ให้ 7.8/10 เรื่องราวของครอบครัวชาวอินเดียที่เดินทางมาประเทศฝรั่งเศสและดันไปเปิดร้านอาหารอินเดียตรงข้ามร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดังของเมือง สงครามขนาดย่อมระหว่างวัฒนธรรมทางอาหารจึงเกิดขึ้น สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ Richard C. Morais อำนวยการสร้างโดย Steven Spielberg และ Oprah Winfrey ผลงานกำกับของ Lasse Hallström จาก Chocolat (2000)
หนังให้อารมณ์ feel good อิ่มเอม ละมุนละไม เปรมปรีดิ์ ร่วมไปกับบรรยากาศอันแสนโรแมนติกของเมืองชนบทฝรั่งเศสที่น่าอยู่อาศัย และสิ่งที่แน่ๆคือควรกินให้อิ่มก่อนเข้าไปชม เพราะเราจะได้กลิ่นอาหารอบอวลคละคลุ้งไปทั่วโดยอัตโนมัติ จนอยากกินมะเขือเทศสดๆ เห็ดดิบๆ หรือแม้กระทั่งแอสพารากัสที่เหี่ยวๆ
การแคสตัวละครที่ดีเหมาะสมกับบททุกตัวละครยิ่งส่งเสริมให้หนังเรื่องนี้น่าดูยิ่งเข้าไปอีก โดยเฉพาะแววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังและความมุ่งมั่นของพระเอกชาวอินเดีย (Manish Dayal) กับดวงตากลมโตใสของนางเอกชาวฝรั่งเศส (Charlotte Le Bon) มีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างเหลือเชื่อ อีกทั้งตัวละครในรุ่นผู้ใหญ่อย่าง Helen Mirren ซึ่งรับบทเป็น Madame Mallory ก็สวยสง่าสมวัย พ่อของพระเอก (Om Puri) ก็แสบใช่ย่อย หรือแม้แต่น้องสาวของพระเอกก็ดูสวยมากมายเมื่อสวมใส่ชุดแขก
The Hundred-Foot Journey จับเอาประเด็นความแตกต่างของ 2 ชนชาติอย่างอินเดียและฝรั่งเศสมาเล่นได้ค่อนข้างดีทีเดียว ซึ่งทั้ง 2 ประเทศต่างเป็นประเทศที่มีความลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมทั้งทางด้านสังคม ศิลปะ และอาหารอย่างชัดเจน จึงทำให้หนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจมากโดยเฉพาะในครึ่งเรื่องแรก หลังจากนั้นเหมือนทิศทางของหนังจะเขวไปทางอื่นและตบกลับมาในจานที่ผิดใบ แต่ก็ได้ความอร่อยเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นส่วนที่น่าเสียดายจริงๆเพราะคงจะอร่อยมากกว่านี้หากใส่ในจานที่เหมาะสมกับอาหารที่เสริฟ ซึ่งน่าจะปรุงใส่เครื่องเทศอินเดียให้มากกว่านี้ เอาชนิดที่แรงแบบเต็มสูบให้กลิ่นฉุนแบบสุดๆไปทั่วเมือง และน่าจะเพิ่มช่วงการแข่งขันระหว่างร้านอาหารทั้ง 2 แห่งให้มากกว่านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อาจจะเป็นเพราะผู้เขียนหนังสือและบทหนังมิใช่ชาวอินเดีย หนังจึงโชว์ในส่วนของอาหารฝรั่งเศสเยอะกว่า ซึ่งในเมื่อตัวละครหลักเป็นชาวอินเดีย หนังก็ควรจะนำเสนอหนักไปในส่วนของอาหารอินเดียซะมากกว่าถึงแม้ร้านอาหารจะอยู่ในประเทศฝรั่งเศสก็ตาม เพื่อย้ำเน้นในวัฒนธรรมสังคม ศิลปะและอาหาร ที่ไม่เพียงแค่ชาวอินเดียควรจะเป็น แต่คนทั้งโลกควรจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างหนักแน่นในวัฒนธรรมและภูมิใจในชนชาติของตัวเอง
หนังพลาดในจุดที่เมื่อฮัสซันเดินทางกลับมาจาการทำงานที่ปารีสแล้วดันกลับไปทำงานในร้านของมาดามมัลลอรี่แทนโดยมีเป้าหมายที่จะช่วยเพิ่มดาวมิชลินดวงที่ 3 ซึ่งก็เข้าใจประเด็นของหนังที่ต้องการจะสื่อในเรื่องการ blend เข้าหากันของสังคมวัฒนธรรมของทั้ง 2 ชนชาติว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ดี และเรื่องการปรับตัวเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม
แต่สิ่งที่หนังควรจะเป็นคือ ฮัสซันควรจะกลับมาพัฒนาในส่วนของร้านอาหารอินเดียของครอบครัวให้ดังไปทั่วฝรั่งเศสด้วยการพยายามทำให้ได้ดาวมิชลินดวงแรกก่อน เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนภูมิใจในชนชาติและเผยแผ่อาหารประจำชาติของตัวเองสู่ตลาดโลก ไม่จำเป็นต้องไปทำงานร้านมาดามมัลลอรี่ก็ยังสามารถเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกันได้ โดยที่ต่างคนต่างพยายามทำในส่วนของตัวเองต่อไป ในเมื่อฝั่งร้านของมาดามเองก็มีมากาเร็ตซึ่งก็เป็นเชฟที่ฝีมือเยี่ยมยอดไม่แพ้กัน แล้วทั้ง 2 ร้านก็เป็นร้านอาหารคนละประเภทกันอยู่ดี
ปล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิดต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ค่ะ (แค่รักการดูหนังและอยากจะแชร์แลกเปลี่ยนความเห็นให้คนชอบดูหนังมาคุยกัน ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ)
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ
https://www.facebook.com/MoviesStalker
[CR] รีวิวหนังเรื่อง The Hundred-Foot Journey
หนังให้อารมณ์ feel good อิ่มเอม ละมุนละไม เปรมปรีดิ์ ร่วมไปกับบรรยากาศอันแสนโรแมนติกของเมืองชนบทฝรั่งเศสที่น่าอยู่อาศัย และสิ่งที่แน่ๆคือควรกินให้อิ่มก่อนเข้าไปชม เพราะเราจะได้กลิ่นอาหารอบอวลคละคลุ้งไปทั่วโดยอัตโนมัติ จนอยากกินมะเขือเทศสดๆ เห็ดดิบๆ หรือแม้กระทั่งแอสพารากัสที่เหี่ยวๆ
การแคสตัวละครที่ดีเหมาะสมกับบททุกตัวละครยิ่งส่งเสริมให้หนังเรื่องนี้น่าดูยิ่งเข้าไปอีก โดยเฉพาะแววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังและความมุ่งมั่นของพระเอกชาวอินเดีย (Manish Dayal) กับดวงตากลมโตใสของนางเอกชาวฝรั่งเศส (Charlotte Le Bon) มีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างเหลือเชื่อ อีกทั้งตัวละครในรุ่นผู้ใหญ่อย่าง Helen Mirren ซึ่งรับบทเป็น Madame Mallory ก็สวยสง่าสมวัย พ่อของพระเอก (Om Puri) ก็แสบใช่ย่อย หรือแม้แต่น้องสาวของพระเอกก็ดูสวยมากมายเมื่อสวมใส่ชุดแขก
The Hundred-Foot Journey จับเอาประเด็นความแตกต่างของ 2 ชนชาติอย่างอินเดียและฝรั่งเศสมาเล่นได้ค่อนข้างดีทีเดียว ซึ่งทั้ง 2 ประเทศต่างเป็นประเทศที่มีความลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมทั้งทางด้านสังคม ศิลปะ และอาหารอย่างชัดเจน จึงทำให้หนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจมากโดยเฉพาะในครึ่งเรื่องแรก หลังจากนั้นเหมือนทิศทางของหนังจะเขวไปทางอื่นและตบกลับมาในจานที่ผิดใบ แต่ก็ได้ความอร่อยเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นส่วนที่น่าเสียดายจริงๆเพราะคงจะอร่อยมากกว่านี้หากใส่ในจานที่เหมาะสมกับอาหารที่เสริฟ ซึ่งน่าจะปรุงใส่เครื่องเทศอินเดียให้มากกว่านี้ เอาชนิดที่แรงแบบเต็มสูบให้กลิ่นฉุนแบบสุดๆไปทั่วเมือง และน่าจะเพิ่มช่วงการแข่งขันระหว่างร้านอาหารทั้ง 2 แห่งให้มากกว่านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิดต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ค่ะ (แค่รักการดูหนังและอยากจะแชร์แลกเปลี่ยนความเห็นให้คนชอบดูหนังมาคุยกัน ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ)
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ https://www.facebook.com/MoviesStalker