“ฝึกสอน” ที่เห็น และ เป็นอยู่
สวัสดีสมาชิกชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องราวมาแบ่งปันเกี่ยวกับก้าวแรกในการทำงานของผม จะเรียกว่าการทำงานแบบเต็มภาคภูมิก็คงไม่ใช่ แต่จะบอกว่ายังเรียนอยู่ก็ไม่เชิง
กล่าวถึงการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ทุกคนที่เรียนปริญญาตรีคงต้องประสบก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาเพื่อเป็นทุนทางประสบการณ์การทำงานให้เป็นเครื่องการันตีว่าเราเคยผ่านการทำงานในสาขาวิชาที่เรียนมาแล้วอย่างน้อยกี่ปี่กี่เดือนก็ว่ากันไป
สำหรับคนที่เรียนครู การฝึกประสบการณ์วิชาชีพถือเป็นระยะเวลาที่นานกว่าหลายสาขาหรืออาจจะทุกสาขาก็ว่าได้ เพราะการเรียนครูสมัยนี้จะต้องออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพเป็นระยะเวลา 2 ภาคเรียน หรือถ้านับปีการศึกษาก็ 1 ปีการศึกษา รวมการศึกษาตลอดหลักสูตรก็ 5 ปี นั่นเอง
นักศึกษาครูหลายคนวิตกกังวลกับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพหรือ “การฝึกสอน” (ขอใช้คำนี้ละกันครับ ถึงแม้มันจะโบราณแต่ก็เข้าใจกันดี) เป็นอย่างมาก หลายๆ คน เลือกไม่ถูกว่าจะไปโรงเรียนไหนดี จะไปกับเพื่อนหรือจะกลับไปโรงเรียนเดิมใกล้บ้าน ใกล้ครอบครัวดี แล้วโรงเรียนที่เราเลือกไปนั้นจะมีสภาพแวดล้อมอย่างไร ผู้บริหาร คณะครู จะเป็นมิตรกับเราหรือไม่ คำถามต่างๆ นานาๆ ต่างถาโถมเข้ามาเมื่อถึงเวลาอันควร
ผมก็ไม่ต่างกับหลายๆ คน ที่มีความกังวลพอสมควรกับการเลือกโรงเรียนเพื่อฝึกสอน ผมใช้เวลาในการตัดสินใจตั้งแต่เริ่มก้าวขึ้นมาเรียนปีสี่ เทอมแรกผ่านไปยังไม่ได้ข้อสรุป ทำไมน่ะเหรอครับ สาเหตุแรกผมตัดโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ประจำจังหวัดออกไปก่อนเลย เพราะความรู้ความสามารถของผมก็คงมีมากกว่านักเรียนในเมืองไม่มาก อย่างที่สองไม่เพียงแต่โรงเรียนขนาดใหญ่ประจำจังหวัดนะที่ผมตัดออกจากสารระบบ โรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองก็ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเลย เหตุผลเดียวกันกับข้อแรกเลย เท่านี้ก็จะเหลือโรงเรียนในต่างอำเภอ หนึ่งในนั้นคือโรงเรียนเดิมที่ผมจบการศึกษามา แล้วมันก็กลายเป็นประการที่สามที่โดนตัดออก เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็รู้ๆ กันอยู่ครับว่า เคยอยู่โรงเรียนนั้นมาหกปี คลุกคลีกับคุณครูก็หลายคน ทำให้รู้เกือบจะทุกอย่างของโรงเรียนและไม่ขอกล่าวถึงละกันครับ ผมรู้ว่าคุณก็รู้ว่าทำไม พอเทอมที่สองของการเรียนปีสี่ก็ย่างกรายเข้ามา แล้วก็มาถึงช่วงที่ต้องเลือกโรงเรียนกันแล้ว เพื่อนๆ หลายคนมีโรงเรียนที่จะไปกันแล้ว แต่สำหรับผมกับเพื่อนอีกหลายๆ คน ยังมืดแปดด้าน จึงจำเป็นต้องเอารายชื่อโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์มากางดูกัน ตกลงกันว่าจะเลือกโรงเรียนนั้นนี้ จนเสร็จสรรพ ตอนนั้นผมก็ได้เลือกโรงเรียนประจำอำเภอแห่งหนึ่งซึ่งถือว่าใหญ่พอสมควรแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้อยู่ในเมือง รายชื่อนักศึกษาและรายชื่อโรงเรียนถูกส่งไปยังอาจารย์ประจำสาขา วันรุ่งขึ้น ทุกคนก็ต้องโดนเรียกตัวโดยอาจารย์ อาจารย์ตรวจสอบรายชื่อดูแล้วบางโรงเรียนก็โอเค แต่ที่ไม่โอเคก็คือโรงเรียนที่อาจารย์อยากจะส่งนักศึกษาไป ดันไม่มีใครเลือกไปซะงั้น จะโรงเรียนไหนซะอีกละครับ ก็โรงเรียนใหญ่ๆ ประจำจังหวัดนั่นแหละ ผมคิดว่าผมจะตัดออกคนเดียวเสียอีก บังเอิญเพื่อนทุกคนก็มีความคิดเดียวกัน เป็นโรคกลัวโรงเรียนประจำจังหวัดกัน และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้น อาจารย์คิดอย่างไรก็ไม่ทราบ อยู่ดีๆ ก็เลือกผมและเพื่อนอีก 3 คน ออกมาจากบัญชีรายชื่อ ซึ่งแต่ละคนก็มีโรงเรียนของตนเองอยู่แล้ว เพื่อให้ไปฝึกสอนที่โรงเรียนนั้นที่อาจารย์ต้องการส่งนักศึกษาไป ผมและเพื่อนที่ถูกเลือกก็อึ้งไปตามๆ กัน แต่ละคนพยายามหาเหตุผลหรือเรียกว่าข้ออ้างต่างๆ นานา มาอ้อนวอนอาจารย์ แต่ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ละคนก็ต้องทำใจ เหตุการณ์นั้นทำให้ผมสับสนและทำตัวไม่ถูก เพราะผมไม่คิดเลยว่าตัวเลือกแรกที่ถูกตัดออก จะเป็นพียงตัวเลือกเดียวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมพยายามทำใจและตั้งปณิธานให้แน่วแน่ เพื่อที่จะพิชิตเด็กนักเรียนประจำจังหวัด แต่ถึงแม้กระนั้นก็ไม่ทำให้อาการประหม่าลดลงได้
และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ผมต้องมาใช้ชีวิตในโรงเรียนขนาดใหญ่กับนักเรียนประมาณสี่พันคน คณะครูอีกเกือบสองร้อย วันแรกที่เข้ามาหาที่จอดรถกันไม่ได้ เพราะที่จอดรถก็มีชื่อของครูแต่ละคนเขียนไว้กันหมด แต่โชคดีที่มีรถอีกคันที่จอดอยู่ริมถนนหน้าอาคาร พวกเราก็เลยตัดสินใจไปจอดกันตรงนั้น และบังเอิญว่ามันสามารถจอดได้ หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องเข้าพบกับหัวหน้ากลุ่มสาระและพบกับครูพี่เลี้ยงที่จะดูแลเราไปตลอดการฝึกสอน ทุกคนมีอาการเกร็งอย่างชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่าค่อยๆ ผ่อนลงหลังจากพบคณะครูในกลุ่มสาระ ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะคุณครูในกลุ่มสาระแต่ละพูดจาน่ารักกันทุกคนครับ
วันแรกในโรงเรียนผ่านไปด้วยดี นักศึกษาต้องมาโรงเรียนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง และมาเข้าแถวกับนักเรียนซึ่งในแต่ละวันแถวจะเปลี่ยนไปตามรูปแบบที่โรงเรียนเขียนไว้ แต่ละวันแถวจะไม่อยู่ที่เดิม จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครูใหม่อย่างผมก็ต้องพยายามศึกษาและตามหาเด็กที่ตนเองรับผิดชอบให้เจอ ช่วงแรกๆ จะยากหน่อย แต่ช่วงหลังๆก็จำได้เองครับ ผมเริ่มทำใจได้บ้างแล้วกับการมาฝึกสอนที่นี่ แต่มีเรื่องที่ทำให้ต้องตกใจและสั่นมากๆ นั่นคือ ท่านผู้บริหารได้เชิญให้นักศึกษาฝึกสอนทุกคนไปแนะนำตัวกับนักเรียนสี่พันคน หน้าเสาธง เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่รู้ว่าผมผ่านมันมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบครับ ตื่นเต้น สั่น พูดผิดพูดถูก นักเรียนก็เยอะเกิ้น
เอาละครับ มาเริ่มพูดถึงการสอนกันบ้าง ผมได้รับมอบหมายให้สอนนักเรียนชั้น ม.3 เด็กช่วงวัยนี้แสบไม่ใช่เล่นเลยครับ เข้าไปคาบแรกไม่เท่าไหร่ แต่พอหลังๆ เริ่มจะคุ้นเคยกับเรา ก็เริ่มจะออกลายตามนิสัยของวัยรุ่น ซึ่งแต่ละห้องจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป และบอกไว้เลยว่าในห้องๆ หนึ่ง จะมีคนตั้งใจเรียนไม่เกิน 10 คน หรอกครับ นอกนั้น อาจจะทำท่าว่าฟังเราสอน แต่ที่จริง ไม่มีแม้สมุด หรือหนังสือเรียนเลย บางคนจับกลุ่มกันคุยเรื่องปิดเทอม ว่าไปทำอะไร ที่ไหนกันมาบ้าง กลุ่มผู้หญิงบางกลุ่ม ก็ถักเปียให้กันอย่างหน้าตาเฉย ไม่รับรู้ว่ามีครูสอนอยู่ในห้องหรือเปล่า วินาทีนั้น ผมไม่รู้หรอกครับว่าจะจัดการกับเด็กพวกนี้อย่างไร ได้เพียงแต่บอกว่าฟังครูบ้าง อย่าพูดกันเสียงดัง ด้วยความที่เราเป็นครูฝึกสอน อายุก็ไม่ต่างจากนักเรียนมากนัก และประสบการณ์ในการจัดการห้องเรียนก็ยังไม่มี เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มีทางเดียวที่จะหาทางออกได้คือปรึกษากับครูพี่เลี้ยงครับ ครูพี่เลี้ยงจะคอยให้คำแนะนำวิธีจัดการห้องให้ผมเสมอ และยังให้กำลังใจอยู่ตลอดว่าอีกไม่นานเหตุการณ์แบบนี้ก็จะผ่านไปเอง
พอเริ่มสอนได้ประมาณสองเดือน ผมก็เริ่มที่จะรู้จักนักเรียนรายบุคคลแล้วครับ เข้าใจนักเรียนว่าคนใดเป็นอย่างไร ใครตั้งใจเรียน ใครชอบหนีเรียน ใครชอบคุยกันในห้องเรียน และนั่นถือเป็นผลดีกับผม เพราะช่วยให้หาวิธีจัดการได้อย่าง่าย โดยไม่กระทบต่อนักเรียนคนอื่นๆ
เข้าเดือนที่สาม ไม่มีนักเรียนคนใดที่ผมจำชื่อไม่ได้ และนักเรียนก็สนิทกับผมมากยิ่งขึ้น ความสนิทนี้เองทำให้พฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนเริ่มออกลาย นักเรียนหลายคนเริ่มพูดกับครูไม่มีหางเสียง บางคนเรียกครูว่าลูกพี่ อยากเดินออกจากห้องเรียนเฉยๆ ก็ออก อยากพูดเสียงดังก็พูด นั่นก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ผมแก้ไม่ได้ ณ ตอนนั้น
ผมประคับประคองการสอนการของผมมาจนถึงวันที่จะต้องรับการนิเทศจากอาจารย์ ผมรู้ชะตากรรมของผมทันทีว่าผมคงไม่ผ่านการนิเทศแน่นอน นักเรียนที่ผมจะใช้เป็นห้องสำหรับนิเทศนั้นเป็นนักเรียนอ่อน และอยู่ในห้องไม่ยอมร่วมกิจกรรมที่ผมให้ทำเลย แต่ผิดพลาดอย่างมหันต์ นักเรียนห้องนี้ พอรู้ว่าผมกำลังได้รับการนิเทศ ก็ต่างพอกันตั้งใจเรียน พยายามตอบคำถามทุกคำถามที่ผมถามไป ถูกบ้าง ผิดบ้าง และที่สำคัญวันนั้นทุกคนกล้าแสดงออก ร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่ผมเตรียมมา ทำให้การนิเทศของผมผ่านไปได้ด้วยดี ผมปลาบปลื้มมากแทบน้ำตาไหล และหลังจากนั้นบรรยากาศการเรียนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
มาพูดถึงมุมของบุคลากรในโรงเรียนกันบ้างครับ เนื่องจากเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ไม่สิ ขนาดใหญ่พิเศษเชียวละครับ ครูในแต่ละกลุ่มสาระจึงแยกกันอยู่ วันๆ หนึ่งไม่เจอกันหรอกครับ ก็อย่างที่รู้กันครับว่าโรงเรียนเป็นหน่วยงาน เป็นสำนักงาน คนที่ทำงานด้วยกันก็ร้อยพ่อพันแม่ ไม่มีใครจะชอบกันหมดทุกคนใช่ไหมครับ บางทีเราบังเอิญไปได้ยินการนินทา ก็ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน หรือบางครั้งที่เราอยู่ร่วมวงสนทนา ผมก็พยายามออกความคิดเห็นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดว่าใครชอบหรือไม่ชอบใคร ก็ทำให้ปฏิบัติตัวได้ถูกครับ แต่มีบางครั้งที่เสียใจอยู่บ้าง เพราะเราก็ต้องถูกตำหนิติเตียนจากคนที่ไม่รู้จักเราจริงๆ แต่นั่นก็ช่วยเตือนเรานะครับ ว่าอย่าทำอย่างที่เขาว่าให้ และหลีกเลี่ยงที่จะไปพบเจอเป็นดีที่สุดครับ
การมาฝึกสอนที่โรงเรียนขนาดใหญ่มีข้อดีหลายอย่างครับ เนื่องจากแต่ละกลุ่มสาระมีบุคคลากรอยู่เยอะ งานสอนก็เบาลง และถ้ามีกิจกรรมที่โรงเรียนต้องจัด หากเกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระใด ก็ให้กลุ่มสาระนั้นๆ รับผิดชอบไป ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งครูทุกคนจะต้องทำไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใดก็ตาม อีกประการหนึ่ง การสอนที่โรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นการท้าทายความสามารถของตนเองเป็นอย่างมาก เพราะนักเรียนที่นี่ส่วนมากเก่งๆ ทั้งนั้น แต่ก็จะมีอ่อนอยู่บ้างปะปนกันไป
เทอมแรกผ่านไปด้วยดี แต่ผมก็ต้องกลับมาปฏิวัติตนเองเสียใหม่ เพราะเทอมแรกผมปล่อยนักเรียนให้เป็นอิสระมากเกินไป ถึงแม้จะตั้งกฎเกณฑ์ในห้องเรียนมาแล้ว แต่ถ้านักเรียนส่วนมากไม่ปฏิบัติตามก็ยากที่จะควบคุม ผมเชื่อว่าประสบการณ์จากเทอมที่แล้วจะช่วยชี้ทางให้ผมไปสู่ทางออกที่เหมาะสม และผลักดันให้ครูฝึกสอนคนนี้ประสบความสำเร็จดังใจหวัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการศึกษาไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย หรืออาจจะไม่น่าสนใจ น่าเบื่อ แต่เป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้ผมรู้สึกโล่ง เพราะได้ปลดปล่อยมันออกมาให้ใครบางคนได้รับรู้มันไปด้วยกัน
ข้อคิดจากการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของผม
1. ให้เลือกโรงเรียนขนาดใหญ่เป็นอันดับแรก เพราะคุณจะได้รับประสบการณ์และโอกาสต่างๆ ที่โรงเรียนขนาดเล็กไม่มี
2. ทฤษฎีต่างๆ ที่เรียนมา ช่วยเราได้แค่บางส่วนเท่านั้น นอกนั้นอาศัยประสบการณ์ตรง
3. อย่าเลือกอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้ทำตัวเป็นกลางจะดีที่สุด
4. ทำดีมาร้อยครั้ง ไม่สู้ทำผิดแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นพยายามทำตัวให้ดีและน่ารักอยู่เสมอ
5. ถึงแม้จะเป็นแค่ครูฝึกสอน แต่ก็ถือว่าเป็นครู จงรักษาระยะห่างกับนักเรียน อย่าสนิทสนมจนเกินไป
6. จงรับฟังคำตำหนิจากครูท่านอื่น
7. ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เต็มความสามารถ โดยเฉพาะการเตรียมการสอน ช่วยได้มากเลยทีเดียว
8. มีปัญหา อย่าเก็บไว้คนเดียว ให้ปรึกษาเพื่อนหรือครูพี่เลี้ยง ทุกทางตัน ย่อมมีทางออก
ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่าของท่าน มาอ่านเรื่องที่อาจจะไร้สาระนะครับ
“ฝึกสอน” ที่เห็น และ เป็นอยู่
สวัสดีสมาชิกชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องราวมาแบ่งปันเกี่ยวกับก้าวแรกในการทำงานของผม จะเรียกว่าการทำงานแบบเต็มภาคภูมิก็คงไม่ใช่ แต่จะบอกว่ายังเรียนอยู่ก็ไม่เชิง
กล่าวถึงการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ทุกคนที่เรียนปริญญาตรีคงต้องประสบก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาเพื่อเป็นทุนทางประสบการณ์การทำงานให้เป็นเครื่องการันตีว่าเราเคยผ่านการทำงานในสาขาวิชาที่เรียนมาแล้วอย่างน้อยกี่ปี่กี่เดือนก็ว่ากันไป
สำหรับคนที่เรียนครู การฝึกประสบการณ์วิชาชีพถือเป็นระยะเวลาที่นานกว่าหลายสาขาหรืออาจจะทุกสาขาก็ว่าได้ เพราะการเรียนครูสมัยนี้จะต้องออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพเป็นระยะเวลา 2 ภาคเรียน หรือถ้านับปีการศึกษาก็ 1 ปีการศึกษา รวมการศึกษาตลอดหลักสูตรก็ 5 ปี นั่นเอง
นักศึกษาครูหลายคนวิตกกังวลกับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพหรือ “การฝึกสอน” (ขอใช้คำนี้ละกันครับ ถึงแม้มันจะโบราณแต่ก็เข้าใจกันดี) เป็นอย่างมาก หลายๆ คน เลือกไม่ถูกว่าจะไปโรงเรียนไหนดี จะไปกับเพื่อนหรือจะกลับไปโรงเรียนเดิมใกล้บ้าน ใกล้ครอบครัวดี แล้วโรงเรียนที่เราเลือกไปนั้นจะมีสภาพแวดล้อมอย่างไร ผู้บริหาร คณะครู จะเป็นมิตรกับเราหรือไม่ คำถามต่างๆ นานาๆ ต่างถาโถมเข้ามาเมื่อถึงเวลาอันควร
ผมก็ไม่ต่างกับหลายๆ คน ที่มีความกังวลพอสมควรกับการเลือกโรงเรียนเพื่อฝึกสอน ผมใช้เวลาในการตัดสินใจตั้งแต่เริ่มก้าวขึ้นมาเรียนปีสี่ เทอมแรกผ่านไปยังไม่ได้ข้อสรุป ทำไมน่ะเหรอครับ สาเหตุแรกผมตัดโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ประจำจังหวัดออกไปก่อนเลย เพราะความรู้ความสามารถของผมก็คงมีมากกว่านักเรียนในเมืองไม่มาก อย่างที่สองไม่เพียงแต่โรงเรียนขนาดใหญ่ประจำจังหวัดนะที่ผมตัดออกจากสารระบบ โรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองก็ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเลย เหตุผลเดียวกันกับข้อแรกเลย เท่านี้ก็จะเหลือโรงเรียนในต่างอำเภอ หนึ่งในนั้นคือโรงเรียนเดิมที่ผมจบการศึกษามา แล้วมันก็กลายเป็นประการที่สามที่โดนตัดออก เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็รู้ๆ กันอยู่ครับว่า เคยอยู่โรงเรียนนั้นมาหกปี คลุกคลีกับคุณครูก็หลายคน ทำให้รู้เกือบจะทุกอย่างของโรงเรียนและไม่ขอกล่าวถึงละกันครับ ผมรู้ว่าคุณก็รู้ว่าทำไม พอเทอมที่สองของการเรียนปีสี่ก็ย่างกรายเข้ามา แล้วก็มาถึงช่วงที่ต้องเลือกโรงเรียนกันแล้ว เพื่อนๆ หลายคนมีโรงเรียนที่จะไปกันแล้ว แต่สำหรับผมกับเพื่อนอีกหลายๆ คน ยังมืดแปดด้าน จึงจำเป็นต้องเอารายชื่อโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์มากางดูกัน ตกลงกันว่าจะเลือกโรงเรียนนั้นนี้ จนเสร็จสรรพ ตอนนั้นผมก็ได้เลือกโรงเรียนประจำอำเภอแห่งหนึ่งซึ่งถือว่าใหญ่พอสมควรแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้อยู่ในเมือง รายชื่อนักศึกษาและรายชื่อโรงเรียนถูกส่งไปยังอาจารย์ประจำสาขา วันรุ่งขึ้น ทุกคนก็ต้องโดนเรียกตัวโดยอาจารย์ อาจารย์ตรวจสอบรายชื่อดูแล้วบางโรงเรียนก็โอเค แต่ที่ไม่โอเคก็คือโรงเรียนที่อาจารย์อยากจะส่งนักศึกษาไป ดันไม่มีใครเลือกไปซะงั้น จะโรงเรียนไหนซะอีกละครับ ก็โรงเรียนใหญ่ๆ ประจำจังหวัดนั่นแหละ ผมคิดว่าผมจะตัดออกคนเดียวเสียอีก บังเอิญเพื่อนทุกคนก็มีความคิดเดียวกัน เป็นโรคกลัวโรงเรียนประจำจังหวัดกัน และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้น อาจารย์คิดอย่างไรก็ไม่ทราบ อยู่ดีๆ ก็เลือกผมและเพื่อนอีก 3 คน ออกมาจากบัญชีรายชื่อ ซึ่งแต่ละคนก็มีโรงเรียนของตนเองอยู่แล้ว เพื่อให้ไปฝึกสอนที่โรงเรียนนั้นที่อาจารย์ต้องการส่งนักศึกษาไป ผมและเพื่อนที่ถูกเลือกก็อึ้งไปตามๆ กัน แต่ละคนพยายามหาเหตุผลหรือเรียกว่าข้ออ้างต่างๆ นานา มาอ้อนวอนอาจารย์ แต่ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ละคนก็ต้องทำใจ เหตุการณ์นั้นทำให้ผมสับสนและทำตัวไม่ถูก เพราะผมไม่คิดเลยว่าตัวเลือกแรกที่ถูกตัดออก จะเป็นพียงตัวเลือกเดียวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมพยายามทำใจและตั้งปณิธานให้แน่วแน่ เพื่อที่จะพิชิตเด็กนักเรียนประจำจังหวัด แต่ถึงแม้กระนั้นก็ไม่ทำให้อาการประหม่าลดลงได้
และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ผมต้องมาใช้ชีวิตในโรงเรียนขนาดใหญ่กับนักเรียนประมาณสี่พันคน คณะครูอีกเกือบสองร้อย วันแรกที่เข้ามาหาที่จอดรถกันไม่ได้ เพราะที่จอดรถก็มีชื่อของครูแต่ละคนเขียนไว้กันหมด แต่โชคดีที่มีรถอีกคันที่จอดอยู่ริมถนนหน้าอาคาร พวกเราก็เลยตัดสินใจไปจอดกันตรงนั้น และบังเอิญว่ามันสามารถจอดได้ หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องเข้าพบกับหัวหน้ากลุ่มสาระและพบกับครูพี่เลี้ยงที่จะดูแลเราไปตลอดการฝึกสอน ทุกคนมีอาการเกร็งอย่างชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่าค่อยๆ ผ่อนลงหลังจากพบคณะครูในกลุ่มสาระ ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะคุณครูในกลุ่มสาระแต่ละพูดจาน่ารักกันทุกคนครับ
วันแรกในโรงเรียนผ่านไปด้วยดี นักศึกษาต้องมาโรงเรียนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง และมาเข้าแถวกับนักเรียนซึ่งในแต่ละวันแถวจะเปลี่ยนไปตามรูปแบบที่โรงเรียนเขียนไว้ แต่ละวันแถวจะไม่อยู่ที่เดิม จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครูใหม่อย่างผมก็ต้องพยายามศึกษาและตามหาเด็กที่ตนเองรับผิดชอบให้เจอ ช่วงแรกๆ จะยากหน่อย แต่ช่วงหลังๆก็จำได้เองครับ ผมเริ่มทำใจได้บ้างแล้วกับการมาฝึกสอนที่นี่ แต่มีเรื่องที่ทำให้ต้องตกใจและสั่นมากๆ นั่นคือ ท่านผู้บริหารได้เชิญให้นักศึกษาฝึกสอนทุกคนไปแนะนำตัวกับนักเรียนสี่พันคน หน้าเสาธง เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่รู้ว่าผมผ่านมันมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบครับ ตื่นเต้น สั่น พูดผิดพูดถูก นักเรียนก็เยอะเกิ้น
เอาละครับ มาเริ่มพูดถึงการสอนกันบ้าง ผมได้รับมอบหมายให้สอนนักเรียนชั้น ม.3 เด็กช่วงวัยนี้แสบไม่ใช่เล่นเลยครับ เข้าไปคาบแรกไม่เท่าไหร่ แต่พอหลังๆ เริ่มจะคุ้นเคยกับเรา ก็เริ่มจะออกลายตามนิสัยของวัยรุ่น ซึ่งแต่ละห้องจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป และบอกไว้เลยว่าในห้องๆ หนึ่ง จะมีคนตั้งใจเรียนไม่เกิน 10 คน หรอกครับ นอกนั้น อาจจะทำท่าว่าฟังเราสอน แต่ที่จริง ไม่มีแม้สมุด หรือหนังสือเรียนเลย บางคนจับกลุ่มกันคุยเรื่องปิดเทอม ว่าไปทำอะไร ที่ไหนกันมาบ้าง กลุ่มผู้หญิงบางกลุ่ม ก็ถักเปียให้กันอย่างหน้าตาเฉย ไม่รับรู้ว่ามีครูสอนอยู่ในห้องหรือเปล่า วินาทีนั้น ผมไม่รู้หรอกครับว่าจะจัดการกับเด็กพวกนี้อย่างไร ได้เพียงแต่บอกว่าฟังครูบ้าง อย่าพูดกันเสียงดัง ด้วยความที่เราเป็นครูฝึกสอน อายุก็ไม่ต่างจากนักเรียนมากนัก และประสบการณ์ในการจัดการห้องเรียนก็ยังไม่มี เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มีทางเดียวที่จะหาทางออกได้คือปรึกษากับครูพี่เลี้ยงครับ ครูพี่เลี้ยงจะคอยให้คำแนะนำวิธีจัดการห้องให้ผมเสมอ และยังให้กำลังใจอยู่ตลอดว่าอีกไม่นานเหตุการณ์แบบนี้ก็จะผ่านไปเอง
พอเริ่มสอนได้ประมาณสองเดือน ผมก็เริ่มที่จะรู้จักนักเรียนรายบุคคลแล้วครับ เข้าใจนักเรียนว่าคนใดเป็นอย่างไร ใครตั้งใจเรียน ใครชอบหนีเรียน ใครชอบคุยกันในห้องเรียน และนั่นถือเป็นผลดีกับผม เพราะช่วยให้หาวิธีจัดการได้อย่าง่าย โดยไม่กระทบต่อนักเรียนคนอื่นๆ
เข้าเดือนที่สาม ไม่มีนักเรียนคนใดที่ผมจำชื่อไม่ได้ และนักเรียนก็สนิทกับผมมากยิ่งขึ้น ความสนิทนี้เองทำให้พฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียนเริ่มออกลาย นักเรียนหลายคนเริ่มพูดกับครูไม่มีหางเสียง บางคนเรียกครูว่าลูกพี่ อยากเดินออกจากห้องเรียนเฉยๆ ก็ออก อยากพูดเสียงดังก็พูด นั่นก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ผมแก้ไม่ได้ ณ ตอนนั้น
ผมประคับประคองการสอนการของผมมาจนถึงวันที่จะต้องรับการนิเทศจากอาจารย์ ผมรู้ชะตากรรมของผมทันทีว่าผมคงไม่ผ่านการนิเทศแน่นอน นักเรียนที่ผมจะใช้เป็นห้องสำหรับนิเทศนั้นเป็นนักเรียนอ่อน และอยู่ในห้องไม่ยอมร่วมกิจกรรมที่ผมให้ทำเลย แต่ผิดพลาดอย่างมหันต์ นักเรียนห้องนี้ พอรู้ว่าผมกำลังได้รับการนิเทศ ก็ต่างพอกันตั้งใจเรียน พยายามตอบคำถามทุกคำถามที่ผมถามไป ถูกบ้าง ผิดบ้าง และที่สำคัญวันนั้นทุกคนกล้าแสดงออก ร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่ผมเตรียมมา ทำให้การนิเทศของผมผ่านไปได้ด้วยดี ผมปลาบปลื้มมากแทบน้ำตาไหล และหลังจากนั้นบรรยากาศการเรียนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
มาพูดถึงมุมของบุคลากรในโรงเรียนกันบ้างครับ เนื่องจากเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ไม่สิ ขนาดใหญ่พิเศษเชียวละครับ ครูในแต่ละกลุ่มสาระจึงแยกกันอยู่ วันๆ หนึ่งไม่เจอกันหรอกครับ ก็อย่างที่รู้กันครับว่าโรงเรียนเป็นหน่วยงาน เป็นสำนักงาน คนที่ทำงานด้วยกันก็ร้อยพ่อพันแม่ ไม่มีใครจะชอบกันหมดทุกคนใช่ไหมครับ บางทีเราบังเอิญไปได้ยินการนินทา ก็ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน หรือบางครั้งที่เราอยู่ร่วมวงสนทนา ผมก็พยายามออกความคิดเห็นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดว่าใครชอบหรือไม่ชอบใคร ก็ทำให้ปฏิบัติตัวได้ถูกครับ แต่มีบางครั้งที่เสียใจอยู่บ้าง เพราะเราก็ต้องถูกตำหนิติเตียนจากคนที่ไม่รู้จักเราจริงๆ แต่นั่นก็ช่วยเตือนเรานะครับ ว่าอย่าทำอย่างที่เขาว่าให้ และหลีกเลี่ยงที่จะไปพบเจอเป็นดีที่สุดครับ
การมาฝึกสอนที่โรงเรียนขนาดใหญ่มีข้อดีหลายอย่างครับ เนื่องจากแต่ละกลุ่มสาระมีบุคคลากรอยู่เยอะ งานสอนก็เบาลง และถ้ามีกิจกรรมที่โรงเรียนต้องจัด หากเกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระใด ก็ให้กลุ่มสาระนั้นๆ รับผิดชอบไป ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งครูทุกคนจะต้องทำไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใดก็ตาม อีกประการหนึ่ง การสอนที่โรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นการท้าทายความสามารถของตนเองเป็นอย่างมาก เพราะนักเรียนที่นี่ส่วนมากเก่งๆ ทั้งนั้น แต่ก็จะมีอ่อนอยู่บ้างปะปนกันไป
เทอมแรกผ่านไปด้วยดี แต่ผมก็ต้องกลับมาปฏิวัติตนเองเสียใหม่ เพราะเทอมแรกผมปล่อยนักเรียนให้เป็นอิสระมากเกินไป ถึงแม้จะตั้งกฎเกณฑ์ในห้องเรียนมาแล้ว แต่ถ้านักเรียนส่วนมากไม่ปฏิบัติตามก็ยากที่จะควบคุม ผมเชื่อว่าประสบการณ์จากเทอมที่แล้วจะช่วยชี้ทางให้ผมไปสู่ทางออกที่เหมาะสม และผลักดันให้ครูฝึกสอนคนนี้ประสบความสำเร็จดังใจหวัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการศึกษาไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย หรืออาจจะไม่น่าสนใจ น่าเบื่อ แต่เป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้ผมรู้สึกโล่ง เพราะได้ปลดปล่อยมันออกมาให้ใครบางคนได้รับรู้มันไปด้วยกัน
ข้อคิดจากการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของผม
1. ให้เลือกโรงเรียนขนาดใหญ่เป็นอันดับแรก เพราะคุณจะได้รับประสบการณ์และโอกาสต่างๆ ที่โรงเรียนขนาดเล็กไม่มี
2. ทฤษฎีต่างๆ ที่เรียนมา ช่วยเราได้แค่บางส่วนเท่านั้น นอกนั้นอาศัยประสบการณ์ตรง
3. อย่าเลือกอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้ทำตัวเป็นกลางจะดีที่สุด
4. ทำดีมาร้อยครั้ง ไม่สู้ทำผิดแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นพยายามทำตัวให้ดีและน่ารักอยู่เสมอ
5. ถึงแม้จะเป็นแค่ครูฝึกสอน แต่ก็ถือว่าเป็นครู จงรักษาระยะห่างกับนักเรียน อย่าสนิทสนมจนเกินไป
6. จงรับฟังคำตำหนิจากครูท่านอื่น
7. ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เต็มความสามารถ โดยเฉพาะการเตรียมการสอน ช่วยได้มากเลยทีเดียว
8. มีปัญหา อย่าเก็บไว้คนเดียว ให้ปรึกษาเพื่อนหรือครูพี่เลี้ยง ทุกทางตัน ย่อมมีทางออก
ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่าของท่าน มาอ่านเรื่องที่อาจจะไร้สาระนะครับ