ทุกฤดูหนาว...มีความทรงจำ
รอยกระทง
มิ้นต์หลงรักเดือนพฤศจิกายน
...เพราะเป็นเดือนแรกของฤดูหนาวที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษ และก็เพราะเดือนที่มีเทศกาลลอยกระทง...ซึ่งเธอเฝ้ารอคอยให้เวียนมาถึงเร็วๆ ในแต่ละปี
อันที่จริง เธอไม่ได้อยากจะขอขมาพระแม่คงคา ไม่ได้รู้สึกผิดต่อการใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง ไม่ได้อยากสืบสานประเพณีที่ดีงามของชาติ แต่เพราะที่มหาวิทยาลัยของเธอก็มีตำนานเล่าขาน ว่าหากใครที่มีใจให้แก่กันมาลอยกระทงด้วยกัน ทั้งสองจะได้คบกันในที่สุด
ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ ในเมื่อคนมันจีบกันอยู่ อย่างไรก็คงไม่พ้นลงเอยอยู่แล้ว แม้จะคิดได้เช่นนี้ แต่มิ้นต์ก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่เดือนพฤศจิกายนย่างกรายเข้ามา ในเมื่อเธอมีใจให้กับรุ่นพี่คนหนึ่งในคณะ และก็ได้แต่หา ‘โอกาส’ เหมาะๆ ที่จะได้เข้าไปใกล้ชิด คงไม่มีอะไรเหมาะไปมากกว่าเทศกาลแรกในฤดูหนาวเทศกาลนี้
ถ้าปาฏิหาริย์สักข้อมีจริง มิ้นต์...ผู้มักจะได้เกรดบีและซีมาประดับทรานสคริปต์จะไม่วิงวอนขอเกรดเอ
ทว่าเธอจะขอ...ให้ปีนี้เธอได้ลอยกระทงกับเขาเสียที หลังจากที่ได้แต่แอบมองเขามาเกือบสามปีเต็ม
เมื่อใดก็ตามที่เทศกาลลอยกระทงใกล้เข้ามา เสียงกลอง เสียงตะโกนโหวกเหวกเจือไปกับเสียงหัวเราะจะดังอยู่ในช่วงเย็นจนถึงดึกของทุกๆ วันนับสัปดาห์ก่อนวันงานจริง นิสิตหน้าตาสะสวยมักจะออกมาซ้อมรำกันอยู่ลานข้างคณะของตน ถ้าสวยหน่อยก็ต้องซ้อมขึ้นเสลี่ยง แล้วอยู่บนนั้นในฐานะนางนพมาศ ในขณะที่นิสิตผู้มีทักษะการประดิดประดอยก็มักจะมานั่งรวมตัวกันเพื่อรังสรรค์กระทงเพื่อชิงชัยรางวัลกระทงแห่งปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นศักดิ์ศรีครั้งยิ่งใหญ่...พอๆ กับการแข่งกีฬาสีสมัยมัธยมทีเดียว
และเมื่อวันจริงมาถึง ความตื่นเต้นและสนุกสนานก็จะสยายปีกกว้างปกคลุมทั่วทั้งมหาวิทยาลัย นิสิตในวันนี้จะไม่ใช่แค่นิสิตที่เอาแต่เรียน ทว่าจะได้เป็นทั้งคนขายของ คนซื้อของ เป็นนางรำ เป็นคนแบ่งเสลี่ยง หรือแม้กระทั่งกรรมการตัดสิน ประหนึ่งย่อโลกภายนอกใบใหญ่ให้เล็กลง...อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
มิ้นต์ไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น เธอแค่อยากจะลอยกระทงกับพี่ธี
วันลอยกระทงปีนี้ไม่เหมือนทุกปี ในเมื่อเพื่อนของเธอกลับไปกันหมดแล้วเนื่องจากคิดว่าตัวเอง ‘โต’ เกินกว่าจะมาสนุกกับงานลอยกระทงของมหาวิทยาลัย อีกทั้งบ้างก็มีควิซในวันรุ่งขึ้น ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือ บ้างก็บอกว่ายุ่งกับเรื่องหางาน ขอกลับบ้านไปเขียนซีวีเพื่อยื่นสมัครกับองค์กรยักษ์ใหญ่ต่างๆ บ้างก็ได้งานแล้วหลังจากฝึกงานเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา และเซ็นสัญญาแล้วว่าเรียนจบจะเริ่มงานทันทีโดยได้แต่กังวลล่วงหน้าว่าชีวิตต่อจากนี้จะเหนื่อยอีกสักเท่าไหนกันเชียว
ใครว่าวัยรุ่นเป็นวันหัวเลี้ยวหัวต่อ มิ้นต์อยากเถียงเหลือเกินว่าจริงๆแล้ว คือวัยใกล้เรียนจบต่างหาก เพราะก่อนหน้านี้เธอมีชีวิตประหนึ่งลูกเจี๊ยบอยู่ในไข่ที่ชื่อว่ารั้วการศึกษามานับสิบเจ็ดสิบแปดปี และในวันนี้เปลือกอันอบอุ่นก็เริ่มร้าว เธอก็เห็นว่าเค้าลางแล้วว่าภายนอกมีแต่กองฟางอันหนักอึ้งที่พร้อมหล่นทับเธอในยามที่ไข่แตกโพละ
มิ้นต์ไม่อยากให้เวลานั้นมาถึง...ไม่อยากรับรู้ว่าโลกหลังเรียนจบมันโหดร้ายเพียงใด ในเมื่อทุกวันนี้...ชีวิตเธอก็โหดร้ายมามากพอแล้ว
และเธอก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะอยู่ในโลกแห่งความสุขจากจินตนาการ...หนีจากความเป็นจริงทุกอย่าง และหลอกตัวเองไปวันๆ ว่ายังมีความสุขดี
เพราะไม่มีเพื่อนอยู่ด้วยสักคน มิ้นต์จึงจำต้องเดินคนเดียวเลียบไปริมสระน้ำใหญ่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย นิสิตเบียดเสียดจนยากจะเดินฝ่า ตรงหน้าเธอในยามนี้คือฝูงรุ่นน้องที่กำลังจะเดินสวนไป พวกเธอเหล่านั้นมีรอยยิ้มประดับบนหน้าขณะที่คุยและหัวเราะร่วนไปด้วย จนมิ้นต์เห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเด็กพวกนี้ถึงสดใสขนาดนั้น
แต่จะว่าไป เธอก็เคยเป็นเหมือนกัน
และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร...ที่ความสดใสในวันวานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไฟเย็นไก่จ๋ามั้ยคะพี่”
เสียงของเด็กปีหนึ่งที่เดินมาประชิดปลุกเธอจากภวังค์ มิ้นต์ส่ายหน้าทันที
“ไม่ค่ะ”
เธอเดินเลี่ยงไปอีกทางที่คนน้อยกว่า มีโต๊ะขายกระทงเรียงติดกันอยู่เป็นแนว ในระหว่างที่เดินอยู่นั้น เธอก็เปิดกระเป๋าสะพายของตน แล้วคว้าซองไฟที่ตรงขอบมีรอยยับยุ่ยแม้จะเก็บเป็นอย่างดีมาตลอดหนึ่งปี
‘แบ่งกับพี่มั้ย พี่ซื้อมาเยอะ’
ธียื่นไฟเย็นให้ หลังจากที่จุดของตัวเองแล้วถือไว้ในมือเมื่อวันลอยกระทงปีที่แล้ว
‘ขอบคุณมากๆ นะคะ’ มิ้นต์ยิ้มรับ นอกจากจะดีใจที่ได้ไฟเย็นแล้ว ยังดีใจที่ได้แตะมือเขานิดๆหน่อยๆ ให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ
แม้งานลอยกระทงปีที่แล้วจะไม่ได้ลอยด้วยกัน แต่อย่างน้อยเธอก็ได้ (ทำเป็น) บังเอิญเข้าใกล้เขาซึ่งอยู่กับเพื่อนทั้งกลุ่มแล้ว
มิ้นต์ไม่เคยลืมวันที่ได้พบกับธีในตอนรับน้องคณะ ไม่เคยลืมวินาทีที่ได้เห็นรุ่นพี่หน้าตาหล่อปานกลาง หากยิ้มแล้วมีเสน่ห์จับใจ...โดนคำสั่งให้เต้นเมียงูคู่กับเพื่อนสาวไม่แท้ เล่นเอารุ่นน้องกรี๊ดเพราะเสียวไส้แทนเขา...เธอเองก็เช่นกันที่ทั้งกรี๊ดและขำสีหน้าหวาดๆ ท่าทางหวงตัวของเขาตอนเต้นเมียงู
แต่นั่นไม่ใช่จุดที่ทำให้เธอหลงรักเขาหรอก จุดเริ่มต้นของมันมาจากความมีน้ำใจหลังจากที่เขาเอาชีตวิชาต่างๆ มาให้น้องรหัสผู้เป็นเพื่อนสนิทเธอเอง ในขณะที่เธอได้แต่มองด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะพี่รหัสแท้ๆ ของตนดันซิ่วไปเรียนคณะอื่น
พอรู้ว่าเธอเป็นน้องใครเท่านั้นละ เขาก็บอกทันทีว่าเดี๋ยวพี่ซีร็อกซ์เผื่อน้องมิ้นต์ น้องปีหนึ่งไร้พี่รหัสอย่างเธอถึงได้รู้สึกว่าเขาหล่อเหลือเกิน
ชีตที่ได้จากธีไม่ได้ดีเด่อะไรมาก ลายมือก็หวัด แถมตัวยังเล็ก มายด์แม็ปปิ้งก็ไม่ได้เป็นระเบียบ แต่ถึงอย่างนั้น มิ้นต์ก็อ่านจนจำขึ้นใจ เธอจำได้ว่าวิชานั้นเป็นวิชาแรกและวิชาเดียวที่เธอได้ท็อปห้อง เนื่องจากอ่านชีตซ้ำหลายรอบ ไม่ใช่เพราะขยัน แต่อยากเก็บรายละเอียดของลายมือเขา...เผื่อจะได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้นผ่านลายมือที่เขาทิ้งไว้
‘ถ้ามิ้นต์มีตรงไหนสงสัยอีกก็ถามได้เสมอนะ’
ในวันที่เขาเอาชีตมาให้เพื่อนเธอและเผื่อตัวแถมอย่างเธอด้วย ธีถามขึ้นอย่างใจดีเช่นเคยโดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนตกบ่วงรอยยิ้มของเขาเสียแล้ว
‘แล้วถ้ามิ้นต์สงสัยที่บ้านล่ะ’ เธอถาม...เพราะหวังหมายเลขโทรศัพท์
‘เอาเอ็มพี่ไปมั้ยล่ะ’
ในตอนนั้นคนไทยยังไม่รู้จักว่าไลน์คืออะไร เอ็มเอสเอ็นคือช่องทางการสื่อสารที่สะดวกสุดรองจากการโทร.หากัน แม้จะไม่ได้หมายเลขมา แต่มิ้นต์ก็อุ่นใจแล้วเพราะรู้ดีว่าจะให้โทร.หาเขาก็จะดูกล้าหาญชาญชัยไปเสียหน่อย กลัวว่าความรัก...จะหลุดออกมาตามกระแสเสียงที่ส่งผ่านสายโทรศัพท์ไป ใช้เอ็นเอสเอ็นปลอดภัยต่อหัวใจของเธอมากกว่าหลายเท่าทีเดียว
และเมื่อใดที่เขาออนเอ็ม เธอก็จะแกล้งออฟไลน์ แล้วตั้งให้ออนไลน์ใหม่อีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้เห็นหน้าต่างที่ป็อบอัพตรงมุมขวาล่างของหน้าจอ ก่อนจะหาจุดที่ตนไม่สงสัย แต่อยากเอามาถาม แล้วกดชื่อของเขาเพื่อเริ่มการสนทนา
เมื่อคิดได้เท่านั้น มิ้นต์ก็เผลอยิ้ม ตอนนี้เธออยู่หน้าโต๊ะขายกระทง ข้างๆ เธอมีนิสิตชายที่ถ่ายรูปกระทงก่อนจะส่งภาพไปทางไลน์ แล้วสติ๊กเกอร์ไลน์ตามไป
จะเลือกกระทงให้แฟน ก็ยังส่งรูปไปถามทางไลน์
มิ้นต์แอบคิด ก่อนจะหยิบกระทงที่สวยที่สุดในสายตาตนตอนนี้โดยไม่ถามความเห็นใครทั้งสิ้น เดินไปเลียบสระน้ำ ย่อตัวนั่งยอง แล้วขยับลงตามร่องหินชันแนวสระอย่างระวัง ข้างๆ เธอตอนนี้มีเด็กหนุ่มและเด็กสาวปีหนึ่ง ดูท่าว่าน่าจะเพิ่งจีบกันใหม่ๆ หลังจากเข้ามาเรียนได้หนึ่งเทอมตามการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาเปิดปิดเทอมให้สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียน
ทั้งสองจุดไฟแช็ก หยอกล้อกันเล็กน้อย ยกกระทงด้วยกันพร้อมพนมมือ อธิษฐานเล็กน้อยแบบที่มิ้นต์เดาได้ว่าคงจะขอเรื่องความรัก แล้วปล่อยออกไปบนเวิ้งนทีที่มีกระทงนับร้อยลอยอยู่แล้ว
เด็กทั้งสองหัวเราะอย่างมีความสุข ราวโลกนี้ไม่มีคำว่า ‘ทุกข์’ มิ้นต์ยังถือกระทงในมือนิ่ง เหลือบมองรองเท้าหนังแท้สีขาวที่เด็กผู้หญิงคนนั้นสวมอยู่ รองเท้าของเธอมีสีหมองๆ ตุ่นๆ แถมยังมีรอยเปรอะเปื้อนไปทั่ว
ต่อจากนี้...รองเท้าคู่นี้ก็คงเปรอะเรื่อยๆ ตามวันเวลา ราวกับจะฝากฝังประสบการณ์ในชีวิต
ทั้งดี...และร้าย
หนึ่งทุ่มแล้ว อากาศร้อนอบอ้าวไม่สมกับเป็นต้นฤดูหนาว ขบวนแห่นางนพมาศจากคณะต่างๆ ทยอยลงสู่สนามพร้อมเสียงกลองอึกทึกครึกโครม หลายคนรีบลอยกระทงแล้วเดินไปดูขบวน ทว่าใครอีกหลายคนยังลอยกระทงอยู่อย่างไม่สนใจ มิ้นต์ชะเง้อเล็กน้อย ก็ได้เห็นขบวนของนางรำสี่ภาคที่ตอนนี้เป็นหมอลำกำลังเซิ้งอย่างสนุกสนาน
มิ้นต์จำได้ว่าปีก่อนธีมายืนดูขบวนแห่
ส่วนเธอก็ยืนดูเขาอีกที
‘สาวอักษรปีนี้แม่Jสวยอีกแล้ว’
มิ้นต์เบ้หน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น อยากจะเถียงเหลือเกินว่าถ้าเอาเธอไปแต่งดีๆ เสียหน่อย ก็จะ ‘แม่Jสวย’ ดังที่เขาว่า
ธีไม่มีแฟนตลอดเวลาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และมิ้นต์เองก็ไม่ได้ถามว่าทำไมไม่มี เรื่องส่วนใหญ่ที่คุยกันเวลาเจอก็คือการบ่นเรื่องเรียนกับถามว่ากินข้าวแล้วหรือยัง กลับบ้านกี่โมง ก็แค่นั้น มิ้นต์ไม่แน่ใจนักว่าเธอหลงรักเขาเพราะหน้าตาหรือนิสัย แต่ที่แน่ๆ เธอหลงรักสายตาของเขายามเขามองเธอ แม้จะเป็นแววตาอบอุ่นและปรารถนาดีแบบรุ่นพี่มีให้รุ่นน้อง แต่เธอก็หวังว่าในอนาคตจะเป็นดวงตาคู่เดียวกับพ่อของลูกเธอ
แต่น่าเศร้า...ที่เธอไม่กล้าพอที่จะรุก
ดังนั้น นอกจากเรื่องเรียน เรื่องที่อยู่ (ซึ่งเธอสืบเอาเอง) รหัสนิสิต เลขบัตรประชาชน และกรุ๊ปเลือดแล้ว เธอไม่รู้รสนิยมของเขา ไม่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร ชอบดูหนังหรือชอบฟังเพลง ชอบเล่นดอตเอหรือชอบดูบอล
ทั้งๆ ที่โอกาสจะรู้ก็มีอยู่มาก แค่ชวนไปกินข้าวสักครั้งก็จบ
แต่...มิ้นต์ไม่กล้า ด้วยรู้ดีว่าในสายตาเขาแล้ว เธอเป็นแค่รุ่นน้องในคณะคนหนึ่งเท่านั้น
ทว่าถึงอย่างนั้น...เธอก็เชื่อว่าตนจะกล้าพอ ไม่ใช่แค่กล้าชวนไปกินข้าว แต่ต้องกล้า...เปิดเผยความรู้สึกที่ตนมีให้เขารับรู้
...สักวันหนึ่ง...ที่ยังมาไม่ถึง
* รอยกระทง * (เรื่องสั้น)
มิ้นต์หลงรักเดือนพฤศจิกายน
...เพราะเป็นเดือนแรกของฤดูหนาวที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษ และก็เพราะเดือนที่มีเทศกาลลอยกระทง...ซึ่งเธอเฝ้ารอคอยให้เวียนมาถึงเร็วๆ ในแต่ละปี
อันที่จริง เธอไม่ได้อยากจะขอขมาพระแม่คงคา ไม่ได้รู้สึกผิดต่อการใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง ไม่ได้อยากสืบสานประเพณีที่ดีงามของชาติ แต่เพราะที่มหาวิทยาลัยของเธอก็มีตำนานเล่าขาน ว่าหากใครที่มีใจให้แก่กันมาลอยกระทงด้วยกัน ทั้งสองจะได้คบกันในที่สุด
ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ ในเมื่อคนมันจีบกันอยู่ อย่างไรก็คงไม่พ้นลงเอยอยู่แล้ว แม้จะคิดได้เช่นนี้ แต่มิ้นต์ก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่เดือนพฤศจิกายนย่างกรายเข้ามา ในเมื่อเธอมีใจให้กับรุ่นพี่คนหนึ่งในคณะ และก็ได้แต่หา ‘โอกาส’ เหมาะๆ ที่จะได้เข้าไปใกล้ชิด คงไม่มีอะไรเหมาะไปมากกว่าเทศกาลแรกในฤดูหนาวเทศกาลนี้
ถ้าปาฏิหาริย์สักข้อมีจริง มิ้นต์...ผู้มักจะได้เกรดบีและซีมาประดับทรานสคริปต์จะไม่วิงวอนขอเกรดเอ
ทว่าเธอจะขอ...ให้ปีนี้เธอได้ลอยกระทงกับเขาเสียที หลังจากที่ได้แต่แอบมองเขามาเกือบสามปีเต็ม
เมื่อใดก็ตามที่เทศกาลลอยกระทงใกล้เข้ามา เสียงกลอง เสียงตะโกนโหวกเหวกเจือไปกับเสียงหัวเราะจะดังอยู่ในช่วงเย็นจนถึงดึกของทุกๆ วันนับสัปดาห์ก่อนวันงานจริง นิสิตหน้าตาสะสวยมักจะออกมาซ้อมรำกันอยู่ลานข้างคณะของตน ถ้าสวยหน่อยก็ต้องซ้อมขึ้นเสลี่ยง แล้วอยู่บนนั้นในฐานะนางนพมาศ ในขณะที่นิสิตผู้มีทักษะการประดิดประดอยก็มักจะมานั่งรวมตัวกันเพื่อรังสรรค์กระทงเพื่อชิงชัยรางวัลกระทงแห่งปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นศักดิ์ศรีครั้งยิ่งใหญ่...พอๆ กับการแข่งกีฬาสีสมัยมัธยมทีเดียว
และเมื่อวันจริงมาถึง ความตื่นเต้นและสนุกสนานก็จะสยายปีกกว้างปกคลุมทั่วทั้งมหาวิทยาลัย นิสิตในวันนี้จะไม่ใช่แค่นิสิตที่เอาแต่เรียน ทว่าจะได้เป็นทั้งคนขายของ คนซื้อของ เป็นนางรำ เป็นคนแบ่งเสลี่ยง หรือแม้กระทั่งกรรมการตัดสิน ประหนึ่งย่อโลกภายนอกใบใหญ่ให้เล็กลง...อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
มิ้นต์ไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น เธอแค่อยากจะลอยกระทงกับพี่ธี
วันลอยกระทงปีนี้ไม่เหมือนทุกปี ในเมื่อเพื่อนของเธอกลับไปกันหมดแล้วเนื่องจากคิดว่าตัวเอง ‘โต’ เกินกว่าจะมาสนุกกับงานลอยกระทงของมหาวิทยาลัย อีกทั้งบ้างก็มีควิซในวันรุ่งขึ้น ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือ บ้างก็บอกว่ายุ่งกับเรื่องหางาน ขอกลับบ้านไปเขียนซีวีเพื่อยื่นสมัครกับองค์กรยักษ์ใหญ่ต่างๆ บ้างก็ได้งานแล้วหลังจากฝึกงานเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา และเซ็นสัญญาแล้วว่าเรียนจบจะเริ่มงานทันทีโดยได้แต่กังวลล่วงหน้าว่าชีวิตต่อจากนี้จะเหนื่อยอีกสักเท่าไหนกันเชียว
ใครว่าวัยรุ่นเป็นวันหัวเลี้ยวหัวต่อ มิ้นต์อยากเถียงเหลือเกินว่าจริงๆแล้ว คือวัยใกล้เรียนจบต่างหาก เพราะก่อนหน้านี้เธอมีชีวิตประหนึ่งลูกเจี๊ยบอยู่ในไข่ที่ชื่อว่ารั้วการศึกษามานับสิบเจ็ดสิบแปดปี และในวันนี้เปลือกอันอบอุ่นก็เริ่มร้าว เธอก็เห็นว่าเค้าลางแล้วว่าภายนอกมีแต่กองฟางอันหนักอึ้งที่พร้อมหล่นทับเธอในยามที่ไข่แตกโพละ
มิ้นต์ไม่อยากให้เวลานั้นมาถึง...ไม่อยากรับรู้ว่าโลกหลังเรียนจบมันโหดร้ายเพียงใด ในเมื่อทุกวันนี้...ชีวิตเธอก็โหดร้ายมามากพอแล้ว
และเธอก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะอยู่ในโลกแห่งความสุขจากจินตนาการ...หนีจากความเป็นจริงทุกอย่าง และหลอกตัวเองไปวันๆ ว่ายังมีความสุขดี
เพราะไม่มีเพื่อนอยู่ด้วยสักคน มิ้นต์จึงจำต้องเดินคนเดียวเลียบไปริมสระน้ำใหญ่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย นิสิตเบียดเสียดจนยากจะเดินฝ่า ตรงหน้าเธอในยามนี้คือฝูงรุ่นน้องที่กำลังจะเดินสวนไป พวกเธอเหล่านั้นมีรอยยิ้มประดับบนหน้าขณะที่คุยและหัวเราะร่วนไปด้วย จนมิ้นต์เห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเด็กพวกนี้ถึงสดใสขนาดนั้น
แต่จะว่าไป เธอก็เคยเป็นเหมือนกัน
และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร...ที่ความสดใสในวันวานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไฟเย็นไก่จ๋ามั้ยคะพี่”
เสียงของเด็กปีหนึ่งที่เดินมาประชิดปลุกเธอจากภวังค์ มิ้นต์ส่ายหน้าทันที
“ไม่ค่ะ”
เธอเดินเลี่ยงไปอีกทางที่คนน้อยกว่า มีโต๊ะขายกระทงเรียงติดกันอยู่เป็นแนว ในระหว่างที่เดินอยู่นั้น เธอก็เปิดกระเป๋าสะพายของตน แล้วคว้าซองไฟที่ตรงขอบมีรอยยับยุ่ยแม้จะเก็บเป็นอย่างดีมาตลอดหนึ่งปี
‘แบ่งกับพี่มั้ย พี่ซื้อมาเยอะ’
ธียื่นไฟเย็นให้ หลังจากที่จุดของตัวเองแล้วถือไว้ในมือเมื่อวันลอยกระทงปีที่แล้ว
‘ขอบคุณมากๆ นะคะ’ มิ้นต์ยิ้มรับ นอกจากจะดีใจที่ได้ไฟเย็นแล้ว ยังดีใจที่ได้แตะมือเขานิดๆหน่อยๆ ให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ
แม้งานลอยกระทงปีที่แล้วจะไม่ได้ลอยด้วยกัน แต่อย่างน้อยเธอก็ได้ (ทำเป็น) บังเอิญเข้าใกล้เขาซึ่งอยู่กับเพื่อนทั้งกลุ่มแล้ว
มิ้นต์ไม่เคยลืมวันที่ได้พบกับธีในตอนรับน้องคณะ ไม่เคยลืมวินาทีที่ได้เห็นรุ่นพี่หน้าตาหล่อปานกลาง หากยิ้มแล้วมีเสน่ห์จับใจ...โดนคำสั่งให้เต้นเมียงูคู่กับเพื่อนสาวไม่แท้ เล่นเอารุ่นน้องกรี๊ดเพราะเสียวไส้แทนเขา...เธอเองก็เช่นกันที่ทั้งกรี๊ดและขำสีหน้าหวาดๆ ท่าทางหวงตัวของเขาตอนเต้นเมียงู
แต่นั่นไม่ใช่จุดที่ทำให้เธอหลงรักเขาหรอก จุดเริ่มต้นของมันมาจากความมีน้ำใจหลังจากที่เขาเอาชีตวิชาต่างๆ มาให้น้องรหัสผู้เป็นเพื่อนสนิทเธอเอง ในขณะที่เธอได้แต่มองด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะพี่รหัสแท้ๆ ของตนดันซิ่วไปเรียนคณะอื่น
พอรู้ว่าเธอเป็นน้องใครเท่านั้นละ เขาก็บอกทันทีว่าเดี๋ยวพี่ซีร็อกซ์เผื่อน้องมิ้นต์ น้องปีหนึ่งไร้พี่รหัสอย่างเธอถึงได้รู้สึกว่าเขาหล่อเหลือเกิน
ชีตที่ได้จากธีไม่ได้ดีเด่อะไรมาก ลายมือก็หวัด แถมตัวยังเล็ก มายด์แม็ปปิ้งก็ไม่ได้เป็นระเบียบ แต่ถึงอย่างนั้น มิ้นต์ก็อ่านจนจำขึ้นใจ เธอจำได้ว่าวิชานั้นเป็นวิชาแรกและวิชาเดียวที่เธอได้ท็อปห้อง เนื่องจากอ่านชีตซ้ำหลายรอบ ไม่ใช่เพราะขยัน แต่อยากเก็บรายละเอียดของลายมือเขา...เผื่อจะได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้นผ่านลายมือที่เขาทิ้งไว้
‘ถ้ามิ้นต์มีตรงไหนสงสัยอีกก็ถามได้เสมอนะ’
ในวันที่เขาเอาชีตมาให้เพื่อนเธอและเผื่อตัวแถมอย่างเธอด้วย ธีถามขึ้นอย่างใจดีเช่นเคยโดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนตกบ่วงรอยยิ้มของเขาเสียแล้ว
‘แล้วถ้ามิ้นต์สงสัยที่บ้านล่ะ’ เธอถาม...เพราะหวังหมายเลขโทรศัพท์
‘เอาเอ็มพี่ไปมั้ยล่ะ’
ในตอนนั้นคนไทยยังไม่รู้จักว่าไลน์คืออะไร เอ็มเอสเอ็นคือช่องทางการสื่อสารที่สะดวกสุดรองจากการโทร.หากัน แม้จะไม่ได้หมายเลขมา แต่มิ้นต์ก็อุ่นใจแล้วเพราะรู้ดีว่าจะให้โทร.หาเขาก็จะดูกล้าหาญชาญชัยไปเสียหน่อย กลัวว่าความรัก...จะหลุดออกมาตามกระแสเสียงที่ส่งผ่านสายโทรศัพท์ไป ใช้เอ็นเอสเอ็นปลอดภัยต่อหัวใจของเธอมากกว่าหลายเท่าทีเดียว
และเมื่อใดที่เขาออนเอ็ม เธอก็จะแกล้งออฟไลน์ แล้วตั้งให้ออนไลน์ใหม่อีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้เห็นหน้าต่างที่ป็อบอัพตรงมุมขวาล่างของหน้าจอ ก่อนจะหาจุดที่ตนไม่สงสัย แต่อยากเอามาถาม แล้วกดชื่อของเขาเพื่อเริ่มการสนทนา
เมื่อคิดได้เท่านั้น มิ้นต์ก็เผลอยิ้ม ตอนนี้เธออยู่หน้าโต๊ะขายกระทง ข้างๆ เธอมีนิสิตชายที่ถ่ายรูปกระทงก่อนจะส่งภาพไปทางไลน์ แล้วสติ๊กเกอร์ไลน์ตามไป
จะเลือกกระทงให้แฟน ก็ยังส่งรูปไปถามทางไลน์
มิ้นต์แอบคิด ก่อนจะหยิบกระทงที่สวยที่สุดในสายตาตนตอนนี้โดยไม่ถามความเห็นใครทั้งสิ้น เดินไปเลียบสระน้ำ ย่อตัวนั่งยอง แล้วขยับลงตามร่องหินชันแนวสระอย่างระวัง ข้างๆ เธอตอนนี้มีเด็กหนุ่มและเด็กสาวปีหนึ่ง ดูท่าว่าน่าจะเพิ่งจีบกันใหม่ๆ หลังจากเข้ามาเรียนได้หนึ่งเทอมตามการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาเปิดปิดเทอมให้สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียน
ทั้งสองจุดไฟแช็ก หยอกล้อกันเล็กน้อย ยกกระทงด้วยกันพร้อมพนมมือ อธิษฐานเล็กน้อยแบบที่มิ้นต์เดาได้ว่าคงจะขอเรื่องความรัก แล้วปล่อยออกไปบนเวิ้งนทีที่มีกระทงนับร้อยลอยอยู่แล้ว
เด็กทั้งสองหัวเราะอย่างมีความสุข ราวโลกนี้ไม่มีคำว่า ‘ทุกข์’ มิ้นต์ยังถือกระทงในมือนิ่ง เหลือบมองรองเท้าหนังแท้สีขาวที่เด็กผู้หญิงคนนั้นสวมอยู่ รองเท้าของเธอมีสีหมองๆ ตุ่นๆ แถมยังมีรอยเปรอะเปื้อนไปทั่ว
ต่อจากนี้...รองเท้าคู่นี้ก็คงเปรอะเรื่อยๆ ตามวันเวลา ราวกับจะฝากฝังประสบการณ์ในชีวิต
ทั้งดี...และร้าย
หนึ่งทุ่มแล้ว อากาศร้อนอบอ้าวไม่สมกับเป็นต้นฤดูหนาว ขบวนแห่นางนพมาศจากคณะต่างๆ ทยอยลงสู่สนามพร้อมเสียงกลองอึกทึกครึกโครม หลายคนรีบลอยกระทงแล้วเดินไปดูขบวน ทว่าใครอีกหลายคนยังลอยกระทงอยู่อย่างไม่สนใจ มิ้นต์ชะเง้อเล็กน้อย ก็ได้เห็นขบวนของนางรำสี่ภาคที่ตอนนี้เป็นหมอลำกำลังเซิ้งอย่างสนุกสนาน
มิ้นต์จำได้ว่าปีก่อนธีมายืนดูขบวนแห่
ส่วนเธอก็ยืนดูเขาอีกที
‘สาวอักษรปีนี้แม่Jสวยอีกแล้ว’
มิ้นต์เบ้หน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น อยากจะเถียงเหลือเกินว่าถ้าเอาเธอไปแต่งดีๆ เสียหน่อย ก็จะ ‘แม่Jสวย’ ดังที่เขาว่า
ธีไม่มีแฟนตลอดเวลาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และมิ้นต์เองก็ไม่ได้ถามว่าทำไมไม่มี เรื่องส่วนใหญ่ที่คุยกันเวลาเจอก็คือการบ่นเรื่องเรียนกับถามว่ากินข้าวแล้วหรือยัง กลับบ้านกี่โมง ก็แค่นั้น มิ้นต์ไม่แน่ใจนักว่าเธอหลงรักเขาเพราะหน้าตาหรือนิสัย แต่ที่แน่ๆ เธอหลงรักสายตาของเขายามเขามองเธอ แม้จะเป็นแววตาอบอุ่นและปรารถนาดีแบบรุ่นพี่มีให้รุ่นน้อง แต่เธอก็หวังว่าในอนาคตจะเป็นดวงตาคู่เดียวกับพ่อของลูกเธอ
แต่น่าเศร้า...ที่เธอไม่กล้าพอที่จะรุก
ดังนั้น นอกจากเรื่องเรียน เรื่องที่อยู่ (ซึ่งเธอสืบเอาเอง) รหัสนิสิต เลขบัตรประชาชน และกรุ๊ปเลือดแล้ว เธอไม่รู้รสนิยมของเขา ไม่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร ชอบดูหนังหรือชอบฟังเพลง ชอบเล่นดอตเอหรือชอบดูบอล
ทั้งๆ ที่โอกาสจะรู้ก็มีอยู่มาก แค่ชวนไปกินข้าวสักครั้งก็จบ
แต่...มิ้นต์ไม่กล้า ด้วยรู้ดีว่าในสายตาเขาแล้ว เธอเป็นแค่รุ่นน้องในคณะคนหนึ่งเท่านั้น
ทว่าถึงอย่างนั้น...เธอก็เชื่อว่าตนจะกล้าพอ ไม่ใช่แค่กล้าชวนไปกินข้าว แต่ต้องกล้า...เปิดเผยความรู้สึกที่ตนมีให้เขารับรู้
...สักวันหนึ่ง...ที่ยังมาไม่ถึง