สวัสดีเพื่อน ๆ ppantip.com ค่ะ แนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ เจี๊ยบ ค่ะ ...
เรื่องที่อยากจะนำมาแชร์ในวันนี้เป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพ และเรื่องการวิ่งมาราธอน ที่เราหลงรัก นะคะ เผื่อเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจ ให้แก่คนอื่นได้หันมาดูแลสุขภาพได้บ้างค่ะ
เริ่มเลยนะคะ...
ย้อนไปในวัยเด็ก เจี๊ยบเป็นเด็ก ผอม แห้ง ผิวคล้ำ ไม่ทานผัก ไม่ทานผลไม้ ตอนย่างเข้าสู่วัยรุ่น ช่วงอายุ 15 – 16 ปี น้ำหนักมากสุด คือ 42 กิโลกรัม ส่วนสูง 163 ซม. จนเข้าสู่ช่วงวัยสาว น้ำหนักก็ไม่เคยเกิน 45 กก. ยังคงผอมมาตลอด ช่วงนั้นรู้สึกเป็นปมด้อยนะคะ เพราะบ้านอยู่ ตจว. เรียน ตจว. คน ตจว. จะไม่ค่อยนิยมคนตัวผอมๆ ค่ะ 5555++ ถูก Comment ตลอดว่าผอมเกินไป จนนอยด์ไปเลยอ่ะ
แล้วมีอยู่ครั้งนึงที่มีโอกาส ได้เข้ามาถ่ายภาพลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เพื่อพรีเซ็นต์งานกีฬาราชมงคล ทั่วประเทศ ซึ่งตอนนั้น ม. เราเป็นเจ้าภาพค่ะ มากันหลายคนนะคะ ส่วนใหญ่เค้าคัดคนสวยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเราติดโผมาได้อย่างไร 555++ (เราหน้าตาธรรมดาค่ะ) คุณครูพาพวกเราไปเดินสยามเซ็นต์เตอร์ หูยยย ตอนนั้นรู้สึกดีค่ะ มีแต่คนผอมๆ แขนเล็กๆ ขาเล็ก ๆ เหมือนเรา รู้สึกว่าเราไม่แตกต่าง และไม่แปลกประหลาดละ 55555+++ >>>> พานอกเรื่องนิดนุง
เราเรียนจบ ทำงาน หุ่นเราก็ยังเป็นเหมือนเดิมค่ะ คือ ผอม ๆ แห้ง ๆ ไร้เรี่ยวแรง แต่มันก็มีข้อดีอยู่อย่างนึง ก็คือ เวลาจะทำอะไรหนัก ๆ คนจะไม่ค่อยกล้าใช้เราค่ะ กลัวเราทำไม่ไหว หุหุ (ซึ่งมันก็ไม่ค่อยไหวจริง ๆ นะคะ แรงไม่มีอะ) แต่ก็ไม่ได้ป่วยบ่อยนะ
นิสัยอย่างนึงของเราก็คือ เราชอบเลี้ยงสัตว์ค่ะ ชอบมากกกกก เพราะที่บ้านปลูกฝังมาแบบนั้น เรามีสัตว์เลี้ยงที่ต้องดูแลรับผิดชอบตลอด ตั้งแต่เด็กจนโต จนกระทั่งทำงาน เราเลี้ยงสัตว์มาหลายประเภท เช่น นก, สุนัข, แมว, ตัวตุ่น, กระรอก ฯลฯ เยอะอะนะ ซึ่งมันก็เป็นข้อดีนะคะ ทำให้เรามีนิสัยอ่อนโยน รักสัตว์ รักเด็ก อิอิ
ช่วงที่เราอ่อนแอมาก ๆ คือ ตอนที่เลี้ยงน้องหมา ค่ะ น้องหมาพันธุ์ผสมพุดเดิ้ล ชิสุ ขนเค้ายาว คือเราเลี้ยงแบบลูก เพราะรับเค้ามาตั้งแต่เค้ายังไม่ครบ 2 เดือน เลยต้องเลี้ยงแบบเด็กอ่อน ตื่นมาป้อนนมเค้าตลอด ตอนกลางคืนก็แทบไม่ได้นอน และช่วงนั้นต้องทำงานหนัก ต้องอ่านหนังสือ เลยทำให้เรากลายเป็นโรคภูมิแพ้ค่ะ แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น มีน้ำมูกตลอด ช่วงอากาศเย็น ๆ หรือตอนนอนกลางคืน ก็หายใจไม่สะดวก ต้องพึ่งยาแก้แพ้ตลอด กลายเป็นโรคประจำตัวที่เราเป็น เรื้อรัง มาเรื่อย ๆ จนมันกลายเป็นส่วหนึ่งในชีวิต ที่คิดว่าคงไม่มีวันหายแล้ว ช่วงนั้นเราอายุ 28 ปี เรื่องออกกำลังกายคือ ไม่มีอยู่ในสมอง เลยค่ะ คิดเอาไว้ว่าจะออกกำลังกายตอนอายุ 30 ไปแล้วละกัน เพื่อให้ร่างกายเฟิร์มไม่อยากเหี่ยวๆ เผละ ๆ คิดตามประสาผู้หญิง ๆ เท่านั้น
จนวันนึง เรามีโอกาสได้เลี้ยงน้องหมา (อีกแล้ว) พันธุ์ชิวาว่า ค่ะ และตอนนั้น แฟนเราเค้าไม่อนุญาตให้เอาน้องหมาเข้ามาเลี้ยงในห้องได้ ต้องให้น้องอยู่นอกห้องค่ะ ปัญหาก็คือ ถ้าให้เค้าอยู่แต่พื้นที่แคบ ๆ เราก็สงสารค่ะ เลยตั้งใจว่า จะพาน้องหมาออกไปเดินเล่นทุก ๆ เช้า เพราะเค้าชอบวิ่งมาก และมีความสุขมาก เค้าจะยิ้มเลยค่ะ
นั่นเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เราต้องตื่นเช้ามาวิ่งทุกวัน แรก ๆ ก็วิ่งแค่นิดๆ หน่อยๆ ประมาณ 10 นาที ก็รู้สึกจุกๆ ที่ท้องน้อย วิ่งต่อไม่ไหว ก็ไม่วิ่งละ เราทำแบบนี้เป็นปี ๆ เลยนะคะ วิ่งเหยาะ ๆ พอเหนื่อยเท่านั้น เหงื่อไม่ออกค่ะ
วันนึงที่ทำงานเราก็มีชมรมวิ่ง และช่วงงานวิ่งพัทยามาราธอน คุณหมอในชมรมเค้าก็มาชักชวนกันไปวิ่ง ตอนนั้นเราคิดว่ายังไงเราก็วิ่งไม่ไหวหรอก จะบ้าเหรอ 10 กิโล วิ่งนิดเดียวยังเหนื่อยเลย แต่ความที่ถูกท้าทายมาก ๆ เข้าเราก็เลยลองค่ะ ไม่ไหวก็มากับรถพยาบาลละกัน 5555++ คิดแบบนั้นจริง ๆ
มินิมาราธอนแรก....
ไม่ได้เตรียมร่างกาย ไม่ได้ฝึกซ้อม วิ่งเพราะโดนท้า และมีใจที่พร้อมจะสู้เท่านั้น!! ช่วงเริ่มสตาร์ทเราตื่นเต้นมาก ผู้คนเยอะแยะ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยชรา มากันหมด พอปล่อยตัวเราก็เริ่มวิ่ง แล้วก็วิ่งของเราไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจใคร ก็ค่อย ๆ วิ่ง ไม่เร่งสปีด คิดว่าเอาให้ครบก็ดีที่สุดแล้วสำหรับเราในตอนนั้น กว่าที่จะผ่านไปได้ในแต่ละกิโลเมตร เป็นอะไรที่ท้าทายมาก ๆ ค่ะ บอกตัวเองตลอดว่า สู้นะๆ เราต้องไม่เดิน เพราะถ้าเดินแล้วเราจะไม่อยากวิ่งอีก เราจะไม่ยอมแพ้ และด้วยความที่เราค่อนข้างเป็นผู้หญิงถึก ๆ สมัยเด็ก ๆ ก็ลุย ๆ ผ่านงาน ผ่านความลำบากมาเยอะพอสมควร เลยทำให้เราค่อนข้างแกร่งค่ะ .......จนในที่สุดเราก็ผ่าน มินิมาราธอน 10.5 กม. มาได้ ด้วยความภาคภูมิใจสุด ๆ พอเข้าถึงเส้นชัยเราจำได้ เราชาไปทั้งตัวเลยค่ะ มันตึง ๆ ชา ๆ ไปหมด
เดี๋ยวมาต่อนะคะ.........
จากสาวผอมแห้งสู่การเป็นสาวสุขภาพดี
สวัสดีเพื่อน ๆ ppantip.com ค่ะ แนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ เจี๊ยบ ค่ะ ...
เรื่องที่อยากจะนำมาแชร์ในวันนี้เป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพ และเรื่องการวิ่งมาราธอน ที่เราหลงรัก นะคะ เผื่อเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจ ให้แก่คนอื่นได้หันมาดูแลสุขภาพได้บ้างค่ะ
เริ่มเลยนะคะ...
ย้อนไปในวัยเด็ก เจี๊ยบเป็นเด็ก ผอม แห้ง ผิวคล้ำ ไม่ทานผัก ไม่ทานผลไม้ ตอนย่างเข้าสู่วัยรุ่น ช่วงอายุ 15 – 16 ปี น้ำหนักมากสุด คือ 42 กิโลกรัม ส่วนสูง 163 ซม. จนเข้าสู่ช่วงวัยสาว น้ำหนักก็ไม่เคยเกิน 45 กก. ยังคงผอมมาตลอด ช่วงนั้นรู้สึกเป็นปมด้อยนะคะ เพราะบ้านอยู่ ตจว. เรียน ตจว. คน ตจว. จะไม่ค่อยนิยมคนตัวผอมๆ ค่ะ 5555++ ถูก Comment ตลอดว่าผอมเกินไป จนนอยด์ไปเลยอ่ะ
แล้วมีอยู่ครั้งนึงที่มีโอกาส ได้เข้ามาถ่ายภาพลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เพื่อพรีเซ็นต์งานกีฬาราชมงคล ทั่วประเทศ ซึ่งตอนนั้น ม. เราเป็นเจ้าภาพค่ะ มากันหลายคนนะคะ ส่วนใหญ่เค้าคัดคนสวยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเราติดโผมาได้อย่างไร 555++ (เราหน้าตาธรรมดาค่ะ) คุณครูพาพวกเราไปเดินสยามเซ็นต์เตอร์ หูยยย ตอนนั้นรู้สึกดีค่ะ มีแต่คนผอมๆ แขนเล็กๆ ขาเล็ก ๆ เหมือนเรา รู้สึกว่าเราไม่แตกต่าง และไม่แปลกประหลาดละ 55555+++ >>>> พานอกเรื่องนิดนุง
เราเรียนจบ ทำงาน หุ่นเราก็ยังเป็นเหมือนเดิมค่ะ คือ ผอม ๆ แห้ง ๆ ไร้เรี่ยวแรง แต่มันก็มีข้อดีอยู่อย่างนึง ก็คือ เวลาจะทำอะไรหนัก ๆ คนจะไม่ค่อยกล้าใช้เราค่ะ กลัวเราทำไม่ไหว หุหุ (ซึ่งมันก็ไม่ค่อยไหวจริง ๆ นะคะ แรงไม่มีอะ) แต่ก็ไม่ได้ป่วยบ่อยนะ
นิสัยอย่างนึงของเราก็คือ เราชอบเลี้ยงสัตว์ค่ะ ชอบมากกกกก เพราะที่บ้านปลูกฝังมาแบบนั้น เรามีสัตว์เลี้ยงที่ต้องดูแลรับผิดชอบตลอด ตั้งแต่เด็กจนโต จนกระทั่งทำงาน เราเลี้ยงสัตว์มาหลายประเภท เช่น นก, สุนัข, แมว, ตัวตุ่น, กระรอก ฯลฯ เยอะอะนะ ซึ่งมันก็เป็นข้อดีนะคะ ทำให้เรามีนิสัยอ่อนโยน รักสัตว์ รักเด็ก อิอิ
ช่วงที่เราอ่อนแอมาก ๆ คือ ตอนที่เลี้ยงน้องหมา ค่ะ น้องหมาพันธุ์ผสมพุดเดิ้ล ชิสุ ขนเค้ายาว คือเราเลี้ยงแบบลูก เพราะรับเค้ามาตั้งแต่เค้ายังไม่ครบ 2 เดือน เลยต้องเลี้ยงแบบเด็กอ่อน ตื่นมาป้อนนมเค้าตลอด ตอนกลางคืนก็แทบไม่ได้นอน และช่วงนั้นต้องทำงานหนัก ต้องอ่านหนังสือ เลยทำให้เรากลายเป็นโรคภูมิแพ้ค่ะ แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น มีน้ำมูกตลอด ช่วงอากาศเย็น ๆ หรือตอนนอนกลางคืน ก็หายใจไม่สะดวก ต้องพึ่งยาแก้แพ้ตลอด กลายเป็นโรคประจำตัวที่เราเป็น เรื้อรัง มาเรื่อย ๆ จนมันกลายเป็นส่วหนึ่งในชีวิต ที่คิดว่าคงไม่มีวันหายแล้ว ช่วงนั้นเราอายุ 28 ปี เรื่องออกกำลังกายคือ ไม่มีอยู่ในสมอง เลยค่ะ คิดเอาไว้ว่าจะออกกำลังกายตอนอายุ 30 ไปแล้วละกัน เพื่อให้ร่างกายเฟิร์มไม่อยากเหี่ยวๆ เผละ ๆ คิดตามประสาผู้หญิง ๆ เท่านั้น
จนวันนึง เรามีโอกาสได้เลี้ยงน้องหมา (อีกแล้ว) พันธุ์ชิวาว่า ค่ะ และตอนนั้น แฟนเราเค้าไม่อนุญาตให้เอาน้องหมาเข้ามาเลี้ยงในห้องได้ ต้องให้น้องอยู่นอกห้องค่ะ ปัญหาก็คือ ถ้าให้เค้าอยู่แต่พื้นที่แคบ ๆ เราก็สงสารค่ะ เลยตั้งใจว่า จะพาน้องหมาออกไปเดินเล่นทุก ๆ เช้า เพราะเค้าชอบวิ่งมาก และมีความสุขมาก เค้าจะยิ้มเลยค่ะ
นั่นเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เราต้องตื่นเช้ามาวิ่งทุกวัน แรก ๆ ก็วิ่งแค่นิดๆ หน่อยๆ ประมาณ 10 นาที ก็รู้สึกจุกๆ ที่ท้องน้อย วิ่งต่อไม่ไหว ก็ไม่วิ่งละ เราทำแบบนี้เป็นปี ๆ เลยนะคะ วิ่งเหยาะ ๆ พอเหนื่อยเท่านั้น เหงื่อไม่ออกค่ะ
วันนึงที่ทำงานเราก็มีชมรมวิ่ง และช่วงงานวิ่งพัทยามาราธอน คุณหมอในชมรมเค้าก็มาชักชวนกันไปวิ่ง ตอนนั้นเราคิดว่ายังไงเราก็วิ่งไม่ไหวหรอก จะบ้าเหรอ 10 กิโล วิ่งนิดเดียวยังเหนื่อยเลย แต่ความที่ถูกท้าทายมาก ๆ เข้าเราก็เลยลองค่ะ ไม่ไหวก็มากับรถพยาบาลละกัน 5555++ คิดแบบนั้นจริง ๆ
มินิมาราธอนแรก....
ไม่ได้เตรียมร่างกาย ไม่ได้ฝึกซ้อม วิ่งเพราะโดนท้า และมีใจที่พร้อมจะสู้เท่านั้น!! ช่วงเริ่มสตาร์ทเราตื่นเต้นมาก ผู้คนเยอะแยะ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยชรา มากันหมด พอปล่อยตัวเราก็เริ่มวิ่ง แล้วก็วิ่งของเราไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจใคร ก็ค่อย ๆ วิ่ง ไม่เร่งสปีด คิดว่าเอาให้ครบก็ดีที่สุดแล้วสำหรับเราในตอนนั้น กว่าที่จะผ่านไปได้ในแต่ละกิโลเมตร เป็นอะไรที่ท้าทายมาก ๆ ค่ะ บอกตัวเองตลอดว่า สู้นะๆ เราต้องไม่เดิน เพราะถ้าเดินแล้วเราจะไม่อยากวิ่งอีก เราจะไม่ยอมแพ้ และด้วยความที่เราค่อนข้างเป็นผู้หญิงถึก ๆ สมัยเด็ก ๆ ก็ลุย ๆ ผ่านงาน ผ่านความลำบากมาเยอะพอสมควร เลยทำให้เราค่อนข้างแกร่งค่ะ .......จนในที่สุดเราก็ผ่าน มินิมาราธอน 10.5 กม. มาได้ ด้วยความภาคภูมิใจสุด ๆ พอเข้าถึงเส้นชัยเราจำได้ เราชาไปทั้งตัวเลยค่ะ มันตึง ๆ ชา ๆ ไปหมด
เดี๋ยวมาต่อนะคะ.........