เรื่องนี้มีอยู่ว่า ผมเองมีความใฝ่ฝันที่อยากเป็นผู้กำกับหนังมานานมาก เลยเริ่มจากการประกวดหนังสั้น แต่พอลงประกวดเรื่องแรก ก็ติดอันดับ 1 ใน 6 เรื่องสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบ แม้จะมาได้แค่นั้น แต่กลับสร้างความมั่นใจได้มาก จนปัจจุบัน ประกวดงานต่างๆ ไปแล้ว 12 โครงการ ได้รางวัลติดอันดับมาแล้ว 10 โครงการ...ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ได้รับความร่วมมือจากเพื่อน , ลูกศิษย์ (ก่อนหน้านี้เป็นครู ลาออกมาก็มีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือกันมา คอยมาช่วยเหลือ) จนงานล่าสุด...
เรื่องล่าสุด...ที่ลงประกวด ผมนำลูกศิษย์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาลัยแห่งหนึ่งในชลบุรี ลงประกวดงานนี้ เราคิดบทกัน..เขียนสตอรี่บอร์ดกัน..วางแผน วางกลยุทธ วางวิธีการพรีเซ้นกันทั้งหมด 4 คน ลูกศิษย์ผมอยู่คณะการโรงแรม มันไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านนี้ด้วยซ้ำ แต่เราทำกันแบบสนุกๆ ไม่ได้คาดหวัง เข้ารอบก็ดี ตกรอบก็ช่าง ถือว่าหาประสบการณ์ แต่แล้ว ไปๆ มาๆ ก็ดันทีมจนเข้ารอบสุดท้ายจนได้! และที่ยิ่งไปกว่านั้นมารู้ทีหลัง ว่ามหาวิทยาลัยนี้ ทางคณะนิเทศ ได้ส่งเด็กลงประกวดมากกว่า 20 ทีม แต่กลับไม่มีทีมไหนติดเข้ารอบกันเลย...ตลกดีไหมครับ
ผมเองก็ไม่ได้สนใจตรงนั้น ผมสนใจแค่งาน..และคนของผม แต่แล้วก็มีกลุ่มเด็กคณะนิเทศ มาขอร่วมแจมด้วย เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้ ถ้าเขาเข้ารอบ ไม่ว่าจะรอบไหนก็ตาม เขาจะได้เกรด A ของเทอมนี้ แต่แล้วก็ไม่สามารถเข้ารอบได้ อาจารย์เลยบอกว่าให้ลงมาช่วยทีมนี้ แล้วจะให้คะแนนพิเศษ เด็กในทีมมาปรึกษาผม ทีแรกผมก็ไม่เอา ไม่อยากให้ใครมายุ่ง แต่ด้วยแรงตื้อของเด็กๆ เขาบอกว่าอยากหาประสบการณ์ ส่วนคะแนนจะได้มากได้น้อยเขาก็ไม่สน เพราะเขาเองก็เสียดาย ที่เขาเองเข้ารอบไม่ได้ เขาเลยอยากรู้ ว่าทีมของผมมันดีตรงไหน จะได้เอาไปปรับประยุต ผมเลยโอเค..ให้เข้ามาร่วมงาน
แล้ววงจรอุบาด..ก็เกิดขึ้นตรงนี้ วันที่ออกกองถ่ายงานโฆษณาวันแรก เราได้เตรียมวางแผนไว้แล้วว่าจะถ่ายอะไรยังไง เด็กคณะนิเทศ ก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์งานกองถ่ายจากคณะพร้อมที่จะมาช่วยอย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งทางอาจารย์คณะบอกว่า เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของมหาวิทยาลัย ก็อยากให้งานออกมาดี เลยให้เด็กและอุปกรณ์มาช่วย... ผมก็ดีใจนะ เพราะผมเองใช้กล้อง DSLR FUJI HS50 รุ่นฟิกเลนตัวกากๆ ของผมถ่ายหนังตลอด ยอมรับว่าคงสู้กล้อง CANNON ES5D MK2 ของเขาไม่ติดฝุ่น วันนั้น เราออกกองกันตามแผน ถ่ายงานได้ครึ่งนึง..เหลืออีกครึ่ง นัดถ่ายกันวันหลัง
วันถ่ายงานวันที่ 2 กำลังจะมาถึง วางแผนดิบดี เพราะต้องส่งผลงานในอีกสัปดาร์หน้าแล้ว... แล้วอยู่ๆ เอกสารลึกลับก็ปรากฏขึ้นมา ทางคณะนิเทศ ขอเรียกเก็บค่าเช่าอุปกรณ์กองถ่าย เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ต่อ 1 วัน งานวางแผนถ่าย 3 วัน ต้องจ่าย 15,000 (ยังไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าข้าว ค่าตัวนักแสดง ค่าตัวทีมงาน)
ผม...ในฐานะหัวหน้าทีม ผมบอกเลย..ว่าผมไม่เอา..ไม่จ่ายด้วย ไม่มีการแจ้งว่ามีค่าใช้จ่าย แล้วก็อาสามาช่วยเหลือกันเอง ผมไม่ได้ไปวิงวอนอ้อนวอนเขา เขาบอกว่า ก็ไม่รู้...ถ้าจะทำกันต่อ ค่าใช้จ่ายก็วันละ 5000 แต่ถ้าไม่...วันก่อนที่ไปถ่ายกันมา ก็ต้องจ่ายมา 5000 ....
เหลือเวลาอีก 9 วัน ก่อนการส่งงานประกวด ผมตั้งใจแล้วว่า จะเริ่มถ่ายกันใหม่ ด้วยกล้องกากๆ ของผม เพราะไม่ใช่ว่าผมไม่มีศักยภาพ ผมผ่านงานประกวดมาเป็น 10 งานแล้ว แม้จะไม่ชนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำกันเองไม่ได้ ทีนี้...กลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ทางคณะการโรงแรม กับ คณะนิเทศมีปัญหากัน... คณะการโรงแรมยินดีจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผม แต่...ผมเลือกที่จะไม่เอา เพราะผมบอกแล้วว่าผมทำกันเองได้ ไม่เคยร้องขอ เพราะผมไม่รู้ว่า การที่เขายื่นมือมาช่วย..จะเกิดกรณีแบบคณะนิเทศที่ยื่นมือมาช่วยอีกหรือเปล่า
ผมไม่รู้ว่าผมตัดสินใจผิดหรือถูก...ที่คิดจะเริ่มถ่ายกันใหม่ เริ่มกันใหม่ ผมกับลูกศิษย์คุยกันแล้ว ว่าเราแม้จะแพ้ เราก็ไม่สน เราทำกันสนุกๆ ไม่ได้กะเอาชนะกันจนตายกันไปข้างนึง ... ลืมบอกไป ว่าวันที่เข้ารอบสุดท้าย ผมได้เงินทุนจากการประกวดทำหนังมา 15000 บาท ผมแจกจ่ายลูกทีมเป็นค่าขนม คนละ 1000 บาท (รวม 5 คน) และที่เหลือ ก็ค่ากิน ค่าน้ำมัน ค่าซื้ออุปกรณ์ต่างๆ นาๆ ซึ่งเงินตรงนี้ ผมบอกได้เลยว่า มันพอนะ...ถ้าพวกผมทำกันเอง เพราะกล้อง อุปกรณ์เราก็มี ไม่ใช่ไม่มี แม้จะห่วย แต่เราก็ผ่านกันมาหลายงานเพราะของเหล่านี้ แต่วันนี้ คณะนิเทศ เอาประเด็นนี้มาโจมตี เขาบอกว่า เงินรางวัลได้มา 15000 บาท เอามาจ้างกองถ่ายของคณะนิเทศ 3 วันพอดี ก็ไม่เห็นต้องเดือนร้อนขอเงินจากใคร ? อยากรู้จริงครับ..เงินตรงนี้ พวกผมลงแข่งกันเอง เข้ารอบกันเอง มันก็ควรจะมีสิทธิ์ในการจัดสรรปันส่วนกันเอง หรือความคิดของผมและลูกศิษย์ มันผิดครับ ตอนนี้ ลูกศิษย์ผมเขาบอกว่า ผมว่าอย่างไร ก็เอาตามนั้น ... แต่ผมเกรงว่า การตัดสินใจ เลือกทางเดินของผม มันเป็นสิ่งที่ผิด
ถ้าผมเลือก...ที่จะลุยกันต่อกับคณะนิเทศ ผมก็ต้องใช้เงิน 15000 บาทในการจ้างถ่ายโฆษณา ค่าน้ำมัน ค่าตัว ค่ากิน อะไรๆ ก็ต้องหาจ่ายกันเอง ???
ถ้าผมเลือก...ที่จะลุยกันเอง เงินกองกลางสำหรับผมมันพอ... แล้วผมจะต้องจ่ายเงิน 5000 บาท ให้กับทางคณะนิเทศหรือไม่ ? ถ้าไม่จ่ายผมผิดไหม ???
ทางที่ต้องเลือก..แบบไหนคือคำตอบ!
เรื่องล่าสุด...ที่ลงประกวด ผมนำลูกศิษย์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาลัยแห่งหนึ่งในชลบุรี ลงประกวดงานนี้ เราคิดบทกัน..เขียนสตอรี่บอร์ดกัน..วางแผน วางกลยุทธ วางวิธีการพรีเซ้นกันทั้งหมด 4 คน ลูกศิษย์ผมอยู่คณะการโรงแรม มันไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านนี้ด้วยซ้ำ แต่เราทำกันแบบสนุกๆ ไม่ได้คาดหวัง เข้ารอบก็ดี ตกรอบก็ช่าง ถือว่าหาประสบการณ์ แต่แล้ว ไปๆ มาๆ ก็ดันทีมจนเข้ารอบสุดท้ายจนได้! และที่ยิ่งไปกว่านั้นมารู้ทีหลัง ว่ามหาวิทยาลัยนี้ ทางคณะนิเทศ ได้ส่งเด็กลงประกวดมากกว่า 20 ทีม แต่กลับไม่มีทีมไหนติดเข้ารอบกันเลย...ตลกดีไหมครับ
ผมเองก็ไม่ได้สนใจตรงนั้น ผมสนใจแค่งาน..และคนของผม แต่แล้วก็มีกลุ่มเด็กคณะนิเทศ มาขอร่วมแจมด้วย เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้ ถ้าเขาเข้ารอบ ไม่ว่าจะรอบไหนก็ตาม เขาจะได้เกรด A ของเทอมนี้ แต่แล้วก็ไม่สามารถเข้ารอบได้ อาจารย์เลยบอกว่าให้ลงมาช่วยทีมนี้ แล้วจะให้คะแนนพิเศษ เด็กในทีมมาปรึกษาผม ทีแรกผมก็ไม่เอา ไม่อยากให้ใครมายุ่ง แต่ด้วยแรงตื้อของเด็กๆ เขาบอกว่าอยากหาประสบการณ์ ส่วนคะแนนจะได้มากได้น้อยเขาก็ไม่สน เพราะเขาเองก็เสียดาย ที่เขาเองเข้ารอบไม่ได้ เขาเลยอยากรู้ ว่าทีมของผมมันดีตรงไหน จะได้เอาไปปรับประยุต ผมเลยโอเค..ให้เข้ามาร่วมงาน
แล้ววงจรอุบาด..ก็เกิดขึ้นตรงนี้ วันที่ออกกองถ่ายงานโฆษณาวันแรก เราได้เตรียมวางแผนไว้แล้วว่าจะถ่ายอะไรยังไง เด็กคณะนิเทศ ก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์งานกองถ่ายจากคณะพร้อมที่จะมาช่วยอย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งทางอาจารย์คณะบอกว่า เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของมหาวิทยาลัย ก็อยากให้งานออกมาดี เลยให้เด็กและอุปกรณ์มาช่วย... ผมก็ดีใจนะ เพราะผมเองใช้กล้อง DSLR FUJI HS50 รุ่นฟิกเลนตัวกากๆ ของผมถ่ายหนังตลอด ยอมรับว่าคงสู้กล้อง CANNON ES5D MK2 ของเขาไม่ติดฝุ่น วันนั้น เราออกกองกันตามแผน ถ่ายงานได้ครึ่งนึง..เหลืออีกครึ่ง นัดถ่ายกันวันหลัง
วันถ่ายงานวันที่ 2 กำลังจะมาถึง วางแผนดิบดี เพราะต้องส่งผลงานในอีกสัปดาร์หน้าแล้ว... แล้วอยู่ๆ เอกสารลึกลับก็ปรากฏขึ้นมา ทางคณะนิเทศ ขอเรียกเก็บค่าเช่าอุปกรณ์กองถ่าย เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ต่อ 1 วัน งานวางแผนถ่าย 3 วัน ต้องจ่าย 15,000 (ยังไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าข้าว ค่าตัวนักแสดง ค่าตัวทีมงาน)
ผม...ในฐานะหัวหน้าทีม ผมบอกเลย..ว่าผมไม่เอา..ไม่จ่ายด้วย ไม่มีการแจ้งว่ามีค่าใช้จ่าย แล้วก็อาสามาช่วยเหลือกันเอง ผมไม่ได้ไปวิงวอนอ้อนวอนเขา เขาบอกว่า ก็ไม่รู้...ถ้าจะทำกันต่อ ค่าใช้จ่ายก็วันละ 5000 แต่ถ้าไม่...วันก่อนที่ไปถ่ายกันมา ก็ต้องจ่ายมา 5000 ....
เหลือเวลาอีก 9 วัน ก่อนการส่งงานประกวด ผมตั้งใจแล้วว่า จะเริ่มถ่ายกันใหม่ ด้วยกล้องกากๆ ของผม เพราะไม่ใช่ว่าผมไม่มีศักยภาพ ผมผ่านงานประกวดมาเป็น 10 งานแล้ว แม้จะไม่ชนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำกันเองไม่ได้ ทีนี้...กลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ทางคณะการโรงแรม กับ คณะนิเทศมีปัญหากัน... คณะการโรงแรมยินดีจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผม แต่...ผมเลือกที่จะไม่เอา เพราะผมบอกแล้วว่าผมทำกันเองได้ ไม่เคยร้องขอ เพราะผมไม่รู้ว่า การที่เขายื่นมือมาช่วย..จะเกิดกรณีแบบคณะนิเทศที่ยื่นมือมาช่วยอีกหรือเปล่า
ผมไม่รู้ว่าผมตัดสินใจผิดหรือถูก...ที่คิดจะเริ่มถ่ายกันใหม่ เริ่มกันใหม่ ผมกับลูกศิษย์คุยกันแล้ว ว่าเราแม้จะแพ้ เราก็ไม่สน เราทำกันสนุกๆ ไม่ได้กะเอาชนะกันจนตายกันไปข้างนึง ... ลืมบอกไป ว่าวันที่เข้ารอบสุดท้าย ผมได้เงินทุนจากการประกวดทำหนังมา 15000 บาท ผมแจกจ่ายลูกทีมเป็นค่าขนม คนละ 1000 บาท (รวม 5 คน) และที่เหลือ ก็ค่ากิน ค่าน้ำมัน ค่าซื้ออุปกรณ์ต่างๆ นาๆ ซึ่งเงินตรงนี้ ผมบอกได้เลยว่า มันพอนะ...ถ้าพวกผมทำกันเอง เพราะกล้อง อุปกรณ์เราก็มี ไม่ใช่ไม่มี แม้จะห่วย แต่เราก็ผ่านกันมาหลายงานเพราะของเหล่านี้ แต่วันนี้ คณะนิเทศ เอาประเด็นนี้มาโจมตี เขาบอกว่า เงินรางวัลได้มา 15000 บาท เอามาจ้างกองถ่ายของคณะนิเทศ 3 วันพอดี ก็ไม่เห็นต้องเดือนร้อนขอเงินจากใคร ? อยากรู้จริงครับ..เงินตรงนี้ พวกผมลงแข่งกันเอง เข้ารอบกันเอง มันก็ควรจะมีสิทธิ์ในการจัดสรรปันส่วนกันเอง หรือความคิดของผมและลูกศิษย์ มันผิดครับ ตอนนี้ ลูกศิษย์ผมเขาบอกว่า ผมว่าอย่างไร ก็เอาตามนั้น ... แต่ผมเกรงว่า การตัดสินใจ เลือกทางเดินของผม มันเป็นสิ่งที่ผิด
ถ้าผมเลือก...ที่จะลุยกันต่อกับคณะนิเทศ ผมก็ต้องใช้เงิน 15000 บาทในการจ้างถ่ายโฆษณา ค่าน้ำมัน ค่าตัว ค่ากิน อะไรๆ ก็ต้องหาจ่ายกันเอง ???
ถ้าผมเลือก...ที่จะลุยกันเอง เงินกองกลางสำหรับผมมันพอ... แล้วผมจะต้องจ่ายเงิน 5000 บาท ให้กับทางคณะนิเทศหรือไม่ ? ถ้าไม่จ่ายผมผิดไหม ???