สืบเนื่องมาจาก การอ่านกระทู้ในพันทิปนี่แหละครับ และตัวเองได้ไปดูมาแล้ว จึงลองสรุปสาเหตุความแตกต่างของสองกระแส ที่ทั้งชอบและไม่ชอบ
เอากลุ่มไม่ชอบก่อน พอจะแบ่งได้ดังนี้
1 กลุ่มที่มองว่าไม่มันส์ระเบิดเทิดเทิง ระเบิดตูมตาม สไตล์อามาเก็ดดอน
กลุ่มนี้เข้าใจได้ไม่ยาก - -" เลยขอข้ามไป
2 กลุ่มแฟนคลับงานเก่าของโนแลน
จริงๆ หนังของโนแลนทำไว้หลากหลายนะครับ แต่เท่าที่อ่านจะเป็นกลุ่มที่เคยประทับใจกับ Inception มากๆ และหวังว่า interstellar จะมี "วิธีเล่าเรื่อง" ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ขนาดนั้น และมี "ประเด็น"ของเรื่องที่ลงลึกไปในทางจิตวิทยาหนักๆ
แต่ interstellar กลับมีวิธีเล่าเรื่องที่ไม่ได้ซับซ้อนขนาด Inception และไม่ได้เล่นประเด็นทางจิตวิทยาแบบ Inception (หรือกระทั่ง TDK)
interstellar มีวิธีเล่าเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ตัวปริศนาก็ไม่ได้เน้นปมทางจิตวิทยาแต่ตัว "ปริศนา" กลับเป็น ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ (ว่าด้วย จินตนาการถึง มิติที่ 4-5)
แฟนกลุ่มนี้ จึงมองความซับซ้อนที่ "น้อยลง" ใน "วิธีเล่าเรื่อง" เป็นข้อด้อย เหมือนบทมัน "อ่อนลง" ซึ่งผมออกจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ บทหนังที่ดีไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องพิสดารมากๆ ก็ได้
กลับกันการพยายามเล่าประเด็นยากๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น ต่างหากที่เป็น "จุดแข็ง" ของบทหนังเรื่องนี้
***********************************************
กลุ่มที่ชอบ
1 กลุ่มแฟนหนังทั่วไป
บทเรื่องนี้ดีพอ ที่จะทำให้แฟนหนังทั่วไป (ที่ไม่ได้คาดหวังว่าหนังจะต้องมีวิธี "เล่าเรื่อง" ที่ซับซ้อนหักมุมแล้วหักมุมอีก) ประทับใจได้เลยครับ และอย่างที่บอกไปแล้ว บทหนังที่ดี กับบทหนังที่มีวิธีเล่าเรื่องซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกันเสมอไป
2 กลุ่มแฟน ไซไฟฮาร์ดคอร์
นับจาก 2001 space odyssey มา ไม่เคยมีหนังไซไฟเรื่องไหน ที่ระดม "แปลงทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ให้กลายมาเป็นภาพบนจอ" ได้อย่างระห่ำขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น
- การสร้างแรงโน้มถ่วงจำลองในยาน (เคยมีฉากนี้ใน 2001 space odyssey)
-ทฤษฏีรูหนอน (contact เคยทำ แต่ก็จบไว้ที่ทะลุกันแว้บๆ แล้วกลับมาที่เดิม ใครที่เคยดู contact แล้วเคย คาใจว่า โอยยยย อยากรู้ต่อ ว่ารูหนอนแล้วไงต่อฟระ เรื่องนี้คง "เติมเต็มจินตนาการ" ส่วนที่เหลือได้มากครับ)
-ทฤษฎีสัมพันธภาพ เรื่องเวลา ในกาลอวกาศที่แตกต่างกัน
- หลุมดำ ซิงกูราลิตี้ (ผมนึกไม่ออกว่ามีหนังเรื่องไหน พาเราไปสำรวจหลุมดำแบบจะจะแบบเรื่องนี้เลย)
ฯลฯ
คือไม่ใช่ว่า หนังไซไฟเรื่องอื่นๆ ไม่เคยทำ แต่ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ระดมแปลงทฤษฏีเหล่านี้เข้ามาในหนังอย่างต่อเนื่อง และ "เข้าใจง่าย" กว่า "ดูบันเทิงกว่า" 2001 space odyssey
**********************************
ประเด็นสุดท้ายอันนี้แถมหน่อย ฉากจบ ผมไพล่นึกถึง 2001 space odyssey มาก ๆ นักบินในเรื่อง 2001 space odyssey ตอนจบ ก็ได้เจอกับสภาวะ ของ มิติที่เหนือกว่า 3D อย่างน้อยก็ 4D จนเห็นภาวะ คนๆ หนึ่ง ตั้งแต่เด็ก หนุ่ม แก่ แล้วกลับมาเด็กอีก ต่อหน้าต่อหน้าในชั่วขณะ
เป็นตอนจบที่ใครไม่เคยมีความเข้าใจเรื่อง 4D อาจจะชวนงง (และเขาว่ากันว่าเป็นตอนจบของหนังที่ชวนงงมากจนถึงทุกวันนี้) ว่าสิ่งที่พระเอกในเรื่อง 2001 space odyssey เจอนั้นมันคือ ประสบการณ์อะไรกันแน่
กลับมาที่ interstellar ตอนจบก็เล่น ประเด็น มิติที่เหนือกว่า 3D นั่นคือ 4D และ 5D แต่ผมเชื่อว่า interstellar กลับมีวิธีปูพื้นและทำความเข้าใจแก่ผู้ชมในเรื่องนี้ ให้เข้าใจได้ง่ายกว่า เข้าถึงได้มากกว่า 2001 space odyssey
สำหรับประเด็นนี้ นานาจิตตังครับ บางคนชอบอะไรที่เป็นปริศนาไปเลยแบบ 2001 space odyssey ในขณะที่ interstellar มีความเคลียร์ในประเด็น แล้วทำให้มันเป็นรูปธรรมมากกว่า (นั่นคือการสร้างเหตุการณ์ "ผีในห้องหนังสือ" เพื่อเป็นรูปธรรมให้เราเข้าใจเรื่องการสื่อสารระหว่างมิติ / ความแตกต่างของมิติที่เหนือกว่าได้ง่ายขึ้น //// )
ส่วนตัวผมชอบทั้งสองแบบ (คือปริศนาก็ชอบ แต่ใจนึงเราก็อยากเห็นเรื่องนี้เป็นรูปธรรมมากขึ้นและเคลียร์มากขึ้นเพื่อ "เติมเต็มจินตนาการ") และดีใจ ที่มีหนังสองเรื่อง สองสไตล์ ที่จับประเด็นนี้คล้ายๆกัน
interstellar กับสองกระแส ผิดหวัง VS ฟินกระจาย สปอยล์
เอากลุ่มไม่ชอบก่อน พอจะแบ่งได้ดังนี้
1 กลุ่มที่มองว่าไม่มันส์ระเบิดเทิดเทิง ระเบิดตูมตาม สไตล์อามาเก็ดดอน
กลุ่มนี้เข้าใจได้ไม่ยาก - -" เลยขอข้ามไป
2 กลุ่มแฟนคลับงานเก่าของโนแลน
จริงๆ หนังของโนแลนทำไว้หลากหลายนะครับ แต่เท่าที่อ่านจะเป็นกลุ่มที่เคยประทับใจกับ Inception มากๆ และหวังว่า interstellar จะมี "วิธีเล่าเรื่อง" ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ขนาดนั้น และมี "ประเด็น"ของเรื่องที่ลงลึกไปในทางจิตวิทยาหนักๆ
แต่ interstellar กลับมีวิธีเล่าเรื่องที่ไม่ได้ซับซ้อนขนาด Inception และไม่ได้เล่นประเด็นทางจิตวิทยาแบบ Inception (หรือกระทั่ง TDK)
interstellar มีวิธีเล่าเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ตัวปริศนาก็ไม่ได้เน้นปมทางจิตวิทยาแต่ตัว "ปริศนา" กลับเป็น ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ (ว่าด้วย จินตนาการถึง มิติที่ 4-5)
แฟนกลุ่มนี้ จึงมองความซับซ้อนที่ "น้อยลง" ใน "วิธีเล่าเรื่อง" เป็นข้อด้อย เหมือนบทมัน "อ่อนลง" ซึ่งผมออกจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ บทหนังที่ดีไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องพิสดารมากๆ ก็ได้
กลับกันการพยายามเล่าประเด็นยากๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น ต่างหากที่เป็น "จุดแข็ง" ของบทหนังเรื่องนี้
***********************************************
กลุ่มที่ชอบ
1 กลุ่มแฟนหนังทั่วไป
บทเรื่องนี้ดีพอ ที่จะทำให้แฟนหนังทั่วไป (ที่ไม่ได้คาดหวังว่าหนังจะต้องมีวิธี "เล่าเรื่อง" ที่ซับซ้อนหักมุมแล้วหักมุมอีก) ประทับใจได้เลยครับ และอย่างที่บอกไปแล้ว บทหนังที่ดี กับบทหนังที่มีวิธีเล่าเรื่องซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกันเสมอไป
2 กลุ่มแฟน ไซไฟฮาร์ดคอร์
นับจาก 2001 space odyssey มา ไม่เคยมีหนังไซไฟเรื่องไหน ที่ระดม "แปลงทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ให้กลายมาเป็นภาพบนจอ" ได้อย่างระห่ำขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น
- การสร้างแรงโน้มถ่วงจำลองในยาน (เคยมีฉากนี้ใน 2001 space odyssey)
-ทฤษฏีรูหนอน (contact เคยทำ แต่ก็จบไว้ที่ทะลุกันแว้บๆ แล้วกลับมาที่เดิม ใครที่เคยดู contact แล้วเคย คาใจว่า โอยยยย อยากรู้ต่อ ว่ารูหนอนแล้วไงต่อฟระ เรื่องนี้คง "เติมเต็มจินตนาการ" ส่วนที่เหลือได้มากครับ)
-ทฤษฎีสัมพันธภาพ เรื่องเวลา ในกาลอวกาศที่แตกต่างกัน
- หลุมดำ ซิงกูราลิตี้ (ผมนึกไม่ออกว่ามีหนังเรื่องไหน พาเราไปสำรวจหลุมดำแบบจะจะแบบเรื่องนี้เลย)
ฯลฯ
คือไม่ใช่ว่า หนังไซไฟเรื่องอื่นๆ ไม่เคยทำ แต่ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ระดมแปลงทฤษฏีเหล่านี้เข้ามาในหนังอย่างต่อเนื่อง และ "เข้าใจง่าย" กว่า "ดูบันเทิงกว่า" 2001 space odyssey
**********************************
ประเด็นสุดท้ายอันนี้แถมหน่อย ฉากจบ ผมไพล่นึกถึง 2001 space odyssey มาก ๆ นักบินในเรื่อง 2001 space odyssey ตอนจบ ก็ได้เจอกับสภาวะ ของ มิติที่เหนือกว่า 3D อย่างน้อยก็ 4D จนเห็นภาวะ คนๆ หนึ่ง ตั้งแต่เด็ก หนุ่ม แก่ แล้วกลับมาเด็กอีก ต่อหน้าต่อหน้าในชั่วขณะ
เป็นตอนจบที่ใครไม่เคยมีความเข้าใจเรื่อง 4D อาจจะชวนงง (และเขาว่ากันว่าเป็นตอนจบของหนังที่ชวนงงมากจนถึงทุกวันนี้) ว่าสิ่งที่พระเอกในเรื่อง 2001 space odyssey เจอนั้นมันคือ ประสบการณ์อะไรกันแน่
กลับมาที่ interstellar ตอนจบก็เล่น ประเด็น มิติที่เหนือกว่า 3D นั่นคือ 4D และ 5D แต่ผมเชื่อว่า interstellar กลับมีวิธีปูพื้นและทำความเข้าใจแก่ผู้ชมในเรื่องนี้ ให้เข้าใจได้ง่ายกว่า เข้าถึงได้มากกว่า 2001 space odyssey
สำหรับประเด็นนี้ นานาจิตตังครับ บางคนชอบอะไรที่เป็นปริศนาไปเลยแบบ 2001 space odyssey ในขณะที่ interstellar มีความเคลียร์ในประเด็น แล้วทำให้มันเป็นรูปธรรมมากกว่า (นั่นคือการสร้างเหตุการณ์ "ผีในห้องหนังสือ" เพื่อเป็นรูปธรรมให้เราเข้าใจเรื่องการสื่อสารระหว่างมิติ / ความแตกต่างของมิติที่เหนือกว่าได้ง่ายขึ้น //// )
ส่วนตัวผมชอบทั้งสองแบบ (คือปริศนาก็ชอบ แต่ใจนึงเราก็อยากเห็นเรื่องนี้เป็นรูปธรรมมากขึ้นและเคลียร์มากขึ้นเพื่อ "เติมเต็มจินตนาการ") และดีใจ ที่มีหนังสองเรื่อง สองสไตล์ ที่จับประเด็นนี้คล้ายๆกัน