สวัสดีค่ะ ดิฉันจะขอเล่าเรื่องที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ดิฉันจะไม่มีวันลืม เพราะนั่นคือตราบาปที่ติดตัวดิฉันตลอดจนวันตาย เรื่องที่ไม่น่าให้อภัย ..ดิฉันเคยทำแท้งค่ะ
ด้วยความอึดอัด ดิฉันไม่สามารถคุยกับใครได้แม้แต่คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ11ปีโดยประมาณค่ะ ขณะนั้นดิฉันอายุ26 ปี พลาดตั้งครรภ์โดยที่ไม่พร้อม ดิฉันปรึกษาแฟน และตั้งใจจะไม่เอาเด็กไว้ เนื่องด้วยดิฉันกำลังจะไปทำงานที่ต่างประเทศ ทุกอย่างดำเนินการผ่านเรียบร้อยเหลือแค่รอวันเดินทางอีกในอีกประมาณ2-3เดือนข้างหน้า แฟนดิฉันเองก้ออายุน้อยกว่าดิฉัน ยังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวด้วยเช่นกันค่ะ
ดิฉันอาศัยถามจากเพื่อน โดยสมมติเหตุการณ์ให้เพื่อนฟังว่ามีรุ่นน้องที่ทำงานต้องการทำแท้งเนื่องจากแฟนมีผู้หญิงใหม่
จากนั้นเพื่อนให้ที่อยู่มา ใจกลางเมืองเลยค่ะ คลีนิกใหญ่เชียว ทุกคนละแวกนั้นทราบดี ถ้ามีหญิงสาวเดินแถวๆนั้น ไม่พ้นมาทำแท้งแทบทุกรายไป
ดิฉันไปกับแฟน ไปตรวจแล้วที่นั่นไม่รับทำ เยื่องจากอายุครรภ์ค่อนข้างเยอะ(15สัปดาห์ค่ะ) เขาแนะให้ไปอีกที่ค่ะ อยู่แถวๆคลองมีชื่อเสียงเรื่องน้ำเสียอันดับหนึ่ง ดิฉันกับแฟนก้อไปค่ะ ไปตรวจ,นัดวัน-เวลา หลังจากนั้นไม่กี่วันดิฉันก้อได้ไปทำจนเสร็จสิ้นค่ะ
ที่นั่นมีคนไปเยอะมาก ทุกคนมีสีหน้ากังวล ดิฉันเองก้อเครียดไม่น้อย คิดไปต่างๆนานา ส่วนใหญ่อายุครรภ์ไม่ค่อยเยอะ เท่าที่ดูในห้องที่ดิฉันอยู่มี2คนรวมดิฉันที่อายุครรภ์เกิน15สัปดาห์ ดิฉันเห็นบางคนเขาก้อคุยกันบ้างเพื่อลดความตึงเครียด ดิฉันก้อมีคุยค่ะ ถ้าไม่คุยก้อหลับ(ไม่สนิทหรอกค่ะ แต่เขาให้นอนรอยาออกฤทธิ์)
วิธีการ เขาให้ดิฉันเปลี่ยนชุดของทางโรงพยาบาล (ไม่ผิดแน่ค่ะ เป็นโรงพยาบาลจริงๆค่ะ แต่ตึกอยู่ทางด้านหลัง ค่อนข้างลึกลับ) ใส่ผ้าอนามัยแบบสวม ใช้ยาสอด น่าจะเป็นยาที่มีฤทธิ์ทำลายล้างสูงค่ะ เพราะเมื่อยาเริ่มออกฤทธิ์ จะปวดท้องมากๆ จนเด็กหลุดออกมาเองค่ะ แต่ระยะเวลานั้นแล้วแต่ค่ะ บางคนหลุดเร็วบางคนรอนานหน่อย ดิฉันออกเกือบคนสุดท้ายแน่ะค่ะ
ช่วงเวลาที่นั่น มันเหมือนยาวนาน ทั้งๆที่มันแค่เพียง1วันเท่านั้น ทรมานจากความเจ็บปวด มันวิตกทุกครั้งที่ได้ยินเพื่อนร่วมห้องตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะออกแล้วๆ
เมื่อตอนออก เจ้าหน้าที่เขาจะโทรไปแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งว่าคนนี้(ชื่อ)คลอดแล้ว ใช้คำว่าคลอดนะคะ
เมื่อคลอดแล้ว ต้องขูดมดลูกอีก นี่ก้อเป็นขั้นตอนสุดแสนทรมานอีกเช่นกันค่ะ มือแต่ละท่าน"หนัก"ได้ใจ ออกมาแทบยืนไม่อยู่เลย สุดท้ายถ้าเสร็จสิ้นก้อเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้าน ดิฉันยังอึดพอที่จะกลับบ้านเองได้อีกค่ะแฟนไม่ได้มารับเพราะติดงาน
เข้าสู่กระบวนการพักฟื้นเลยนะคะ ประมาณ3วันค่ะ ทำตามที่เจ้าหน้าที่สั่งทุกอย่างค่ะ ห้ามดิ่มน้ำร้อนจัดน้ำเย็นจัด ใช้ยาสอด กินยาตามที่จัดให้
แล้วดิฉันก้อกลับไปทำงานและใช้ชีวิตปกติแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดิฉันได้เคยไปไหว้ศาลที่เกี่ยวกับงู เพื่อไปขอ"ฝาก"เด็กในท้องให้ท่านช่วยดูแลก่อน แล้วเมื่อดิฉันพร้อม ดิฉันจะไปไหว้ขอลูกจากท่านอีกครั้ง ด้วยความที่อยากทำเพื่อความสบายใจเข้าข้างตัวเองไว้ว่าเราไม่ได้ฆ่าเด็ก แค่ฝากไว้ก่อน มันไร้สาระและดูโง่มากใช่มั้ยคะ แต่ดิฉันก้อทำค่ะ
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ดิฉันก้อไปตปท. เมื่อกลับมาแล้วจากนั้นอีกเกือบ2ปี ความหายนะก้อเริ่มเกิดขึ้นในครอบครัวดิฉัน พ่อดิฉันเสียชีวิตกระทันหันด้วยอุบัติเหตุถูกรถมอเตอร์ไซค์ชน พี่ชายเครียดจนต้องเข้ารับการบำบัด กลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช ดิฉันต้องกลายมาเป็นคนรับภาระภายในบ้านทั้งหมด (ผ่อนบ้านงวดละ9พันกว่าแบบงงๆ,จัดการเรื่องคดีความ,ขึ้นศาล,ตามเงินเรื่องพรบ. เพราะพี่ชายไม่สามารถทำให้ได้แล้ว แม่ดิฉันก้อเสียไปนานแล้ว หน้าที่ต่างๆจึงตกเป็นของดิฉันโดยปริยาย)
แฟนที่คบที่รักกันนักหนาก้อห่างๆกันไปจนขอเลิก ช่วงนั้นดิฉันต้องทำงานหาเงินอย่างหนัก ไม่ได้คุยกันเลย เงียบจนผู้ชายเองคงมีความเบื่ออยู่เป็นทุนเดิม ประกอบกับมีคนหน้าใหม่ๆเข้ามาในชีวิต แถมตอนที่คุยครั้งสุดท้ายตอนที่ขอเลิก เขาสารภาพว่าเคยมีอะไรกับรุ่นน้องที่ดิฉันสนิทมากคนนึงด้วยค่ะ เพราะเมาทั้งคู่ เรื่องราวทั้งหมดของดิฉันกับเขาก้อเปนอันจบลง
ปัจจุบันดิฉันผ่อนบ้านหมดแล้ว แต่พี่ชายดิฉันก้อยังคงป่วยเหมือนเดิม ไม่ได้ทำงาน หวาดระแวงอยู่ในบ้านกลัวใครจะมาขโมยของ ไม่ก้อไปยืนอาละวาดด่ากราดบ้านข้างๆ ส่วนตัวดิฉันต้องออกมาหาห้องเช่าอยู่เพราะพี่ชายถือกุญแจและล็อคบ้านแน่นหนาบางทีไม่ยอมให้เข้าบ้าน บางวันก้อไม่อยากเปิดให้ออกไปข้างนอกบ้าน ดิฉันจึงตัดปัญหานี้ซะ ออกมาหาที่อยู่เอง
เรื่องผู้ชาย ตั้งแต่เลิกกับแฟนคนนั้น ดิฉันมีแฟนใหม่แค่คนเดียวและก้ออยู่กันได้แค่2-3ปีก้อเลิกค่ะ ส่วนแฟนคนนั้นตอนนี้คุยกันเป็นเพื่อนค่ะ แต่ไม่ค่อยได้คุยมากเขาอยู่กับแฟนค่ะ
เล่ามาถึงตรงนี้ ดิฉันอยากบอกว่าดิฉันเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม ดิฉันทำเลวไว้ ดิฉันต้องชดใช้ ตอนนี้ดิฉันทำงานเกี่ยวกับการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนอื่นค่ะโดยเฉพาะเด็กๆ
มีคนเคยบอกว่าคนที่ทำแท้งจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิต จะเจอแต่ความ
พังพินาศ ดิฉันก้อฟังไว้นะคะ แต่ดิฉันไม่กลัวนะคะ ถึงดิฉันเรียนจบไม่สูง แต่ดิฉันอดทนไม่เกี่ยงงาน ให้หนักขนาดไหนถ้าไหวดิฉันจะทำ เด็กเสิร์ฟอะไรดิฉันทำได้หมดค่ะขอให้พอใช้ทั้งตัวเองและพี่ชาย เรื่องความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จึงไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันกังวลเลยค่ะ
ดิฉันแค่กังวลถึงเด็กคนนั้นที่ดิฉันทำไม่ดีกับเขาไว้ เขาคงเกลียดและอาฆาตดิฉันมาก วันดีคืนดีดิฉันนึกถึงเขาดิฉันก้อเศร้าหดหู่บอกไม่ถูก แต่ดิฉันไม่เคยฝันถึงเด็กในทำนองเศร้า-ร้องไห้-โกรธเลยนะคะ มีแค่ฝันว่าได้อุ้มเด็กน่ารักๆบ้างเป็นบางครั้ง
บางทีดิฉันก้อคิดแบบเห็นแก่ตัวว่า ดีแล้วที่ไม่ได้แฟนคนนั้นมาเป็นพ่อของลูก ดูจากความรับผิดชอบที่เขามีไม่น่าจะใช้ชีวิตด้วยกันรอด ถ้าปล่อยให้มีลูกคราวนั้นแล้วเลิกกัน มองหน้าลูกแล้วคงเจ็บปวด....แต่นั่นล่ะค่ะ มันเปนแค่สิ่งที่ดิฉันมโนไปเอง ความเปนจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก้อได้
ดิฉันไม่ได้สนับสนุนให้เด็กๆที่อ่านทำตามนะคะ เพียงแต่อยากแชร์ให้ทราบ คนที่คิดจะทำ ถามหน่อยว่าคุณจะเตรียมรับมือกับโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า ของดิฉันเองพูดเลยนะคะ ยิ่งกว่ากระอักเลือดค่ะ มันอารมณ์นั้นเลยทีเดียวค่ะและตราบใดที่ดิฉันยังมีลมหายใจ ไม่แน่ว่าเรื่องร้ายๆจะยังคอยถาโถมเข้ามาอีกรึป่าว ก้อต้องก้มหน้าชดใช้กันต่อไปถ้ามีมา ทุกวันนี้ดิฉันพยายามคิดและทำในสิ่งที่ดีๆ ทำบุญทำทานให้มากขึ้นถึงแม้จะช่วยได้ไม่มาก แต่แค่หากทำให้สบายใจเพียงนิดดิฉันก้อจะทำ
หวังว่าเรื่องของดิฉันจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจใครหลายๆคนให้คิดให้ดีไตร่ตรองให้มากๆ ชีวิตทุกชีวิตมีค่านะคะ
ขออภัยถ้าใครอ่านแล้วไม่สบอารมณ์ ดิฉันขอรับผิดไว้เพียงผู้เดียวค่ะ **หากtagผิดๆถูกๆขอโทษนะคะ
ดิฉันเคยทำแท้งมาก่อนค่ะ
ด้วยความอึดอัด ดิฉันไม่สามารถคุยกับใครได้แม้แต่คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ11ปีโดยประมาณค่ะ ขณะนั้นดิฉันอายุ26 ปี พลาดตั้งครรภ์โดยที่ไม่พร้อม ดิฉันปรึกษาแฟน และตั้งใจจะไม่เอาเด็กไว้ เนื่องด้วยดิฉันกำลังจะไปทำงานที่ต่างประเทศ ทุกอย่างดำเนินการผ่านเรียบร้อยเหลือแค่รอวันเดินทางอีกในอีกประมาณ2-3เดือนข้างหน้า แฟนดิฉันเองก้ออายุน้อยกว่าดิฉัน ยังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวด้วยเช่นกันค่ะ
ดิฉันอาศัยถามจากเพื่อน โดยสมมติเหตุการณ์ให้เพื่อนฟังว่ามีรุ่นน้องที่ทำงานต้องการทำแท้งเนื่องจากแฟนมีผู้หญิงใหม่
จากนั้นเพื่อนให้ที่อยู่มา ใจกลางเมืองเลยค่ะ คลีนิกใหญ่เชียว ทุกคนละแวกนั้นทราบดี ถ้ามีหญิงสาวเดินแถวๆนั้น ไม่พ้นมาทำแท้งแทบทุกรายไป
ดิฉันไปกับแฟน ไปตรวจแล้วที่นั่นไม่รับทำ เยื่องจากอายุครรภ์ค่อนข้างเยอะ(15สัปดาห์ค่ะ) เขาแนะให้ไปอีกที่ค่ะ อยู่แถวๆคลองมีชื่อเสียงเรื่องน้ำเสียอันดับหนึ่ง ดิฉันกับแฟนก้อไปค่ะ ไปตรวจ,นัดวัน-เวลา หลังจากนั้นไม่กี่วันดิฉันก้อได้ไปทำจนเสร็จสิ้นค่ะ
ที่นั่นมีคนไปเยอะมาก ทุกคนมีสีหน้ากังวล ดิฉันเองก้อเครียดไม่น้อย คิดไปต่างๆนานา ส่วนใหญ่อายุครรภ์ไม่ค่อยเยอะ เท่าที่ดูในห้องที่ดิฉันอยู่มี2คนรวมดิฉันที่อายุครรภ์เกิน15สัปดาห์ ดิฉันเห็นบางคนเขาก้อคุยกันบ้างเพื่อลดความตึงเครียด ดิฉันก้อมีคุยค่ะ ถ้าไม่คุยก้อหลับ(ไม่สนิทหรอกค่ะ แต่เขาให้นอนรอยาออกฤทธิ์)
วิธีการ เขาให้ดิฉันเปลี่ยนชุดของทางโรงพยาบาล (ไม่ผิดแน่ค่ะ เป็นโรงพยาบาลจริงๆค่ะ แต่ตึกอยู่ทางด้านหลัง ค่อนข้างลึกลับ) ใส่ผ้าอนามัยแบบสวม ใช้ยาสอด น่าจะเป็นยาที่มีฤทธิ์ทำลายล้างสูงค่ะ เพราะเมื่อยาเริ่มออกฤทธิ์ จะปวดท้องมากๆ จนเด็กหลุดออกมาเองค่ะ แต่ระยะเวลานั้นแล้วแต่ค่ะ บางคนหลุดเร็วบางคนรอนานหน่อย ดิฉันออกเกือบคนสุดท้ายแน่ะค่ะ
ช่วงเวลาที่นั่น มันเหมือนยาวนาน ทั้งๆที่มันแค่เพียง1วันเท่านั้น ทรมานจากความเจ็บปวด มันวิตกทุกครั้งที่ได้ยินเพื่อนร่วมห้องตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะออกแล้วๆ
เมื่อตอนออก เจ้าหน้าที่เขาจะโทรไปแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งว่าคนนี้(ชื่อ)คลอดแล้ว ใช้คำว่าคลอดนะคะ
เมื่อคลอดแล้ว ต้องขูดมดลูกอีก นี่ก้อเป็นขั้นตอนสุดแสนทรมานอีกเช่นกันค่ะ มือแต่ละท่าน"หนัก"ได้ใจ ออกมาแทบยืนไม่อยู่เลย สุดท้ายถ้าเสร็จสิ้นก้อเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้าน ดิฉันยังอึดพอที่จะกลับบ้านเองได้อีกค่ะแฟนไม่ได้มารับเพราะติดงาน
เข้าสู่กระบวนการพักฟื้นเลยนะคะ ประมาณ3วันค่ะ ทำตามที่เจ้าหน้าที่สั่งทุกอย่างค่ะ ห้ามดิ่มน้ำร้อนจัดน้ำเย็นจัด ใช้ยาสอด กินยาตามที่จัดให้
แล้วดิฉันก้อกลับไปทำงานและใช้ชีวิตปกติแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดิฉันได้เคยไปไหว้ศาลที่เกี่ยวกับงู เพื่อไปขอ"ฝาก"เด็กในท้องให้ท่านช่วยดูแลก่อน แล้วเมื่อดิฉันพร้อม ดิฉันจะไปไหว้ขอลูกจากท่านอีกครั้ง ด้วยความที่อยากทำเพื่อความสบายใจเข้าข้างตัวเองไว้ว่าเราไม่ได้ฆ่าเด็ก แค่ฝากไว้ก่อน มันไร้สาระและดูโง่มากใช่มั้ยคะ แต่ดิฉันก้อทำค่ะ
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ดิฉันก้อไปตปท. เมื่อกลับมาแล้วจากนั้นอีกเกือบ2ปี ความหายนะก้อเริ่มเกิดขึ้นในครอบครัวดิฉัน พ่อดิฉันเสียชีวิตกระทันหันด้วยอุบัติเหตุถูกรถมอเตอร์ไซค์ชน พี่ชายเครียดจนต้องเข้ารับการบำบัด กลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช ดิฉันต้องกลายมาเป็นคนรับภาระภายในบ้านทั้งหมด (ผ่อนบ้านงวดละ9พันกว่าแบบงงๆ,จัดการเรื่องคดีความ,ขึ้นศาล,ตามเงินเรื่องพรบ. เพราะพี่ชายไม่สามารถทำให้ได้แล้ว แม่ดิฉันก้อเสียไปนานแล้ว หน้าที่ต่างๆจึงตกเป็นของดิฉันโดยปริยาย)
แฟนที่คบที่รักกันนักหนาก้อห่างๆกันไปจนขอเลิก ช่วงนั้นดิฉันต้องทำงานหาเงินอย่างหนัก ไม่ได้คุยกันเลย เงียบจนผู้ชายเองคงมีความเบื่ออยู่เป็นทุนเดิม ประกอบกับมีคนหน้าใหม่ๆเข้ามาในชีวิต แถมตอนที่คุยครั้งสุดท้ายตอนที่ขอเลิก เขาสารภาพว่าเคยมีอะไรกับรุ่นน้องที่ดิฉันสนิทมากคนนึงด้วยค่ะ เพราะเมาทั้งคู่ เรื่องราวทั้งหมดของดิฉันกับเขาก้อเปนอันจบลง
ปัจจุบันดิฉันผ่อนบ้านหมดแล้ว แต่พี่ชายดิฉันก้อยังคงป่วยเหมือนเดิม ไม่ได้ทำงาน หวาดระแวงอยู่ในบ้านกลัวใครจะมาขโมยของ ไม่ก้อไปยืนอาละวาดด่ากราดบ้านข้างๆ ส่วนตัวดิฉันต้องออกมาหาห้องเช่าอยู่เพราะพี่ชายถือกุญแจและล็อคบ้านแน่นหนาบางทีไม่ยอมให้เข้าบ้าน บางวันก้อไม่อยากเปิดให้ออกไปข้างนอกบ้าน ดิฉันจึงตัดปัญหานี้ซะ ออกมาหาที่อยู่เอง
เรื่องผู้ชาย ตั้งแต่เลิกกับแฟนคนนั้น ดิฉันมีแฟนใหม่แค่คนเดียวและก้ออยู่กันได้แค่2-3ปีก้อเลิกค่ะ ส่วนแฟนคนนั้นตอนนี้คุยกันเป็นเพื่อนค่ะ แต่ไม่ค่อยได้คุยมากเขาอยู่กับแฟนค่ะ
เล่ามาถึงตรงนี้ ดิฉันอยากบอกว่าดิฉันเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม ดิฉันทำเลวไว้ ดิฉันต้องชดใช้ ตอนนี้ดิฉันทำงานเกี่ยวกับการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนอื่นค่ะโดยเฉพาะเด็กๆ
มีคนเคยบอกว่าคนที่ทำแท้งจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิต จะเจอแต่ความพังพินาศ ดิฉันก้อฟังไว้นะคะ แต่ดิฉันไม่กลัวนะคะ ถึงดิฉันเรียนจบไม่สูง แต่ดิฉันอดทนไม่เกี่ยงงาน ให้หนักขนาดไหนถ้าไหวดิฉันจะทำ เด็กเสิร์ฟอะไรดิฉันทำได้หมดค่ะขอให้พอใช้ทั้งตัวเองและพี่ชาย เรื่องความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จึงไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันกังวลเลยค่ะ
ดิฉันแค่กังวลถึงเด็กคนนั้นที่ดิฉันทำไม่ดีกับเขาไว้ เขาคงเกลียดและอาฆาตดิฉันมาก วันดีคืนดีดิฉันนึกถึงเขาดิฉันก้อเศร้าหดหู่บอกไม่ถูก แต่ดิฉันไม่เคยฝันถึงเด็กในทำนองเศร้า-ร้องไห้-โกรธเลยนะคะ มีแค่ฝันว่าได้อุ้มเด็กน่ารักๆบ้างเป็นบางครั้ง
บางทีดิฉันก้อคิดแบบเห็นแก่ตัวว่า ดีแล้วที่ไม่ได้แฟนคนนั้นมาเป็นพ่อของลูก ดูจากความรับผิดชอบที่เขามีไม่น่าจะใช้ชีวิตด้วยกันรอด ถ้าปล่อยให้มีลูกคราวนั้นแล้วเลิกกัน มองหน้าลูกแล้วคงเจ็บปวด....แต่นั่นล่ะค่ะ มันเปนแค่สิ่งที่ดิฉันมโนไปเอง ความเปนจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก้อได้
ดิฉันไม่ได้สนับสนุนให้เด็กๆที่อ่านทำตามนะคะ เพียงแต่อยากแชร์ให้ทราบ คนที่คิดจะทำ ถามหน่อยว่าคุณจะเตรียมรับมือกับโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า ของดิฉันเองพูดเลยนะคะ ยิ่งกว่ากระอักเลือดค่ะ มันอารมณ์นั้นเลยทีเดียวค่ะและตราบใดที่ดิฉันยังมีลมหายใจ ไม่แน่ว่าเรื่องร้ายๆจะยังคอยถาโถมเข้ามาอีกรึป่าว ก้อต้องก้มหน้าชดใช้กันต่อไปถ้ามีมา ทุกวันนี้ดิฉันพยายามคิดและทำในสิ่งที่ดีๆ ทำบุญทำทานให้มากขึ้นถึงแม้จะช่วยได้ไม่มาก แต่แค่หากทำให้สบายใจเพียงนิดดิฉันก้อจะทำ
หวังว่าเรื่องของดิฉันจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจใครหลายๆคนให้คิดให้ดีไตร่ตรองให้มากๆ ชีวิตทุกชีวิตมีค่านะคะ
ขออภัยถ้าใครอ่านแล้วไม่สบอารมณ์ ดิฉันขอรับผิดไว้เพียงผู้เดียวค่ะ **หากtagผิดๆถูกๆขอโทษนะคะ