หนัง3D. กำลังจะถึงจุดถดถอยอีกครั้งแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้. ผมได้อ่านคอลัมน์ในหนังสือรายปักษ์เล่มล่าสุด(entertainmปักษ์แรกของเดือน ). ซึ่งน่าสนใจและดูมีความรู้มากๆ

ในหนังสือกล่าวถึง อนาคตของหนังสามมิติกับปี2014ที่ย่ำแย่........

ทุกๆคนคงยังจำกันได้ว่า ในช่วงปี2005นั้น โรงหนังทั้งฮอลิวูดและบ้านเรานั้นมีหนังที่เป็นระบบปกติแทบจะทั้งหมด และดูจะมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆในด้านเทคนิคและรายได้ตลอดเวลา

จนกระทั่งในปี2009 หนังฟอร์มยักษ์ของผู้กำกับเรือล่ม เจมส์ คาเมรอน. เรื่อง avatar ทุบสถิติหนังรายได้ทั่วโลกสูงที่สุดตลอดกาลในขณะนี้ ด้วยการนำเทคนิค3D ทำหนังสามมิติขึ้นมา เป็นเรื่องหนึ่งๆในรอบหลายปี. ในคราบของเทคโนโลยีรูปโฉมใหม่ล่าสุด

.....จะว่าไป หนัง3มิติก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่. เพราะเกิดมาในตลาดหนังมาร่วมร้อยปีแล้ว. ซึ่งเป็น3dแบบที่เราคุ้นเคยกัน กับแว่นสีแดงน้ำเงินนั่นเอง.
และต่อมาได้เพียงไม่นานก็มีเทคนิค4Dและเทคนิคตระกูลนี้ตามออกมา อย่างไรก็ตาม เฉกเช่นเทคนิคกระแสในรูปแบบอื่นๆที่ต่างก็ซาลงจนหลายสิบปีต่อมา ก็แทบไม่มีหนังสามมิติออกมาเลย....

จนมาถึงอวตาร เปรียบเสมือนหัวสตาร์ท ให้หนังสามมิตินั้น กลายเป็นกระแสขึ้นมาใน6ปีมานี้ นับตั้งแต่ปีที่อวตารเข้าฉาย(2009). เป็นต้นมา

เห็นได้ชัดจากการทีหลายปีมานี้ หนังฟอร์มยักษ์และบลอคบัสเตอร์แทบจะทุกเรื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น ฉายในระบบ3Dด้วยแทบจะทุกเรื่อง. อาจเป็นเพราะจะได้ค่าตั๋วที่แพงขึ้นกระมัง ไม่ว่าจะเป็น malefecent.   The amazing spiderman.  Transformers.   และหนังใหญ่อื่นๆนับร้อยเรื่องที่ฉายในระบบ3dด้วย เช่น กราวิตี้ และ เซิร์ค เดอ เซเลย์ที่เป็น3Dผลงานน่าอัศจรรย์เช่นกัน

แต่ถึงแม้3dจะเก่าจะใหม่ยังไง มันคงสร้างความตื่นเต้นและสมจริงมากกว่าระบบปกติเป็นแน่....ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว............
ในคอลลัมน์ได้กล่าวถึงผลงานวิจัยจากอเมริการถึงผลของเทคนิค3Dที่มีผลต่ออารมณ์ตอบสนองของคนดู. ซึ่ผลก็ปรากฎมาว่า หนังสามมิติไม่ได้ช่วยให้คนดูมีผลการตอบสนองในทางเทคนิคแตกต่างไปจากระบบปกติเลย....ว่าง่ายๆก็คือ คนดูเองก็ไม่รู้สึกว่าสามมิติทำให้หนังแตกต่างกับปกติแต่ประการใด

แต่ถึงจะมีอยู่บ้างก็ตาม 3Dก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปชอบอยู่แล้วในปัจจุบัน เพราะเราก็มีเทคนิคอื่นๆที่ใหม่กว่า3มิติมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะ ไอแมกซ์ dolby atmos. หรือแม้แต่4dx.

ทำให้ตั้งแต่ปี2009ที่มีคนชมหนัง3มิติเกิน50%ของคนดู ถดถอยความนิยมลงเรื่อยๆจนในปัจตุบัน มีคนชมหนัง3มิติเพียงประมาณ30%ของคนดู และแต่ละเรื่องก็ไม่ได้ทำรายได้เปรี้ยงปร้างในระดับพอๆกับAvatarเลย

ด้วยสถานการณ์แบบนี้ผู้สร้างหนังและบรรดาค่าย รวมถึงโรงภาพยนตร์. คงต้องหาเทคนิคใหม่มามอมเมาคนดูอย่างเราๆเพิ่มอีกเป็นแน่เป็นแท้ล่ะครับ ซึ่งเราก็ต้องลุ้นกันว่า ฮอลลิวูดจะมีอะไรให้เราได้อึ้งกันอีก. แต่ที่ผมเดาไว้. คงอีกไม่ถึง4ปีหรอก ที่เราจะโบกมือบ๊ายบายหนัง3มิติกันอีกครั้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่