INWHITE: ละครนิเทศ 57 (REVIEW? + เชิญชวนไปดูผลงานน้อง ๆ กัน)

มีโอกาสได้ไปชมผลงานละครเวทีประจำปี 2557 INWHITE ของน้อง ๆ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เก็บมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ และติชมตามประสาคนดูบ้าน ๆ ไม่มีพื้นฐานการละคร พี่อยากเขียนในใบสำรวจความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ดูแต่ไม่ทันเลยมาขอเขียนไว้ตรงนี้ เป็นการช่วยโปรโมทไปในตัวนะจ๊า

เพื่อน ๆ ที่ยังไม่มี Program กิจกรรมสุดสัปดาห์นี้ INWHITE ยังมีรอบการแสดงอีก 5 รอบในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์นี้ (7 – 9 พ.ย.) ที่สกาล่า ราคาตั๋วไม่เกินสามร้อยบาท มาสนับสนุนกิจกรรมดี ๆ ของนิสิตกันจ้ะ

http://nitadechula.net/lakorn/2557/

เรื่องย่อ

ขาวดี (อ่านว่า ขา-วะ-ดี) เป็นเมืองที่ปลูกฝังให้ประชาชนเชื่อว่าสีขาวนั้นคือตัวแทนแห่งความสุข กำลังจะมีงานแต่งของนายกเทศมนตรีคนสวย ซึ่งต้องใช้ผ้าขาวที่สุดเป็นชุดแต่งงาน แต่เครื่องผลิตผงซักฟอกเกิดระเบิดขึ้นมาเสียก่อน โฮปช่างซักผ้าและนิดาเลขานายก จึงต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภายใน 2 สัปดาห์ ก่อนเมืองขาวดีจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

INWHITE เป็นละครหวังดีต่อสังคม หยิบยกประเด็นร้อนจากปีก่อนในเรื่องการแบ่งเสื้อสีต่าง ๆ ในสังคมบ้านเรา มาสะท้อนผ่านเมืองขาวดี ซึ่งทางออกในการยุติปัญหาความขัดแย้งคือการบังคับใส่เสื้อขาว อยู่ในเมืองสีขาวเพื่อลดความแตกต่าง ฟังเนื้อหาอาจดูหนักกว่า Musical Comedy แบบที่ละครนิเทศมักนำเสนอ แต่ก็เป็น Musical Play ที่แทรกความสนุกจุ๊กจิ๊ก อาจไม่ขำกลิ้งแต่คิดว่า Goal ของน้อง ๆ น่าจะให้คนดูคิดถึงคำตอบของการอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขในสังคมมากกว่าเอาความฮาเป็นตัวตั้ง



ด้วยความที่ Plot ดูหนัก โจทย์ยากที่ทีมบทต้องตีให้แตกคือทำอย่างไรให้สนุก ภาระหนักจึงไปตกอยู่ที่ comic relief คือ จักรกะรีน เพื่อนพระเอกและแก๊งสุขสกาว Intern ท่านนายก ซึ่งน้อง ๆ ทั้ง 4 ทำหน้าที่ได้ดีเป็นสีสันที่ละครต้องการ ฉากเพลงที่พี่ให้เป็น Hilight เลยคือฉาก เอาผ้ามาสะบัดกัน ที่ตัดสลับระหว่างการทดลองสูตรผงซักฟอกของโฮปและนิดา กับการซักผ้าของจักร ที่ทำให้ Energy ของละครพุ่งขึ้นมาได้ (“ให้มันเป็นสีชมพู” ฮากันทั้งโรงจ้ะ) พี่ว่า INWHITE ต้องการฉาก Energy สูงแบบนี้อีก ภาพรวมของละครจะบันเทิงและ “เบา” ขึ้น

น้อง ๆ ทีมสุขสกาวทั้งสามคนโดดเด่นเป็นพิเศษเวลาทำอะไรที่ไม่คาดฝัน เช่นฉากรายงานข่าว/ช่วงนี้ชี้แนะ และ “ขี้โม้” การประสานเสียงของน้อง ๆ เป็น recurring gag ที่น่ารักและจะขำได้อีก พี่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก เหมือนถ้าต่อยมวยหมัดก็ต้องคมกริบอีกนิส อะไรทำนองนั้น (งงดิ) คือพี่ว่าคนดูอาจจะฟังน้องไม่ทันหรือไม่ชัดในบางที พี่ชอบ Idea การให้น้องออกมาจากรูปภาพแต่แนะนำว่าทางทีม visual จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้ชัดเจนว่าสามคนในฉากนี้คือบรรพบุรุษนะ แล้วอาจจะ link 2 generation ด้วย line สั้น ๆ ที่บอกว่าพวกนางคือลูกหลานคนก่อตั้งเมือง เสียดสีสังคมเด็กเส้นเล่นนามสกุลในไทยได้อีก 1 ดอกเบา ๆ ด้วยจ้ะ

อีก 1 ฉากเพลงประทับใจคือการตอบโต้กันของคุณป้ากับคุณปู่ถึงความสำคัญและความหมายของ “สี” เป็นวิธีนำเสนอ Idea ในการมองมุมต่างอย่างแยบยลน่าสนใจ ซึ่ง effective กว่าการพูดสารเดิมซ้ำ ๆ เพราะเรา “get” ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินแล้ว พี่ชอบการใช้สีฉายขึ้นเป็น background ตัดกับความขาวโพลนบนเวทีและเสียงร้องของน้องทั้งสอง (โดยเฉพาะน้องผู้ชายที่เสียงกว้างม้าก) แอบคิดว่าถ้าร้องสดเสียงปรบมือจากคนดูคงกึกก้อง (กว่านี้อีก) เพราะจะรู้สึกอลังการเว่อวังกว่าซิงค์ แต่พี่เข้าใจในข้อจำกัดของการทำละครจ้ะ อันนี้ไม่ใช่ข้อตินะแต่เป็นความหวังเล็ก ๆ

[EDIT: คอนเฟิร์มว่าฉากนี้และอีกหลายฉากในละครเป็นการร้องสดของน้อง ๆ จ้ะ ขออภัยที่ให้ข้อมูลผิดพลาดน้า]



ในส่วนของ Production น้องทำได้ทะลุความคาดหมายไปเลยจ้ะ งานเนี้ยบและเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ พี่อ่านเรื่องย่อแล้วคิดในใจว่า เมืองขาว ชุดขาว มันจะออกมาจืดมั้ย แต่ฝ่ายเสื้อผ้าทำออกมาได้มีสีสัน ด้วยรูปแบบโครงเสื้อแบบ Futuristic และการจับเดรปหลากหลาย สุดจะ Minimal Chic ส่วนของฉากประทับใจโรงงานซักผ้าเป็นพิเศษด้วยขนาดและรายละเอียดของลูกเล่นที่น้องใส่มา พี่คิดว่าอาจจะเพิ่มความตื่นตาได้อีกหน่อย เช่นการปล่อยฟองลูกโป่งออกมาจำนวนมากในจังหวะที่เครื่องพังหรือประกอบการเต้นรำในฉากจบ มันคงดูฟรุ้งฟริ้งดี

น้อง ๆ Ensemble ก็เต้นรำสวยงามตลอดเรื่องจ้ะ พี่อยากเห็น Choreography ที่ Elaborate กว่านี้ในฉากแย่งชิงผงซักฟอกกลางเมือง ซึ่งจะช่วย Hilight ความสามารถของน้อง ๆ ทีมเต้นและเป็นฉากขายได้อีกฉากนึงเลย พี่นึกภาพคนเป็นสิบแย่งของชิ้นเดียวกันไปมาด้วยท่วงท่าที่วิจิตรแบบ Contemporary Dance มันเด็ดอ่ะ!

การพลิกเกมก่อนจบ Act 1 ให้มีความรู้สึกแบบ Detective Mystery ทำให้เรื่องน่าติดตามขึ้นมาก จริง ๆ ตรงนี้ถ้าให้ตัวละครหลักทั้งสอง (หรือสามรวมจักรกะรีน) ได้รับบทนักสืบลับ ๆ วิเคราะห์ผู้ต้องสงสัยและแรงจูงใจใน Act 2 ซักหน่อยก็คงจะสนุกดี (พี่นึกถึงสามตัวละครหลักใน Harry Potter เวลาออกผจญภัยอะไรทำนองนั้นเลย) ส่วนที่พี่รู้สึกว่าเยอะไปคือฉากเถียงกันอุตลุดในครึ่งหลัง เกินความจำเป็นจ้ะ

ปิดท้ายด้วยคำถามและความหวังที่มีต่อละครนิเทศครั้งต่อไปนะ เราจำเป็นมั้ยที่จะให้โฟกัสหลักของเรื่องมาอยู่ที่ตัวละครผู้ชายห่วย ๆ (เค้าเขียนแบบนี้จริง ๆ พี่ไม่ได้หมายถึงน้องที่เล่นน้า) กับตัวละครหญิงแข็งนอกนุ่มในสอดใส้ด้วย quirk ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนจบคนทั้งสองต้อง...รักกัน พี่ว่ามันออกจะเป็น Cliché (ปิ๊กกะแอน ละครนิเทศ 56 ก็มาสูตรนี้เลย) สนับสนุนให้ลองเล่าเรื่องราวของตัวละครสดใหม่ ไม่ต้องจบด้วยความรักเสมอ พี่เชื่อว่าน้อง ๆ ทำได้ จะต้องออกมาสนุกและน่าสนใจมาก ๆ ด้วยจ้ะ

กรี๊ดดดดดดด ยาวไป๊! แต่เห็นน้องตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานพี่ก็ตั้งใจให้ feedback จ้ะ น้อง ๆ นิเทศคนไหนหลงมาอ่านเจอ จะส่งต่อให้เพื่อน ๆ ด้วยก็ได้น้า เก่งมากจ้าทุกคน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่