ต่อจากกระทู้นี้นะครับ
http://ppantip.com/topic/32802066
ความรู้สึกใช่เกิดขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว สมองคิดอะไรไม่ออกว่าควรทำอะไรยังไงต่อไปดี หูได้ยินเสียงคุณครูบอกว่าให้เริ่มซ้อมได้แล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมครับ รู้สึกมีความสุขมากครับ (มันรู้สึกเหมือนว่านี่คือการปิ๊งสาวครั้งแรกในชีวิต) หลังจากซ้อมเสร็จผมก็เดินกลับไปห้องเรียนครับ เรื่องน้องคนนี้ก็ยังไม่ได้เล่าให้เพื่อนๆฟัง จนถึงวันแข่งจริง วันนั้นเป็นวันวิชาการของโรงเรียน ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี ผมก็เดินมาเตรียมตัวแข่ง เนื่องจากว่าอยากแข่งให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด เลยไม่ได้สนใจน้องเขามากนัก เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นใจผมก็อยู่ในการแข่งขันเต็มร้อย พยายามช่วยเพื่อนแนะนำปรึกษากันว่าควรพูดยังไงเพื่อจะให้ชนะ ผมพูดเกือบคนสุดท้าย(จัดว่าเป็นคนฝีปากที่เด็ด) ผมรอเวลาที่ผมขึ้นพูดจนลืมมองน้องคนนั้นไปเลย (ขออนุญาติเล่าเนื้อหาที่ผมใช้โต้วาทีจะทำเครื่องหมาย *** ไว้ ถ้าไม่อยากอ่านก็ข้ามได้เลยครับ) เมื่อผมจับไมค์ความรู้สึกหมันไส้มาเต็มที่ แบบว่าฝ่ายผู้หญิงจัดไว้หนัก หาว่าผู้ชายไม่มีความอดทน ชมว่าผู้หญิงฉลาดกว่าบ้างละ(มันแค่การแข่งนะครับ ขำๆกันน่ะ อิอิ) ผมก็จัดสวนด้วนสันดาลปากล้วนๆ ***หึ! พูดซะเยอะว่าไปเรื่อย เคยมีมั้ยไอสไตน์ทำการพิสูจน์ว่าผู้หญิงฉลาดกว่า มีมั้ยที่เซอร์ไอแซก นิวตัน บอกว่าผู้หญิงอดทนกว่า ก็ไม่มีเพ้อเจ้อทั้งนั้นที่พูดมา เกิดเป็นชายดีกว่าเห็นๆสมองดีกว่าชัวร์ๆ ขนาดคนที่บอกว่าฉลาดที่สุดในโลกยังเป็นผู้ชายเลย(เสียงหัวเราะดังมาก เหมือนผู้ชายสะใจผู้หญิงชอบที่ตัวเองโดนด่า) บอกว่าผู้หญิงตั้งท้อง 9 เดือน แล้วผู้ชายอยู่ในค่ายทหารละ 2 ปีนะเว้ย ลองมาอยู่มะ เดี๋ยวจะรู้ว่า 9 เดือนมันแค่ชิลๆ (ผู้หญิงร้องหู้วววว ผู้ชายตรบมือดังสนั่น) เกิดเป็นชายนี่ดีจะตาย อย่างน้อยก็ประหยัดงบเดือนละ 12 บาท ไม่ต้องซื้อผ้าอนามัยมาใส่ (เสียงคนดูเฮฮาเหมือนดูเดี่ยว หน้ากรรมการนี่ขำเหมือนโดนจั๊กกะจี่) ไปไหนมาไหนหน้าก็ไม่ต้องแต่ง ไปทำงานตื่นสายหน่อยก็ได้ ไม่เหมือนผู้หญิงเข้างาน 8 โมง แต่ต้องตื่นนอน 6 โมง ตื่นมาทำไม? อาบน้ำทำผมอะ ครึ่งชั่วโมง เดอนทางอีกครึ่งชั่วโมง เหลืออีก1ชั่วโมงคือนั่งแต่งหน้า(เสียงตอบรับกลายเป็นเสียงเชียร์ชอบใจ ทั้งชายและหญิง เหมือนเขาจะชอบ) งานเทศกาลนะผู้ชายก็ชิลๆประหยัดงบ ผู้หญิงนี่ออฟชั่นเยอะ เทศกาลนึงก็จัดหนักกันทีนึง สงการนต์ทั้งทีแบมือขอเงินพ่อแม่ ไม่ได้เอาไปเล่นน้ำซื้อแป้งนะจ๊ะ เอาไปซื้อลิปกับเสื้อผ้าจ้า(ผู้หญิงกรี๊ดสนั่น) ผู้หญิงนี่หน้าตาไม่ดีอยู่ไม่ได้นะครับ ผู้ชายเราหน้าแย่ๆยังหาแฟนสวยๆรวยๆได้ แต่ผู้หญิงถ้าหน้าไม่เด็ด อย่าว่าแต่แต่งงานเลยกว่าจะมีแฟนก็40ต้นๆเลยครับ(ผู้ชายเฮดังปนขำ~ผู้หญิงขำอย่างรุงแรงเหมือนซะใจที่ตนเองโดนด่า 555+) ฟันนี่อาวุธสำคัญเลย ยังไงก็ต้องดัด ถ้าไม่ดัดมันปรับความสวยให้ติดลบ แต่ผู้ชายนะหรอ!~ไม่ต้องไม่ต้อง ดูอย่างกั๊ก เล้าโลมสิ ไม่ดัดยังหล่อเลย (เสียงวู้~ดังขึ้นเหมือนพวกผู้ชายรู้ว่าผมหมดคำพูด) ยังไงก็รับประกันครับว่าเกิดเป็นชายดีกว่าแน่นอน(ถ้านับพี่ พ.ศ ปัจจุบันเรื่องก็ผ่านมาจะ 4 ปี แล้วนะครับ อ่านแล้วอย่าซีเรียสนะ แง่มๆ ~ เสียงปรบมือดังขึ้นจากคนดู)*** หลังจากที่ผมพูดเสร็จก็พูดต่ออีก 1 คน พร้อมให้หัวหน้าทีมสรุปประเด็น และผลการแข่งก็เป็นฝั่งเกิดเป็นผู้ชายดีกว่าชนะ ผมรู้สึกดีใจกับการชนะในครั้งนี้ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่รู้จักรวมถึงครูที่ให้โอกาสผมมาลงแข่ง ก็ต่างเข้ามาชมผมก็ดีใจและพูดคุยได้ซักพัก ผมก็เห็นน้องเขาเดินออกจากโดมที่เราจัดการแข่งกัน ถึงผมจะนิสัยแย่แต่เรื่องมารยาทผมไม่แน่นะครับ แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันต้องเดินไปหาน้องเขาก็เลยบอกขอบคุณทุกคนแล้วปริออกมา ภาพที่เห็นคือ เป็นด้านหลังของเด็กผู้หญิงที่ผมไม่ได้ซอย ถักเปีย 2 ข้าง กำลังเดินห่างจากผมไป แหมความรู้สึกจะบอกว่าให้ตามไป แต่ก็ไม่รู้ว่าตามไปจะทำอะไรยังไงดี ก็เลยยืนมองเฉยๆ ด้วยภาพพจน์ที่เห็น มันมอบความรู้สึกว่า น้องเขาเรียบร้อย รักในการเรียน(เรียนห้องบ๊วยแต่สอบได้ที่ 1 ของระดับไม่รักได้ไงละ 555) บอกกันง่ายๆคือ "นี่แหละผู้หญิงในอุดมคติแรกเริ่มที่คิดไว้" ในช่วงที่เกิดความรู้สึกใช่ครั้งแรก ผมยังไม่มั่นใจอะไรมากนัก ไม่ได้มีความคิดจะจีบน้องเขาเลย แม้ตอนนั้นจะอายุแค่ 15 แต่ผมเห็นการทะเลาะกันของพ่อแม่มาเยอะมาก เลยรู้ดีเลยว่าการที่จะมีความรักและความสัมพันธ์ให้มั่นคงได้ มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกอย่างเดียว แต่ในวันนั้นมันมีความมั่นใจอะไรบางอย่างเข้ามาในใจ ผมจึงตัดสินใจว่าคนนี้แหละคนสุดท้ายของผม
หลังจากที่ตัดสินใจอย่างมั่นใจแล้วภาพของน้องมันก็วนอยู่ในหัวทั้งวันเลยครับ 555+ ในเย็นวันนั้นที่เราได้แข่งโต้วาที ผมเหมือนเป้นที่จดจำด้วยฝีปากที่หมามากๆ 555+ ผมก็เดินไปเดินมาตามภาษาคนว่างๆ จู่ๆน้องจ๋า(นามสมมติของน้องคนนั้น) ก็เดินมาจากด้านหลังมาแซวมุขที่ผมใช้พูดตอนจบในตอนแข่ง "กั๊กเล้าโลมใช่ป้ะ" (ขนาดที่ผมนั่งพิมพ์อยู่นี่ ผมยังฟินเลยครับ) น้องเค้าทำให้ชีวิตของผมที่กำลังแย่ๆมันสดใสขึ้นมากครับ ด้วยแค่รอยยิ้มเดียว วินาทีที่น้องจ๋ามาแซวมุขผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสนุกสนาน ผมแทบจะตกหลุมรรักนน้องจ๋าเลยครับ และไม่กี่วันผมก็มารู้ทีหลังว่า น้องจ๋าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับแฟนเก่าเพื่อนผมและกลุ่มน้องๆที่ผมรู้จัก(เหมือนจะเข้าทาง) พอผมไปถามชื่อน้องจ๋าจากกลุ่มน้องๆที่ผมรู้จัก พวกน้องๆก็ตอบมาดีแถมปนความฉลาดมาด้วยครับ
ผม : เห้ย น้องคนนั้นชื่อไรวะ
น้อง : ชื่อจ๋า(ย้ำว่านามสมมติ) ทำไมหรอ ชอบจ๋าหรอ
ผม : (ได้แต่งงว่ามันรู้ได้ไง พร้อมกับการสตั้นปนเขิล)
น้อง : เห้ยพี่เน็ก(นามสมมติของตัวผม) ชอบจ๋าเว้ย
ฉลาดไม่พอแถมเสียงดังอีก เอาซะน้องจ๋าได้ยิน พอเช้าอีกวันหนึ่งผมก็เดินไปกินข้าวที่โรงอาหาร เจออีกลุ่มน้องๆซึ่งมีน้องจ๋านั่งอยู่ด้วย ผมก็เดินหน้าตรงดีๆ มันดันตะโกนมาแซว "ชอบจ๋าหรอพี่เน็ก พี่เน็กชอบจ๋าเว้ย" แอบค้อนตาไปมองหน้าน้องจ๋า ดูจากสีหน้าแล้ว น้องเขาคงไม่ชอบที่เพื่อนแซว หรือไม่ก็ไม่ชอบผม หรือไม่ก็ทั้ง 2 อย่างเลย(ผมรู้ว่าน่าจะเป็นทั้ง2อย่าง) ภาพวันที่น้องมาแซวมุขกับวันที่เพื่อนของน้องมาแซวผมกับจ๋า จ๋าเหมือคนละคนเลย(คิดแค้นในใจเสมอ พวกไม่น่าแซวกูเลย) ตอนนั้นน้องจ๋าก็รู้แล้วแหละครับว่าผมชอบ ปกติผมมีความสามารถในการจีบผู้หญิงสูงนะ แต่กับน้องจ๋า ผมคิดไม่ออกเริ่มไม่ถูกว่าต้องทำยังไง ด้วยความที่ว่าจริงจังจริงๆ โจทย์คือต้องจีบให้ติด ผมเลยจริตคิดเอาง่ายๆว่า "จริงจัง~จริงใจ" มันต้องคู่กัน เลยขอไปแบบตรงๆดื้อๆโง่ๆเลย เพราะกลัวว่าถ้าอ้อมด้วยสถานะพี่ชายแล้วค่อยเป็นแฟนจะมาได้แค่ "พี่น้อง" เมื่อมาตรงๆแบบจริงจังและจริงใจ มันก็ต้องสารภาพความรู้สึกกันหน่อย แม้น้องจ๋าจะรู้แล้วก็เถอะว่ารู้สึกยังไง แต่มันต้องบอกกับปาก(ไม่รู้นะว่าทำไมต้องไปบอกอีก แต่ความรู้สึกมันสั่งการมา 555) ถึงผมจะมีแฟนมาเกิน 10 คน แต่ไม่มีสักคนที่บอกว่าชอบจากปากตัวเอง แน่นอนครับว่านี่คือครั้งแรก ด้วยความที่อยากจะบอกเองแต่ไม่เคยทำมาก่อน ก็คิดไม่ออกจะไปบอกยังไง สุดท้ายแล้วเวลาก็ผ่านมา 2 สัปดาห์ได้ ผมก็ขี้เกียจคิดละ "เอาวะ งั้นเดินไปบอก
ตรงๆนี่แหละ" เนื่องจากจ๋ากลับรถโรงเรียนก็เลยมีเวลาช่วงหลังเลิกเรียนเป็นโอกาสให้พูดคุยกันแบบส่วนตัวได้(ถ้าให้ไปบอกกับน้องจ๋าตอนอยู่กับเพื่อน ยังไงก็ไม่กล้า~ใครมันจะกล้าวะ?เอ๊ะ!หรือว่ามี?) เมื่อถึงเวลา ก็รวบรวมความกล้าดั่งโงกุนรวมพลังสร้างบอลเกงกิ เดินเข้าไปหาน้องจ๋า แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง~ปกติน้องจ๋าสายตาสั้น ใส่แว่น จู่ๆน้องเขาก็ดันมาใส่คอนแท็ก ก็เลยเอาเรื่องนี้เปิดประเด็นซะเลย
ผม : จ๋า เดี๋ยวนี้ใส่คอนแท็กหรอ ระวังตาจะแห้งนะ
น้องจ๋า : (พยักหน้าแล้วหันหลังหนี)
คิดในใจนะ เฮ้ออออออ
อะไรวะเนี่ย ไม่ไหวแล้วนะ บอกเลยแล้วกัน
ผม : จ๋า กูชอบ(ใช้สรรพนามได้กากและไม่เหมาะสมมากๆ)
น้องจ๋า : (หันมาค้อนแล้วตอบ)เออ กูไม่ชอบ
แล้วจ๋าก็เดินหนีไปนั่งที่โต๊ะม้าหินใกล้ ผมก็ได้แต่บอกว่า "ขอโอกาสสักครั้งเถอะนะ" เลียนแบบตามหนังตามซีรีสย์ที่เคยดูมาเลยครับ 555+ ณ ตอนนั้น ตอนอยากจะนั่งคุยนั่งง้อขอโอกาสจนกว่าน้องจ๋าจะขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้านเลยนะ แต่พ่อผมมารับ ผมต้องไปผมพ่อ เพราะว่าถ้าพ่อมมารับแล้วไม่เจอ พ่อจะโมโห ถ้าไม่ติดว่ากลัวพ่อ วันนั้นก็อยากจะลองให้ถึงที่สุดเหมือนกัน
ยังไงก็ขอจบไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน
ความรักที่คนรอบข้างบอกว่าเหมือนในนิยาย(1)
ความรู้สึกใช่เกิดขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว สมองคิดอะไรไม่ออกว่าควรทำอะไรยังไงต่อไปดี หูได้ยินเสียงคุณครูบอกว่าให้เริ่มซ้อมได้แล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมครับ รู้สึกมีความสุขมากครับ (มันรู้สึกเหมือนว่านี่คือการปิ๊งสาวครั้งแรกในชีวิต) หลังจากซ้อมเสร็จผมก็เดินกลับไปห้องเรียนครับ เรื่องน้องคนนี้ก็ยังไม่ได้เล่าให้เพื่อนๆฟัง จนถึงวันแข่งจริง วันนั้นเป็นวันวิชาการของโรงเรียน ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี ผมก็เดินมาเตรียมตัวแข่ง เนื่องจากว่าอยากแข่งให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด เลยไม่ได้สนใจน้องเขามากนัก เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นใจผมก็อยู่ในการแข่งขันเต็มร้อย พยายามช่วยเพื่อนแนะนำปรึกษากันว่าควรพูดยังไงเพื่อจะให้ชนะ ผมพูดเกือบคนสุดท้าย(จัดว่าเป็นคนฝีปากที่เด็ด) ผมรอเวลาที่ผมขึ้นพูดจนลืมมองน้องคนนั้นไปเลย (ขออนุญาติเล่าเนื้อหาที่ผมใช้โต้วาทีจะทำเครื่องหมาย *** ไว้ ถ้าไม่อยากอ่านก็ข้ามได้เลยครับ) เมื่อผมจับไมค์ความรู้สึกหมันไส้มาเต็มที่ แบบว่าฝ่ายผู้หญิงจัดไว้หนัก หาว่าผู้ชายไม่มีความอดทน ชมว่าผู้หญิงฉลาดกว่าบ้างละ(มันแค่การแข่งนะครับ ขำๆกันน่ะ อิอิ) ผมก็จัดสวนด้วนสันดาลปากล้วนๆ ***หึ! พูดซะเยอะว่าไปเรื่อย เคยมีมั้ยไอสไตน์ทำการพิสูจน์ว่าผู้หญิงฉลาดกว่า มีมั้ยที่เซอร์ไอแซก นิวตัน บอกว่าผู้หญิงอดทนกว่า ก็ไม่มีเพ้อเจ้อทั้งนั้นที่พูดมา เกิดเป็นชายดีกว่าเห็นๆสมองดีกว่าชัวร์ๆ ขนาดคนที่บอกว่าฉลาดที่สุดในโลกยังเป็นผู้ชายเลย(เสียงหัวเราะดังมาก เหมือนผู้ชายสะใจผู้หญิงชอบที่ตัวเองโดนด่า) บอกว่าผู้หญิงตั้งท้อง 9 เดือน แล้วผู้ชายอยู่ในค่ายทหารละ 2 ปีนะเว้ย ลองมาอยู่มะ เดี๋ยวจะรู้ว่า 9 เดือนมันแค่ชิลๆ (ผู้หญิงร้องหู้วววว ผู้ชายตรบมือดังสนั่น) เกิดเป็นชายนี่ดีจะตาย อย่างน้อยก็ประหยัดงบเดือนละ 12 บาท ไม่ต้องซื้อผ้าอนามัยมาใส่ (เสียงคนดูเฮฮาเหมือนดูเดี่ยว หน้ากรรมการนี่ขำเหมือนโดนจั๊กกะจี่) ไปไหนมาไหนหน้าก็ไม่ต้องแต่ง ไปทำงานตื่นสายหน่อยก็ได้ ไม่เหมือนผู้หญิงเข้างาน 8 โมง แต่ต้องตื่นนอน 6 โมง ตื่นมาทำไม? อาบน้ำทำผมอะ ครึ่งชั่วโมง เดอนทางอีกครึ่งชั่วโมง เหลืออีก1ชั่วโมงคือนั่งแต่งหน้า(เสียงตอบรับกลายเป็นเสียงเชียร์ชอบใจ ทั้งชายและหญิง เหมือนเขาจะชอบ) งานเทศกาลนะผู้ชายก็ชิลๆประหยัดงบ ผู้หญิงนี่ออฟชั่นเยอะ เทศกาลนึงก็จัดหนักกันทีนึง สงการนต์ทั้งทีแบมือขอเงินพ่อแม่ ไม่ได้เอาไปเล่นน้ำซื้อแป้งนะจ๊ะ เอาไปซื้อลิปกับเสื้อผ้าจ้า(ผู้หญิงกรี๊ดสนั่น) ผู้หญิงนี่หน้าตาไม่ดีอยู่ไม่ได้นะครับ ผู้ชายเราหน้าแย่ๆยังหาแฟนสวยๆรวยๆได้ แต่ผู้หญิงถ้าหน้าไม่เด็ด อย่าว่าแต่แต่งงานเลยกว่าจะมีแฟนก็40ต้นๆเลยครับ(ผู้ชายเฮดังปนขำ~ผู้หญิงขำอย่างรุงแรงเหมือนซะใจที่ตนเองโดนด่า 555+) ฟันนี่อาวุธสำคัญเลย ยังไงก็ต้องดัด ถ้าไม่ดัดมันปรับความสวยให้ติดลบ แต่ผู้ชายนะหรอ!~ไม่ต้องไม่ต้อง ดูอย่างกั๊ก เล้าโลมสิ ไม่ดัดยังหล่อเลย (เสียงวู้~ดังขึ้นเหมือนพวกผู้ชายรู้ว่าผมหมดคำพูด) ยังไงก็รับประกันครับว่าเกิดเป็นชายดีกว่าแน่นอน(ถ้านับพี่ พ.ศ ปัจจุบันเรื่องก็ผ่านมาจะ 4 ปี แล้วนะครับ อ่านแล้วอย่าซีเรียสนะ แง่มๆ ~ เสียงปรบมือดังขึ้นจากคนดู)*** หลังจากที่ผมพูดเสร็จก็พูดต่ออีก 1 คน พร้อมให้หัวหน้าทีมสรุปประเด็น และผลการแข่งก็เป็นฝั่งเกิดเป็นผู้ชายดีกว่าชนะ ผมรู้สึกดีใจกับการชนะในครั้งนี้ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่รู้จักรวมถึงครูที่ให้โอกาสผมมาลงแข่ง ก็ต่างเข้ามาชมผมก็ดีใจและพูดคุยได้ซักพัก ผมก็เห็นน้องเขาเดินออกจากโดมที่เราจัดการแข่งกัน ถึงผมจะนิสัยแย่แต่เรื่องมารยาทผมไม่แน่นะครับ แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันต้องเดินไปหาน้องเขาก็เลยบอกขอบคุณทุกคนแล้วปริออกมา ภาพที่เห็นคือ เป็นด้านหลังของเด็กผู้หญิงที่ผมไม่ได้ซอย ถักเปีย 2 ข้าง กำลังเดินห่างจากผมไป แหมความรู้สึกจะบอกว่าให้ตามไป แต่ก็ไม่รู้ว่าตามไปจะทำอะไรยังไงดี ก็เลยยืนมองเฉยๆ ด้วยภาพพจน์ที่เห็น มันมอบความรู้สึกว่า น้องเขาเรียบร้อย รักในการเรียน(เรียนห้องบ๊วยแต่สอบได้ที่ 1 ของระดับไม่รักได้ไงละ 555) บอกกันง่ายๆคือ "นี่แหละผู้หญิงในอุดมคติแรกเริ่มที่คิดไว้" ในช่วงที่เกิดความรู้สึกใช่ครั้งแรก ผมยังไม่มั่นใจอะไรมากนัก ไม่ได้มีความคิดจะจีบน้องเขาเลย แม้ตอนนั้นจะอายุแค่ 15 แต่ผมเห็นการทะเลาะกันของพ่อแม่มาเยอะมาก เลยรู้ดีเลยว่าการที่จะมีความรักและความสัมพันธ์ให้มั่นคงได้ มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกอย่างเดียว แต่ในวันนั้นมันมีความมั่นใจอะไรบางอย่างเข้ามาในใจ ผมจึงตัดสินใจว่าคนนี้แหละคนสุดท้ายของผม
หลังจากที่ตัดสินใจอย่างมั่นใจแล้วภาพของน้องมันก็วนอยู่ในหัวทั้งวันเลยครับ 555+ ในเย็นวันนั้นที่เราได้แข่งโต้วาที ผมเหมือนเป้นที่จดจำด้วยฝีปากที่หมามากๆ 555+ ผมก็เดินไปเดินมาตามภาษาคนว่างๆ จู่ๆน้องจ๋า(นามสมมติของน้องคนนั้น) ก็เดินมาจากด้านหลังมาแซวมุขที่ผมใช้พูดตอนจบในตอนแข่ง "กั๊กเล้าโลมใช่ป้ะ" (ขนาดที่ผมนั่งพิมพ์อยู่นี่ ผมยังฟินเลยครับ) น้องเค้าทำให้ชีวิตของผมที่กำลังแย่ๆมันสดใสขึ้นมากครับ ด้วยแค่รอยยิ้มเดียว วินาทีที่น้องจ๋ามาแซวมุขผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสนุกสนาน ผมแทบจะตกหลุมรรักนน้องจ๋าเลยครับ และไม่กี่วันผมก็มารู้ทีหลังว่า น้องจ๋าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับแฟนเก่าเพื่อนผมและกลุ่มน้องๆที่ผมรู้จัก(เหมือนจะเข้าทาง) พอผมไปถามชื่อน้องจ๋าจากกลุ่มน้องๆที่ผมรู้จัก พวกน้องๆก็ตอบมาดีแถมปนความฉลาดมาด้วยครับ
ผม : เห้ย น้องคนนั้นชื่อไรวะ
น้อง : ชื่อจ๋า(ย้ำว่านามสมมติ) ทำไมหรอ ชอบจ๋าหรอ
ผม : (ได้แต่งงว่ามันรู้ได้ไง พร้อมกับการสตั้นปนเขิล)
น้อง : เห้ยพี่เน็ก(นามสมมติของตัวผม) ชอบจ๋าเว้ย
ฉลาดไม่พอแถมเสียงดังอีก เอาซะน้องจ๋าได้ยิน พอเช้าอีกวันหนึ่งผมก็เดินไปกินข้าวที่โรงอาหาร เจออีกลุ่มน้องๆซึ่งมีน้องจ๋านั่งอยู่ด้วย ผมก็เดินหน้าตรงดีๆ มันดันตะโกนมาแซว "ชอบจ๋าหรอพี่เน็ก พี่เน็กชอบจ๋าเว้ย" แอบค้อนตาไปมองหน้าน้องจ๋า ดูจากสีหน้าแล้ว น้องเขาคงไม่ชอบที่เพื่อนแซว หรือไม่ก็ไม่ชอบผม หรือไม่ก็ทั้ง 2 อย่างเลย(ผมรู้ว่าน่าจะเป็นทั้ง2อย่าง) ภาพวันที่น้องมาแซวมุขกับวันที่เพื่อนของน้องมาแซวผมกับจ๋า จ๋าเหมือคนละคนเลย(คิดแค้นในใจเสมอ พวกไม่น่าแซวกูเลย) ตอนนั้นน้องจ๋าก็รู้แล้วแหละครับว่าผมชอบ ปกติผมมีความสามารถในการจีบผู้หญิงสูงนะ แต่กับน้องจ๋า ผมคิดไม่ออกเริ่มไม่ถูกว่าต้องทำยังไง ด้วยความที่ว่าจริงจังจริงๆ โจทย์คือต้องจีบให้ติด ผมเลยจริตคิดเอาง่ายๆว่า "จริงจัง~จริงใจ" มันต้องคู่กัน เลยขอไปแบบตรงๆดื้อๆโง่ๆเลย เพราะกลัวว่าถ้าอ้อมด้วยสถานะพี่ชายแล้วค่อยเป็นแฟนจะมาได้แค่ "พี่น้อง" เมื่อมาตรงๆแบบจริงจังและจริงใจ มันก็ต้องสารภาพความรู้สึกกันหน่อย แม้น้องจ๋าจะรู้แล้วก็เถอะว่ารู้สึกยังไง แต่มันต้องบอกกับปาก(ไม่รู้นะว่าทำไมต้องไปบอกอีก แต่ความรู้สึกมันสั่งการมา 555) ถึงผมจะมีแฟนมาเกิน 10 คน แต่ไม่มีสักคนที่บอกว่าชอบจากปากตัวเอง แน่นอนครับว่านี่คือครั้งแรก ด้วยความที่อยากจะบอกเองแต่ไม่เคยทำมาก่อน ก็คิดไม่ออกจะไปบอกยังไง สุดท้ายแล้วเวลาก็ผ่านมา 2 สัปดาห์ได้ ผมก็ขี้เกียจคิดละ "เอาวะ งั้นเดินไปบอกตรงๆนี่แหละ" เนื่องจากจ๋ากลับรถโรงเรียนก็เลยมีเวลาช่วงหลังเลิกเรียนเป็นโอกาสให้พูดคุยกันแบบส่วนตัวได้(ถ้าให้ไปบอกกับน้องจ๋าตอนอยู่กับเพื่อน ยังไงก็ไม่กล้า~ใครมันจะกล้าวะ?เอ๊ะ!หรือว่ามี?) เมื่อถึงเวลา ก็รวบรวมความกล้าดั่งโงกุนรวมพลังสร้างบอลเกงกิ เดินเข้าไปหาน้องจ๋า แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง~ปกติน้องจ๋าสายตาสั้น ใส่แว่น จู่ๆน้องเขาก็ดันมาใส่คอนแท็ก ก็เลยเอาเรื่องนี้เปิดประเด็นซะเลย
ผม : จ๋า เดี๋ยวนี้ใส่คอนแท็กหรอ ระวังตาจะแห้งนะ
น้องจ๋า : (พยักหน้าแล้วหันหลังหนี)
คิดในใจนะ เฮ้ออออออ อะไรวะเนี่ย ไม่ไหวแล้วนะ บอกเลยแล้วกัน
ผม : จ๋า กูชอบ(ใช้สรรพนามได้กากและไม่เหมาะสมมากๆ)
น้องจ๋า : (หันมาค้อนแล้วตอบ)เออ กูไม่ชอบ
แล้วจ๋าก็เดินหนีไปนั่งที่โต๊ะม้าหินใกล้ ผมก็ได้แต่บอกว่า "ขอโอกาสสักครั้งเถอะนะ" เลียนแบบตามหนังตามซีรีสย์ที่เคยดูมาเลยครับ 555+ ณ ตอนนั้น ตอนอยากจะนั่งคุยนั่งง้อขอโอกาสจนกว่าน้องจ๋าจะขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้านเลยนะ แต่พ่อผมมารับ ผมต้องไปผมพ่อ เพราะว่าถ้าพ่อมมารับแล้วไม่เจอ พ่อจะโมโห ถ้าไม่ติดว่ากลัวพ่อ วันนั้นก็อยากจะลองให้ถึงที่สุดเหมือนกัน
ยังไงก็ขอจบไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน