เพิ่มเติมข้อความ
November 1, 2014
05.00 pm.
สำหรับท่านที่ติเรื่องแสงไฟเหลืองหรืออะไรต่างๆ
อยากจะขอชี้แจงว่า พอดีไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเองค่ะ
ที่ Student Accommodation ที่เรามาอยู่ที่นี่เค้าติดไฟสีเหลืองทั้งห้องเลย
บางรูปที่สีเหลืองมาก นั่นเพราะว่าวันนั้นอากาศที่ลอนดอนแย่ ข้างนอกมืดครึ้ม เราจึงใช้ได้แค่ไฟในห้องเพื่อถ่ายรูปเก็บภาพไว้เปรียบเทียบค่ะ
จะมีไม่กี่รูปที่ใช้แสงจากธรรมชาติข้างนอกห้องเลยดูสีปกติ
ก็ขออภัยมาด้วยนะคะ
คือเราไม่สามารถคอนโทรลสภาพอากาศได้จริงๆ มันเป็นอะไรที่คอนโทรลไม่ได้ง่ ><
และที่ไม่แต่งภาพปรับสี เพราะลองแล้วค่ะ แต่พอปรับสีแล้ว รอยด่างดำมันจางตามสภาพแสงที่ปรับ มันเลยดูหลอกตาไปมากๆ
ยังไงก็เราสรุปให้โดยรวม เลยนะคะว่า รอยแผลเป็นเรามีนั้นจางไวมากค่ะ
สิวตอนนี้หายไปหมด
ผดที่เคยเริ่มขึ้นมันก็ลดลงไปค่ะ
และก็โฟมล้างหน้าตัวนี้ ไม่ทำให้ล้างเสร็จแล้วหน้าแห้ง หน้าตึงจนแสบเหมือนของ TBS ค่ะ
//
สวัสดีค่ะ
วันนี้จะมารีวิวแบรนด์ที่เป็นตัวช่วยเวลาเราหน้าพังค่ะ
โดยในการรีวิวครั้งนี้จะมีการรีวิวผลิตภัณฑ์ 3 ตัวคือ DIORSNOW White Reveal Gentle Purifying Foam, DIORSNOW Fresh Creme Global Transparency และ DIORSKIN Star
โดยในการรีวิว จะมีภาพประกอบผลการใช้ของผลิตภัณฑ์เป็นระยะๆ ค่ะ เพื่อให้มองออกภึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพผิวค่ะ
ขอเกริ่นก่อนนะคะ
ปัญหาผิวหน้าของเราคือ มีอาการแห้งจากสภาพอากาศจนเป็นขุยๆ ทั่วใบหน้า และมีรอยดำ รอยแดงจากสิว รวมถึงมีปัญหาสิว เนื่องจากการเปลี่ยนโฟมล้างหน้า และผลิตภัณฑ์บพรุงผิวค่ะ
โดยส่วนตัว แบรนด์ที่ใช้ประจำคือ Dior แต่พอย้ายมาเรียนที่ประเทศนี้ เราเห็นเป็นถิ่นของ The Body Shop เลยซื้อหามาใช้ค่ะ สรุปหน้าพัง เลยกลับมาซบอก Dior เช่นเดิม
ภาพของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ซื้อมาในครั้งนี้นะคะ
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเราซื้อมาเมื่อวันที่ September 17, 2014 ค่ะ สนนราคาทั้งสิ้น £135 ค่ะโดยผลการใช้เราได้ถ่ายเป็นภาพของวันแรกที่เริ่มใช้
เซทต่อมา จะเป็นภาพตั้งแต่วันแรกที่จะเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ Foam และ Creme นะคะ แล้วไล่ๆ มา จะถ่ายทุก อาทิตย์ เกือบๆ 2 อาทิตย์คะ
โดยภาพชุดสุดท้ายที่นำมาลง คือภาพที่เราถ่ายเมื่อเวลา 03.30 am. November 1, 2014 ค่ะ
เราพึ่งถ่ายเมื่อคืนนี้หลังกลับมาจาก Halloween Party อาบน้ำ ล้างหน้าเสร็จ ยังไม่ได้ทาครีมก็มาถ่ายรูปไว้ทำ รีวิวเลย
สรุปผลในการใช้โฟมล้างหน้า และครีมบำรุงผิว เราบอได้เลยว่า 2 ตัวนี้ ยังคงเป็นตัวช่วยชีวิตเราได้ดีเสมอๆ จะกี่ครั้งๆ ที่ไปใช้แบรนด์อื่นจนหน้าแหกกลับมา ใช้แค่ 2 ตัวนี้ก็พอ เวลาแค่ 1 เดือนก็ฟื้นฟูสภาพผิวเรากลับมาได้มากกว่า 50% คือหลักๆ จะลดเรื่องอาการสิวไปได้อย่างมาก
แต่ก็เพราะขั้นตอนการล้างหน้าของเราด้วย เราค่อนข้างจะล้างหน้าแบบเนี้ยบมากๆ
คือ ค่อยๆ เอานิ้ววนๆ ล้างไปทีละจุดๆ โดยจะวนๆ ล้างจุดละ 200 ครั้ง เพราะเราเคยได้รับการบอกมาจาก BA ของ Dior ว่า การบำรุงผิวที่จะได้ผล ต้องบำรงบนหน้าที่ได้รับการทำความสะอาดมาอย่างดี เพราะครีมจะได้ลงไปบนผิวเราได้เต็มๆ เราเลยพยายามล้างหน้าเราให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และใช้ขั้นตอนน้อยที่สุด เพราะว่า เราเคยรักษาสิวมา หมอบอกว่าผิวอย่างเราการล้างหน้า และการทรีทเมนท์หลายๆ ขั้นตอน มันเป็นการรบกวนผิน ทำให้ผิวระคายเคืองได้ เราเลยตัดสเตปการล้างหน้าให้เหลือแค่ เช็ดเครื่องสำอาง และล้างหน้า เท่านี้จบค่ะ ส่วนครีมบำรุงผิว แต่ก่อนเราใช้หลายๆ ตัว แต่ตอนหลังมา เราพบว่า เลือกกระปุกที่ดีที่สุดของไลน์นั้นๆ แล้วใช้แค่ตัวเดียวมันก็ได้ผลดีมากเช่นกันค่ะ
ซึ่งอันนี้ก็อาจจะขึ้นกับแต่ละสภาพผิวของแต่ละบุคคลนะคะ แต่าำหรับเรามันเวิร์คมากๆ เลยค่ะ
//
ส่วนภาพต่อมา เป็นภาพผลการใช้รองพื้นตัวใหม่ค่ะ
จริงๆ แล้ว เราไม่ได้ต้องการซื้อรองพื้นตัวนี้เลยนะคะ แต่เนื่องจากวันที่ไปซื้อครีม และโฟม พนักงานบอกว่าเราซื้อของครบ £100 สามารถตรวจสภาพผิว และวัดเฉดสีฟิวเพื่อแมทกับรองพื้นได้ฟรีค่ะ ลองมั้ย อะไรแบบนั้น เราก็โอเค ลองค่ะ อยากรู้เหมือนกันจะทำยัง จะตรงกับสีที่เรามีอยู่มั้ย
ซึ่งพอวัดออกมามันตรง แล้วพนักงานก็บอกว่า เนี่ยลองเทสต์สีมั้ยว่าตรงป่าว แล้วเค้าก็เอาเจ้า DIORSKIN Star มาเทสท์ให้บนผิวค่ะ สีมันโอเคเลย ปกปิดดีเหมือนกันตัวรุ่น Capture Totale ที่เราใช้ค่ะ แต่ที่ดีกว่าคือ มันไม่ดูหนา ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และถ่ายรูปออกมาสวยกว่าค่ะ
ซึ่งรองพื้นตัวนี้ พนักงานขายบอกว่าเป็นรองพื้นที่ออกแบบมาเพื่อใช้บนรันเวย์ ใช้แบบถ่ายรูปค่ะ ซึ่งมันจะมีนวัตกรรมที่ทำให้เราผิวสวยผ่องดูดี
สอบถามราคาแล้วรับได้ ก็เลยเพิ่มมาอีกชิ้น
ส่วนด้านล่างนี้ จะเป็นการรีวิวนะคะ ว่าเราใช้รองพื้นนี้แบบไหน แล้วลุคที่ได้ออกมาเป็นอย่างไรค่ะ
โดยการใช้หากเราต้องหารให้แค่ปกปิด แต่ดูหน้าวาวๆ ดูผิวชุ่มชื้นดึ๋งๆ เราจะไม่ลงแป้งทับ ซึ่งจะออกมาได้ผลตามภาพที่อยู่ด้านซ้ายมือ
แต่หากเราต้องการให้ลุคออกมาหน้าไม่วาว แต่ดูกระจ่าง หน้าสว่างๆ เราจะเอาแป้งเม็ดเกอร์แลงค์มาปัดทับเลย จะได้ลุคของผิวแบบในภาพที่อยู่ตรงกลาง
และถ้าอยากให้หน้าเราดูปกปิดสุดๆ เน้นแต่งหน้าแบบ Full makeup เราก็จะลงแป้งโดยใช้พัฟกดๆ ให้เนียน แล้วก็ปัดทับด้วยแป้งเม็ดเกอร์แลงค์อีกหนึ่งรอบเบาๆ ซึ่งจะออกมาเป็นภาพทางด้านขวามือสุด
ขอบคุณที่รับชม Review นะคะ
หากมีการพิมพ์ผิดพลาด หรืออธิบายไม่ชัดเจนอย่างไร ขออภัยมา ณ ที่นี้
และหากสงสัยอะไรเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ค่ะ หากเราทราบคำตอบจะรีบมาตอบค่ะ
[CR] Review: Christian Dior ผิวดีขึ้นใน 1 เดือน ด้วย DIORSNOW Foam และ Creme และ DIORSKIN Star Foundation
November 1, 2014
05.00 pm.
สำหรับท่านที่ติเรื่องแสงไฟเหลืองหรืออะไรต่างๆ
อยากจะขอชี้แจงว่า พอดีไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเองค่ะ
ที่ Student Accommodation ที่เรามาอยู่ที่นี่เค้าติดไฟสีเหลืองทั้งห้องเลย
บางรูปที่สีเหลืองมาก นั่นเพราะว่าวันนั้นอากาศที่ลอนดอนแย่ ข้างนอกมืดครึ้ม เราจึงใช้ได้แค่ไฟในห้องเพื่อถ่ายรูปเก็บภาพไว้เปรียบเทียบค่ะ
จะมีไม่กี่รูปที่ใช้แสงจากธรรมชาติข้างนอกห้องเลยดูสีปกติ
ก็ขออภัยมาด้วยนะคะ
คือเราไม่สามารถคอนโทรลสภาพอากาศได้จริงๆ มันเป็นอะไรที่คอนโทรลไม่ได้ง่ ><
และที่ไม่แต่งภาพปรับสี เพราะลองแล้วค่ะ แต่พอปรับสีแล้ว รอยด่างดำมันจางตามสภาพแสงที่ปรับ มันเลยดูหลอกตาไปมากๆ
ยังไงก็เราสรุปให้โดยรวม เลยนะคะว่า รอยแผลเป็นเรามีนั้นจางไวมากค่ะ
สิวตอนนี้หายไปหมด
ผดที่เคยเริ่มขึ้นมันก็ลดลงไปค่ะ
และก็โฟมล้างหน้าตัวนี้ ไม่ทำให้ล้างเสร็จแล้วหน้าแห้ง หน้าตึงจนแสบเหมือนของ TBS ค่ะ
//
สวัสดีค่ะ
วันนี้จะมารีวิวแบรนด์ที่เป็นตัวช่วยเวลาเราหน้าพังค่ะ
โดยในการรีวิวครั้งนี้จะมีการรีวิวผลิตภัณฑ์ 3 ตัวคือ DIORSNOW White Reveal Gentle Purifying Foam, DIORSNOW Fresh Creme Global Transparency และ DIORSKIN Star
โดยในการรีวิว จะมีภาพประกอบผลการใช้ของผลิตภัณฑ์เป็นระยะๆ ค่ะ เพื่อให้มองออกภึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพผิวค่ะ
ขอเกริ่นก่อนนะคะ
ปัญหาผิวหน้าของเราคือ มีอาการแห้งจากสภาพอากาศจนเป็นขุยๆ ทั่วใบหน้า และมีรอยดำ รอยแดงจากสิว รวมถึงมีปัญหาสิว เนื่องจากการเปลี่ยนโฟมล้างหน้า และผลิตภัณฑ์บพรุงผิวค่ะ
โดยส่วนตัว แบรนด์ที่ใช้ประจำคือ Dior แต่พอย้ายมาเรียนที่ประเทศนี้ เราเห็นเป็นถิ่นของ The Body Shop เลยซื้อหามาใช้ค่ะ สรุปหน้าพัง เลยกลับมาซบอก Dior เช่นเดิม
ภาพของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ซื้อมาในครั้งนี้นะคะ
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเราซื้อมาเมื่อวันที่ September 17, 2014 ค่ะ สนนราคาทั้งสิ้น £135 ค่ะโดยผลการใช้เราได้ถ่ายเป็นภาพของวันแรกที่เริ่มใช้
เซทต่อมา จะเป็นภาพตั้งแต่วันแรกที่จะเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ Foam และ Creme นะคะ แล้วไล่ๆ มา จะถ่ายทุก อาทิตย์ เกือบๆ 2 อาทิตย์คะ
โดยภาพชุดสุดท้ายที่นำมาลง คือภาพที่เราถ่ายเมื่อเวลา 03.30 am. November 1, 2014 ค่ะ
เราพึ่งถ่ายเมื่อคืนนี้หลังกลับมาจาก Halloween Party อาบน้ำ ล้างหน้าเสร็จ ยังไม่ได้ทาครีมก็มาถ่ายรูปไว้ทำ รีวิวเลย
สรุปผลในการใช้โฟมล้างหน้า และครีมบำรุงผิว เราบอได้เลยว่า 2 ตัวนี้ ยังคงเป็นตัวช่วยชีวิตเราได้ดีเสมอๆ จะกี่ครั้งๆ ที่ไปใช้แบรนด์อื่นจนหน้าแหกกลับมา ใช้แค่ 2 ตัวนี้ก็พอ เวลาแค่ 1 เดือนก็ฟื้นฟูสภาพผิวเรากลับมาได้มากกว่า 50% คือหลักๆ จะลดเรื่องอาการสิวไปได้อย่างมาก
แต่ก็เพราะขั้นตอนการล้างหน้าของเราด้วย เราค่อนข้างจะล้างหน้าแบบเนี้ยบมากๆ
คือ ค่อยๆ เอานิ้ววนๆ ล้างไปทีละจุดๆ โดยจะวนๆ ล้างจุดละ 200 ครั้ง เพราะเราเคยได้รับการบอกมาจาก BA ของ Dior ว่า การบำรุงผิวที่จะได้ผล ต้องบำรงบนหน้าที่ได้รับการทำความสะอาดมาอย่างดี เพราะครีมจะได้ลงไปบนผิวเราได้เต็มๆ เราเลยพยายามล้างหน้าเราให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และใช้ขั้นตอนน้อยที่สุด เพราะว่า เราเคยรักษาสิวมา หมอบอกว่าผิวอย่างเราการล้างหน้า และการทรีทเมนท์หลายๆ ขั้นตอน มันเป็นการรบกวนผิน ทำให้ผิวระคายเคืองได้ เราเลยตัดสเตปการล้างหน้าให้เหลือแค่ เช็ดเครื่องสำอาง และล้างหน้า เท่านี้จบค่ะ ส่วนครีมบำรุงผิว แต่ก่อนเราใช้หลายๆ ตัว แต่ตอนหลังมา เราพบว่า เลือกกระปุกที่ดีที่สุดของไลน์นั้นๆ แล้วใช้แค่ตัวเดียวมันก็ได้ผลดีมากเช่นกันค่ะ
ซึ่งอันนี้ก็อาจจะขึ้นกับแต่ละสภาพผิวของแต่ละบุคคลนะคะ แต่าำหรับเรามันเวิร์คมากๆ เลยค่ะ
//
ส่วนภาพต่อมา เป็นภาพผลการใช้รองพื้นตัวใหม่ค่ะ
จริงๆ แล้ว เราไม่ได้ต้องการซื้อรองพื้นตัวนี้เลยนะคะ แต่เนื่องจากวันที่ไปซื้อครีม และโฟม พนักงานบอกว่าเราซื้อของครบ £100 สามารถตรวจสภาพผิว และวัดเฉดสีฟิวเพื่อแมทกับรองพื้นได้ฟรีค่ะ ลองมั้ย อะไรแบบนั้น เราก็โอเค ลองค่ะ อยากรู้เหมือนกันจะทำยัง จะตรงกับสีที่เรามีอยู่มั้ย
ซึ่งพอวัดออกมามันตรง แล้วพนักงานก็บอกว่า เนี่ยลองเทสต์สีมั้ยว่าตรงป่าว แล้วเค้าก็เอาเจ้า DIORSKIN Star มาเทสท์ให้บนผิวค่ะ สีมันโอเคเลย ปกปิดดีเหมือนกันตัวรุ่น Capture Totale ที่เราใช้ค่ะ แต่ที่ดีกว่าคือ มันไม่ดูหนา ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และถ่ายรูปออกมาสวยกว่าค่ะ
ซึ่งรองพื้นตัวนี้ พนักงานขายบอกว่าเป็นรองพื้นที่ออกแบบมาเพื่อใช้บนรันเวย์ ใช้แบบถ่ายรูปค่ะ ซึ่งมันจะมีนวัตกรรมที่ทำให้เราผิวสวยผ่องดูดี
สอบถามราคาแล้วรับได้ ก็เลยเพิ่มมาอีกชิ้น
ส่วนด้านล่างนี้ จะเป็นการรีวิวนะคะ ว่าเราใช้รองพื้นนี้แบบไหน แล้วลุคที่ได้ออกมาเป็นอย่างไรค่ะ
โดยการใช้หากเราต้องหารให้แค่ปกปิด แต่ดูหน้าวาวๆ ดูผิวชุ่มชื้นดึ๋งๆ เราจะไม่ลงแป้งทับ ซึ่งจะออกมาได้ผลตามภาพที่อยู่ด้านซ้ายมือ
แต่หากเราต้องการให้ลุคออกมาหน้าไม่วาว แต่ดูกระจ่าง หน้าสว่างๆ เราจะเอาแป้งเม็ดเกอร์แลงค์มาปัดทับเลย จะได้ลุคของผิวแบบในภาพที่อยู่ตรงกลาง
และถ้าอยากให้หน้าเราดูปกปิดสุดๆ เน้นแต่งหน้าแบบ Full makeup เราก็จะลงแป้งโดยใช้พัฟกดๆ ให้เนียน แล้วก็ปัดทับด้วยแป้งเม็ดเกอร์แลงค์อีกหนึ่งรอบเบาๆ ซึ่งจะออกมาเป็นภาพทางด้านขวามือสุด
ขอบคุณที่รับชม Review นะคะ
หากมีการพิมพ์ผิดพลาด หรืออธิบายไม่ชัดเจนอย่างไร ขออภัยมา ณ ที่นี้
และหากสงสัยอะไรเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ค่ะ หากเราทราบคำตอบจะรีบมาตอบค่ะ