สวัสดีครับ
น่าจะเป็นกระทู้แรกในห้องศาสนาถ้าผมจำไม่ผิด แต่จริงๆ แล้วก็วนเวียนอ่านอยู่แถวนี้ได้พักใหญ่ๆ แล้วล่ะครับ วันนี้ไม่มีอะไร แค่อยากชวนคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันเฉยๆ ครับ
ตอนนี้พยายามที่จะรักษาศีลห้าให้ครบทั้งห้าข้อ จากที่ตอนแรกผมก็น่าจะเหมือนชาวพุทธไทยๆ ส่วนใหญ่ที่ ข้อ แรกถึงข้อสี่ ไม่ค่อยได้ล่วงละเมิดหรอกครับ แต่จะหยวนๆ ไปเองว่า ขอเว้นข้อดื่มเหล้าสักข้อนึงละกัน รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดศีลแต่ก็ยังขอเว้นเอง ก็ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ
แต่ก่อนผมคิดว่าผมก็ดื่มค่อนข้างหนักทีเดียว คงไม่ขอลงลึกในรายละเอียด เดี๋ยวจะเป็นการอวดในสิ่งไม่ควรอวด ดีไม่ดีมีคนมาเกทับความสามารถกันอีก กลายเป็นส่งเสริมให้ทำบาปไปอีก ผมคิดว่าข้อห้านี่ง่ายมากๆ ง่ายรองจากข้อแรกเลย เพราะยังไงเราไม่เคยเบียดเบียน ตัดชีวิตใครอยู่แล้ว ส่วนข้อห้านี่ แค่เราไม่กิน ไม่เปิดปาก ดื่มเข้าไป ก็จบแล้ว สบายๆ
ผมตัดสินใจเลิกแอลกอฮอลแบบเด็ดขาดเมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ด้วยความที่อยู่เมืองฝรั่ง ซึ่งแน่นอนว่าการดื่มเค้าเป็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตไปแล้ว ยิ่งช่วงคริสมาสต์ บรรยากาศยิ่งพาไปครับ เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ นี่ก็อดที่จะชายตามองขวดเหล้า หัวกดเบียร์ มองดูผับ ดูบาร์ที่ตกแต่งสวยๆ ไปด้วยเครื่องดื่มจำพวกนี้ไม่ได้ แต่คงด้วยความที่เพิ่งสัญญาจะไม่ดื่มได้ไม่นาน กำลังใจคงยังแข็งแรงดีอยู่ ทำให้ผ่านช่วงคริสมาสต์และปีใหม่มาได้อย่างไม่อะไรมากนัก
ผับบาร์ จากตอนแรกๆ ไปบ่อยมาก ดื่มทีหนักๆ พอเลิกเหล้า ก็รู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องไปนั่งสังสรรค์กับเพื่อนที่ผับ เพราะทำตัวไม่ถูกว่าไปผับทำอะไร ถ้าไม่ดื่ม เลยเลือกที่จะเลี่ยงไม่ไป ไม่มอง เวลาเดินผ่านผับ ซึ่งมีเยอะมากๆ ทุกตรอกซอกซอย พยายามมองไปที่อื่นแล้วไม่คิด นึกย้อนหลังก็อดขำตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นคงพยายามหาทางให้มันสมดุลอยู่กระมังครับ มันเลยเป็นอาการกลัวๆ ที่จะเห็นผับ แต่ถ้าเราจะหลีกเลี่ยงมันเลยก็ไม่ไหวครับ เพราะที่นี่ผับก็เหมือนร้านอาหารทั่วไป ทุกคนไปพบปะพูดคุยกันในผับ
แรกๆ ที่ไปผับหลังจากเลิกดื่ม การต้องไปบอกพนักงานหน้าบาร์ว่ามีอะไรที่ไม่มีแอลกอฮอลมั้ย ขอโค้กนะ ขอน้ำผลไม้อัดลมนะ มันเป็นอะไรที่เขินมากๆ ครับ เรารู้สึกไปเองกระมังว่า มันเป็นอะไรที่เสียเชิงชายมากๆ จากคนที่เคยดื่ม รู้หมดผับไหนขายอะไร เพื่อนๆ ที่อยู่ข่างหลังก็มีแซวมั่ง แต่เราไม่โกรธครับ กลับภูมิใจเล็กๆ ว่าเราเอาชนะใจเราได้ ใช้เวลาอยู่หลายเดือนครับ กว่าจะกลับมาเป็นปกติ ก็คือไปผับได้สบายๆ ปกติ ไม่ต้องคิดหรืออายแล้วว่าจะดื่มอะไร อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไป
อีกไม่กี่เดือนก็จะครบหนึ่งปีที่ตัดสินใจไม่แตะแอลกอฮอลเด็ดขาดแล้วครับ จะมีครั้งนึงเท่านั้นที่รุ่นพี่พยายามคะยั้นคะยอให้เราดื่ม พี่แกก็เมาๆ ด้วยกระมัง ผมก็เลยต้องยกดื่มซักกระป๋อง แต่ก็ไม่หมดหรอกครับ พี่ที่รู้ว่าผมไม่ค่อยอยากดื่มก็ใจดีช่วยผมครับ ตอนนั้นก็รู้สึกผิดนิดๆ กลายเป็นทำให้พี่ที่อยากช่วยเราต้องดื่มแทนเรา แต่ผมไม่โทษพี่ที่ให้เราดื่มหรอกครับ ผมเข้าใจดีทุกอย่าง เคยผ่านมาหมดแล้ว มันเป็นเพราะใจผมในตอนนั้นก็คงอยากด้วยแหละ เลยตัดสินใจเปิดกระป๋องดื่ม แต่บอกได้เลยครับ ว่าหลังจากนั้นมาอีก ก็ไม่มีเลยที่แอลกอฮลจะผ่านเข้าไปในลำคอผม
พอดีมีเหตุการณ์เมื่อคืน เลยทำให้ฉุกคิดและอยากมาชวนคุยครับ เมื่อคืนไปทานข้าวที่ผับกับเพื่อนๆ พี่ๆ เขาก็ดื่มกันแหละครับ ผมนี่ก็น้ำเปล่าเหยือกนึง ดื่มแก้เขิลจนจุก ฮ่าๆ เห็นเค้าดื่มกันน่าสนุก เราก็อยากหาอะไรดื่มมั่งแหละ นอกจากนั่งเฉยๆ เลยไปลงที่น้ำเปล่า พี่ก็พี่กลุ่มเดิม คนเดิมที่เคยให้เราดื่มเมื่อคราวก่อนนั่นแหละครับ ที่บอกนี่ผมไม่ได้คับแค้นใจอะไรนะครับ อย่าเข้าใจผิด ทุกๆ คนพอเห็นเราไม่ดื่มจริงๆ และเราตั้งใจจริงๆ พิสูจน์มาเป็นระยะเวลาพอประมาณ พี่ๆ ก็รับรู้และเคารพในการตัดสินใจของเราครับ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ผมดื่มหรือไม่ดื่มได้หรอกครับ นอกจากผมจะอยากเอง จริงไหม
พอดีมีงานฉลองวันเกิดเพื่อนที่คลับอีกที่นึง เราก็ตัดสินใจจะแวะไปบอกสุขสันต์วันเกิดซะหน่อย เหมือนเดิมครับ ไม่ได้กะจะดื่มอะไร คงไปสั่งน้ำ น้ำอัดลมดื่ม พอไปถึงพี่เขาก็บอกว่าคืนนี้คืนเดียว ไม่เป็นไรหรอก ผมนี่ขนลุกซู่เลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ ในใจนี่เต้นตุกตักๆ บรรยากาศในนั้น ไหนจะสาวๆ ไหนจะวงดนตรีสดๆ ที่เล่นอยู่ข้างหลังผมไม่ถึงสองก้าว ไหนจะคนในร้านที่พร้อมใจกันลุกขึ้นเต้นทั้งร้าน แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ครับ ได้กระทิงแดงสองป๋องมาดื่มแก้เขิล ถือเดินร่อนทั้งงานเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ
ที่พิมพ์มายาวเฟื้อย ต้องขออภัย แถมเรียบเรียงได้ไม่ดี ผมแค่อยากบอกว่า เออไอ้การไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล โดยเฉพาะกับผู้ชายวัยฉกรรพ์ แถมต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนอก เมืองที่มีการกิมดื่มเป็นธรรมดาอย่างนี้ มันต้องใช้กำลังใจมากเหมือนกัน ว่ามั้ยครับ แต่ทุกครั้งที่เราผ่านมันมาได้ มันจะทำให้กำลังใจเราแข็งแกร่งขึ้นครับ เวลาเรามองย้อนกลับไป เราก็จะสามารถยิ้มเยาะมันได้ครับ ทำหน้าหล่อๆ เหมือนในหนังด้วยนะ
ผมเคารพการตัดสินใจของทุกๆ ท่านครับ บางท่านสะดวกศีลห้า บางท่านสะดวกศีลสี่ข้อ เมื่อก่อนเวลาอาราธนาศีล ผมก็หยุดอยู่ที่ข้อสี่ครับ ใครจะไปต่ออีกข้อก็ไป ฮ่าๆๆ แต่ผมคิดว่าตอนนี้จิตใจของผมน่าจะหนักแน่นพอแล้วที่จะอาราธนาศีลทั้งห้าข้อมาอยู่ในใจ แน่นอนว่าไม่รวมศีลข้ออื่นๆ ที่ด่างพร้อยไปมั่ง
อยากเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังพยายามถือศีลให้ครบทั้งห้าข้อ โดยเฉพาะข้อสุดท้ายอยู่นะครับ หรือจะเป็นเหตุผลทางด้านสุขภาพก็ดี ขอให้จิตใจเข้มแข็งครับ เลื่อนลงไปหากระทู้คำสอนหลวงปู่เหรียญ แล้วเหมือนกับจงใจสอนผมเลยครับ หลวงปู่ท่านบอกว่า อย่ามองข้ามความดีที่ตนได้ทำ ทำดีครั้งนึงก็ให้นึกถึงมันบ่อยๆ จะเป็นการสร้างกำลังใจให้แกร่งขึ้นไปอีก เช่นกันกับเวลาที่เราปฏิเสธไม่ดื่มเหล้าในแต่ละครั้ง ให้คิดถึงพวกมันทุกๆ ครั้ง ครับ เพราะเรามักจะลืมความดีในข้อนี้ ในทางศาสนาพุทธเราการงดเว้นสุรายาเมาก็ถือเป็นการทำกุศลนะครับ อย่ามองข้ามมันครับ
ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เคยร่วมดื่มร่วมเมากันมา ที่เข้าใจในวัตถุประสงค์ของผมที่ตัดสินใจเลิกแอลกอฮอลแบบถาวร และยังไม่รังเกียจที่จะชวนไปสนุกสนานตามผับตามบาร์ นั่งคุยกันเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน ผมอยากบอกว่า บางครั้งการที่เราจะเข้าสังคมได้ ก็อาจไม่ต้องการแอลกอฮอลนะครับ หลายๆ คนที่ไหนๆ ก็ตัดสินใจจะถือศีลข้อนี้ให้ได้ แต่อาจจะมีของดเว้นในบางครั้งที่โดนบีบบังคับ ขอให้ลองตั้งใจว่ายังไงก็ไม่ดูครับ แล้วพยายามอธิบายเหตุผลของเรา แน่นอนครับว่าถ้าเขาเหล่านั้นเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของคุณ เขาจะไม่บังคับ แถมยังพลอยอนุโมทนาบุญด้วยอีกครับ
หวังว่าเรื่องที่พิมพ์มาซะยาว เรียบเรียงก็ไม่ค่อยจะดี จะเป็นกำลังใจให้หลายๆ ท่านนะครับ ใครถือศีลห้า ศีลสี่ ก็แวะเข้ามาคุยกันมั่งนะครับ
ขอบคุณครับ
ถือศีล 5 โดยเฉพาะข้อสุราเมรัย ตอนแรกคิดว่าง่ายๆ ผมว่ามันยากเหมือนกันนะครับ ว่ามั้ยครับ
น่าจะเป็นกระทู้แรกในห้องศาสนาถ้าผมจำไม่ผิด แต่จริงๆ แล้วก็วนเวียนอ่านอยู่แถวนี้ได้พักใหญ่ๆ แล้วล่ะครับ วันนี้ไม่มีอะไร แค่อยากชวนคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันเฉยๆ ครับ
ตอนนี้พยายามที่จะรักษาศีลห้าให้ครบทั้งห้าข้อ จากที่ตอนแรกผมก็น่าจะเหมือนชาวพุทธไทยๆ ส่วนใหญ่ที่ ข้อ แรกถึงข้อสี่ ไม่ค่อยได้ล่วงละเมิดหรอกครับ แต่จะหยวนๆ ไปเองว่า ขอเว้นข้อดื่มเหล้าสักข้อนึงละกัน รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดศีลแต่ก็ยังขอเว้นเอง ก็ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ
แต่ก่อนผมคิดว่าผมก็ดื่มค่อนข้างหนักทีเดียว คงไม่ขอลงลึกในรายละเอียด เดี๋ยวจะเป็นการอวดในสิ่งไม่ควรอวด ดีไม่ดีมีคนมาเกทับความสามารถกันอีก กลายเป็นส่งเสริมให้ทำบาปไปอีก ผมคิดว่าข้อห้านี่ง่ายมากๆ ง่ายรองจากข้อแรกเลย เพราะยังไงเราไม่เคยเบียดเบียน ตัดชีวิตใครอยู่แล้ว ส่วนข้อห้านี่ แค่เราไม่กิน ไม่เปิดปาก ดื่มเข้าไป ก็จบแล้ว สบายๆ
ผมตัดสินใจเลิกแอลกอฮอลแบบเด็ดขาดเมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ด้วยความที่อยู่เมืองฝรั่ง ซึ่งแน่นอนว่าการดื่มเค้าเป็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตไปแล้ว ยิ่งช่วงคริสมาสต์ บรรยากาศยิ่งพาไปครับ เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ นี่ก็อดที่จะชายตามองขวดเหล้า หัวกดเบียร์ มองดูผับ ดูบาร์ที่ตกแต่งสวยๆ ไปด้วยเครื่องดื่มจำพวกนี้ไม่ได้ แต่คงด้วยความที่เพิ่งสัญญาจะไม่ดื่มได้ไม่นาน กำลังใจคงยังแข็งแรงดีอยู่ ทำให้ผ่านช่วงคริสมาสต์และปีใหม่มาได้อย่างไม่อะไรมากนัก
ผับบาร์ จากตอนแรกๆ ไปบ่อยมาก ดื่มทีหนักๆ พอเลิกเหล้า ก็รู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องไปนั่งสังสรรค์กับเพื่อนที่ผับ เพราะทำตัวไม่ถูกว่าไปผับทำอะไร ถ้าไม่ดื่ม เลยเลือกที่จะเลี่ยงไม่ไป ไม่มอง เวลาเดินผ่านผับ ซึ่งมีเยอะมากๆ ทุกตรอกซอกซอย พยายามมองไปที่อื่นแล้วไม่คิด นึกย้อนหลังก็อดขำตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นคงพยายามหาทางให้มันสมดุลอยู่กระมังครับ มันเลยเป็นอาการกลัวๆ ที่จะเห็นผับ แต่ถ้าเราจะหลีกเลี่ยงมันเลยก็ไม่ไหวครับ เพราะที่นี่ผับก็เหมือนร้านอาหารทั่วไป ทุกคนไปพบปะพูดคุยกันในผับ
แรกๆ ที่ไปผับหลังจากเลิกดื่ม การต้องไปบอกพนักงานหน้าบาร์ว่ามีอะไรที่ไม่มีแอลกอฮอลมั้ย ขอโค้กนะ ขอน้ำผลไม้อัดลมนะ มันเป็นอะไรที่เขินมากๆ ครับ เรารู้สึกไปเองกระมังว่า มันเป็นอะไรที่เสียเชิงชายมากๆ จากคนที่เคยดื่ม รู้หมดผับไหนขายอะไร เพื่อนๆ ที่อยู่ข่างหลังก็มีแซวมั่ง แต่เราไม่โกรธครับ กลับภูมิใจเล็กๆ ว่าเราเอาชนะใจเราได้ ใช้เวลาอยู่หลายเดือนครับ กว่าจะกลับมาเป็นปกติ ก็คือไปผับได้สบายๆ ปกติ ไม่ต้องคิดหรืออายแล้วว่าจะดื่มอะไร อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไป
อีกไม่กี่เดือนก็จะครบหนึ่งปีที่ตัดสินใจไม่แตะแอลกอฮอลเด็ดขาดแล้วครับ จะมีครั้งนึงเท่านั้นที่รุ่นพี่พยายามคะยั้นคะยอให้เราดื่ม พี่แกก็เมาๆ ด้วยกระมัง ผมก็เลยต้องยกดื่มซักกระป๋อง แต่ก็ไม่หมดหรอกครับ พี่ที่รู้ว่าผมไม่ค่อยอยากดื่มก็ใจดีช่วยผมครับ ตอนนั้นก็รู้สึกผิดนิดๆ กลายเป็นทำให้พี่ที่อยากช่วยเราต้องดื่มแทนเรา แต่ผมไม่โทษพี่ที่ให้เราดื่มหรอกครับ ผมเข้าใจดีทุกอย่าง เคยผ่านมาหมดแล้ว มันเป็นเพราะใจผมในตอนนั้นก็คงอยากด้วยแหละ เลยตัดสินใจเปิดกระป๋องดื่ม แต่บอกได้เลยครับ ว่าหลังจากนั้นมาอีก ก็ไม่มีเลยที่แอลกอฮลจะผ่านเข้าไปในลำคอผม
พอดีมีเหตุการณ์เมื่อคืน เลยทำให้ฉุกคิดและอยากมาชวนคุยครับ เมื่อคืนไปทานข้าวที่ผับกับเพื่อนๆ พี่ๆ เขาก็ดื่มกันแหละครับ ผมนี่ก็น้ำเปล่าเหยือกนึง ดื่มแก้เขิลจนจุก ฮ่าๆ เห็นเค้าดื่มกันน่าสนุก เราก็อยากหาอะไรดื่มมั่งแหละ นอกจากนั่งเฉยๆ เลยไปลงที่น้ำเปล่า พี่ก็พี่กลุ่มเดิม คนเดิมที่เคยให้เราดื่มเมื่อคราวก่อนนั่นแหละครับ ที่บอกนี่ผมไม่ได้คับแค้นใจอะไรนะครับ อย่าเข้าใจผิด ทุกๆ คนพอเห็นเราไม่ดื่มจริงๆ และเราตั้งใจจริงๆ พิสูจน์มาเป็นระยะเวลาพอประมาณ พี่ๆ ก็รับรู้และเคารพในการตัดสินใจของเราครับ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ผมดื่มหรือไม่ดื่มได้หรอกครับ นอกจากผมจะอยากเอง จริงไหม
พอดีมีงานฉลองวันเกิดเพื่อนที่คลับอีกที่นึง เราก็ตัดสินใจจะแวะไปบอกสุขสันต์วันเกิดซะหน่อย เหมือนเดิมครับ ไม่ได้กะจะดื่มอะไร คงไปสั่งน้ำ น้ำอัดลมดื่ม พอไปถึงพี่เขาก็บอกว่าคืนนี้คืนเดียว ไม่เป็นไรหรอก ผมนี่ขนลุกซู่เลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ ในใจนี่เต้นตุกตักๆ บรรยากาศในนั้น ไหนจะสาวๆ ไหนจะวงดนตรีสดๆ ที่เล่นอยู่ข้างหลังผมไม่ถึงสองก้าว ไหนจะคนในร้านที่พร้อมใจกันลุกขึ้นเต้นทั้งร้าน แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ครับ ได้กระทิงแดงสองป๋องมาดื่มแก้เขิล ถือเดินร่อนทั้งงานเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ
ที่พิมพ์มายาวเฟื้อย ต้องขออภัย แถมเรียบเรียงได้ไม่ดี ผมแค่อยากบอกว่า เออไอ้การไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล โดยเฉพาะกับผู้ชายวัยฉกรรพ์ แถมต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนอก เมืองที่มีการกิมดื่มเป็นธรรมดาอย่างนี้ มันต้องใช้กำลังใจมากเหมือนกัน ว่ามั้ยครับ แต่ทุกครั้งที่เราผ่านมันมาได้ มันจะทำให้กำลังใจเราแข็งแกร่งขึ้นครับ เวลาเรามองย้อนกลับไป เราก็จะสามารถยิ้มเยาะมันได้ครับ ทำหน้าหล่อๆ เหมือนในหนังด้วยนะ
ผมเคารพการตัดสินใจของทุกๆ ท่านครับ บางท่านสะดวกศีลห้า บางท่านสะดวกศีลสี่ข้อ เมื่อก่อนเวลาอาราธนาศีล ผมก็หยุดอยู่ที่ข้อสี่ครับ ใครจะไปต่ออีกข้อก็ไป ฮ่าๆๆ แต่ผมคิดว่าตอนนี้จิตใจของผมน่าจะหนักแน่นพอแล้วที่จะอาราธนาศีลทั้งห้าข้อมาอยู่ในใจ แน่นอนว่าไม่รวมศีลข้ออื่นๆ ที่ด่างพร้อยไปมั่ง
อยากเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังพยายามถือศีลให้ครบทั้งห้าข้อ โดยเฉพาะข้อสุดท้ายอยู่นะครับ หรือจะเป็นเหตุผลทางด้านสุขภาพก็ดี ขอให้จิตใจเข้มแข็งครับ เลื่อนลงไปหากระทู้คำสอนหลวงปู่เหรียญ แล้วเหมือนกับจงใจสอนผมเลยครับ หลวงปู่ท่านบอกว่า อย่ามองข้ามความดีที่ตนได้ทำ ทำดีครั้งนึงก็ให้นึกถึงมันบ่อยๆ จะเป็นการสร้างกำลังใจให้แกร่งขึ้นไปอีก เช่นกันกับเวลาที่เราปฏิเสธไม่ดื่มเหล้าในแต่ละครั้ง ให้คิดถึงพวกมันทุกๆ ครั้ง ครับ เพราะเรามักจะลืมความดีในข้อนี้ ในทางศาสนาพุทธเราการงดเว้นสุรายาเมาก็ถือเป็นการทำกุศลนะครับ อย่ามองข้ามมันครับ
ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เคยร่วมดื่มร่วมเมากันมา ที่เข้าใจในวัตถุประสงค์ของผมที่ตัดสินใจเลิกแอลกอฮอลแบบถาวร และยังไม่รังเกียจที่จะชวนไปสนุกสนานตามผับตามบาร์ นั่งคุยกันเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน ผมอยากบอกว่า บางครั้งการที่เราจะเข้าสังคมได้ ก็อาจไม่ต้องการแอลกอฮอลนะครับ หลายๆ คนที่ไหนๆ ก็ตัดสินใจจะถือศีลข้อนี้ให้ได้ แต่อาจจะมีของดเว้นในบางครั้งที่โดนบีบบังคับ ขอให้ลองตั้งใจว่ายังไงก็ไม่ดูครับ แล้วพยายามอธิบายเหตุผลของเรา แน่นอนครับว่าถ้าเขาเหล่านั้นเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของคุณ เขาจะไม่บังคับ แถมยังพลอยอนุโมทนาบุญด้วยอีกครับ
หวังว่าเรื่องที่พิมพ์มาซะยาว เรียบเรียงก็ไม่ค่อยจะดี จะเป็นกำลังใจให้หลายๆ ท่านนะครับ ใครถือศีลห้า ศีลสี่ ก็แวะเข้ามาคุยกันมั่งนะครับ
ขอบคุณครับ