชื่อแม่โดยปราศจากการพิจารณาว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด
ก็จะทำให้เขามองว่าการทิ้งขยะลงพื้นให้เป็นภาระเพิ่มขึ้นของคนเก็บขยะไม่ใช่สิ่งที่ผิด เราจึงคิดว่าการเป็นเด็กดีได้นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังพ่อ
แม่ไปซะทุกอย่าง และการที่ไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้แปลว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กอกตัญญู เป็นเด็กไม่ดี ไม่รักพ่อแม่เพราะมันไม่เกี่ยวกันเลย
จากเหตุผลที่เราให้มาข้างตัน เราจึงคิดว่าจริงๆแล้วข้อปลูกฝังเหล่านี้อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีรึเปล่า ถ้าใครเห็นต่างสามารถแย้งด้วย
เหตุผลได้เลยนะ เราอยากฟัง เรามาตั้งกระทู้ในนี้ก็เพราะต้องการเห็นความคิดเห็นหลายๆแบบ และหากเราได้ทำให้คุณไม่สบายใจเพราะเหตุผล
ที่เราให้ไปหรือใช้คำพูดผิด เข้าใจอะไรผิดก็ขอโทษด้วย และคุณสามารถแย้งได้นะ