เรื่องนี้เกิดกับตัวผมเองเลยครับ
ผมประกอบธุรกิจมาร่วม10ปีผ่านร้อนหนาวมาตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจปีที่1-5เคยสมัครบัตรเครดิต
บัตรสินเชื่อเงินสด อิออน เฟริสชอย อีซี่บาย ในสมัยนั้น เรียกได้ว่าสมัครมันแทบทุกที่ทุกธนาคาร
ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก แถมอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจต้องการเงินหมุนเวียนในระบบ
แต่เพิ่งจดทะเบียนการค้าแถมตอนนั้นยังไม่มีหลักทรัพย์เป็นของตนเองเลยยังไม่สามารถยืนกู้เงินธนาคารใดๆได้ครับ
ช่วงนั้นพอรู้พอเข้าใจลึกซึ่งถึงบัตรสินเชื่อเงินด่วนเหล่านี้!! รับทราบถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างดี.....แต่ก็ไม่เคยเสียเครดิตบูโรหรือมีประวัติการชำระเงินไม่ดีเลย
ครั้นถึงปีที่5ธุรกิจเริ่มเข้าที่เข้าทางและมีหลักทรัพย์เป็นของต้นเอง เลยตัดปัญหาเหล่านั้นออกไปคงเหลือบัตรเครดิตเพียงแค่ไม่กี่ธนาคารมีกสิกรไทยกับ.กรุงเทพ
และเมื่อ3ปีที่แล้วได้นำพาธุรกิจเข้าระบบด้วยการนำหลักทรัพย์เข้าธนาคารเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ(5ล้านบาท)
จนเมื่อปีก่อน2555ตัดสินใจลดภาระตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น(ให้เหลือผ่อนธนาคารเดียว)โดยการจ่ายเงินชำระค่าบัตรเครดิตธ.กรุงเทพ(มีวงเงิน6หมื่นบาท)
โดยจ่ายเงินเพื่อปิดบัญชีทั้งหมด แต่ไม่ได้ขอปิดบัตร (เพราะไปถามจนท.ที่ธนาคารบอกว่าต้องโทรไปปิดบัตรเองและบัตรกำลังจะหมดอายุในเดือนนั้นด้วย ถ้าธนาคารส่งใบใหม่มาก็ไม่ต้องเปิดใช้ก็จบ)
ชำระจนเหลือภาระหนี้0บาท(31/10/2555)
และเดือนต่อมามียอดแจ้งให้ชำระหนี้อีก728บาท(ผมก็ไปชำระ30/11/2555 คิดว่าคงเป็นดอกเบี้ย)
และอีก1เดือนต่อมามีใบแจ้งยอดมาอีก729(ผมก็ไปจ่ายตามกำหนด1เดือน31/12/2555 คิดว่าคงเป็นค่าธรรมเนียม)แต่เริ่มเอะใจ!!
เดือนต่อมามียอดเงินให้ไปจ่ายอีก730( ด้วยความชะล่าใจคิดว่าเป็นใบแจ้งอันเดิมที่ชำระไปแล้วจึงไม่ได้ไปจ่าย)
ผลปรากฎว่าผ่านไปร่วม3เดือน(ผมคิดว่าปิดบัญชีซึ่งบัตรหมดอายุไปแล้ว)มีจนท.ธนาคารโทรมาครับ โทรให้ไปชำระยอดเงินที่เหลืออีก730บาท!!
!!ค่าอะไรหว่า!! (ผมกลัวติดเครดิตบูโร ถามพนักงานว่ายอดนี้สุดท้ายจริงๆใช่ไหม ก็รีบไปจ่ายเงินให้เรียบร้อยโดยลืมถามว่าเป็นค่าอะไร)
แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผมติดเครดิตบูโรเพราะยอดเงินจากบัตรเครดิตที่คิดว่าปิดแล้ว!!แต่ไม่ได้ปิด!!จำนวน730บาท!!
ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ผ่านไป2ปีผมยังไม่รู้เลยว่ายอดเงิน730บาทที่ธนาคารโทรมาทวงคือค่าอะไร?แล้วยอดที่ผมชำระ728บาทกับ729บาทก่อนหน้านั้นล่ะ?
ทั้งที่แท้จริงแล้วผมตั้งใจเป็นคนปิดบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพเอง กลับกลายเป็นว่าติดเครดิตบูโรและธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ปิดบัญชีผม(เนื่องจากมีประวัติค้างชำระเกิน3เดือน)
และเพียงเพราะยอดนี้ วันนี้มีผลทำให้ผมขอวงเงินกู้เพื่อมาหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มไม่ได้(หากยังใช้หลักทรัพย์เดิมเพื่อขอเพิ่มวงเงินกับธ.กสิกรไทย)
จึงอยากสอบถามพี่ๆทุกท่านครับว่ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับกรณีนี้และเรื่องนี้พอมีทางออกยังไงบ้างครับ(ไม่เคยติดเครดิตบูโรมาก่อน)
ตอนนี้เกิดปัญหาคือไม่สามารถขอกู้เงินเพื่อมาหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มได้ครับ(จนท.บอกต้องหาหลักทรัพย์มาเพิ่มเท่านั้นซึ่งไม่มี)ส่วนบสย.ก็ให้ค้ำไม่ได้ครับเพราะติดเรื่องนี้เหมือนกัน
พี่ๆคิดว่าผมควรทำยังไงครับ และเรื่องนี้พอมีทางออกไหมครับ ขอบคุณครับ
ปล.กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกและกระทู้เดียวของผมในห้องสินธร รบกวนพี่ๆทุกคนด้วยน่ะครับ ตอนนี้ส่วนตัวค่อนข้างเคลียดด้วยครับเพราะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ (ขอรับรองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงทุกประการมีเอกสารยืนยันครับ)
****เมื่อเรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่อง(บัตรเครดิต)****
ผมประกอบธุรกิจมาร่วม10ปีผ่านร้อนหนาวมาตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจปีที่1-5เคยสมัครบัตรเครดิต
บัตรสินเชื่อเงินสด อิออน เฟริสชอย อีซี่บาย ในสมัยนั้น เรียกได้ว่าสมัครมันแทบทุกที่ทุกธนาคาร
ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก แถมอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจต้องการเงินหมุนเวียนในระบบ
แต่เพิ่งจดทะเบียนการค้าแถมตอนนั้นยังไม่มีหลักทรัพย์เป็นของตนเองเลยยังไม่สามารถยืนกู้เงินธนาคารใดๆได้ครับ
ช่วงนั้นพอรู้พอเข้าใจลึกซึ่งถึงบัตรสินเชื่อเงินด่วนเหล่านี้!! รับทราบถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างดี.....แต่ก็ไม่เคยเสียเครดิตบูโรหรือมีประวัติการชำระเงินไม่ดีเลย
ครั้นถึงปีที่5ธุรกิจเริ่มเข้าที่เข้าทางและมีหลักทรัพย์เป็นของต้นเอง เลยตัดปัญหาเหล่านั้นออกไปคงเหลือบัตรเครดิตเพียงแค่ไม่กี่ธนาคารมีกสิกรไทยกับ.กรุงเทพ
และเมื่อ3ปีที่แล้วได้นำพาธุรกิจเข้าระบบด้วยการนำหลักทรัพย์เข้าธนาคารเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ(5ล้านบาท)
จนเมื่อปีก่อน2555ตัดสินใจลดภาระตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น(ให้เหลือผ่อนธนาคารเดียว)โดยการจ่ายเงินชำระค่าบัตรเครดิตธ.กรุงเทพ(มีวงเงิน6หมื่นบาท)
โดยจ่ายเงินเพื่อปิดบัญชีทั้งหมด แต่ไม่ได้ขอปิดบัตร (เพราะไปถามจนท.ที่ธนาคารบอกว่าต้องโทรไปปิดบัตรเองและบัตรกำลังจะหมดอายุในเดือนนั้นด้วย ถ้าธนาคารส่งใบใหม่มาก็ไม่ต้องเปิดใช้ก็จบ)
ชำระจนเหลือภาระหนี้0บาท(31/10/2555)
และเดือนต่อมามียอดแจ้งให้ชำระหนี้อีก728บาท(ผมก็ไปชำระ30/11/2555 คิดว่าคงเป็นดอกเบี้ย)
และอีก1เดือนต่อมามีใบแจ้งยอดมาอีก729(ผมก็ไปจ่ายตามกำหนด1เดือน31/12/2555 คิดว่าคงเป็นค่าธรรมเนียม)แต่เริ่มเอะใจ!!
เดือนต่อมามียอดเงินให้ไปจ่ายอีก730( ด้วยความชะล่าใจคิดว่าเป็นใบแจ้งอันเดิมที่ชำระไปแล้วจึงไม่ได้ไปจ่าย)
ผลปรากฎว่าผ่านไปร่วม3เดือน(ผมคิดว่าปิดบัญชีซึ่งบัตรหมดอายุไปแล้ว)มีจนท.ธนาคารโทรมาครับ โทรให้ไปชำระยอดเงินที่เหลืออีก730บาท!!
!!ค่าอะไรหว่า!! (ผมกลัวติดเครดิตบูโร ถามพนักงานว่ายอดนี้สุดท้ายจริงๆใช่ไหม ก็รีบไปจ่ายเงินให้เรียบร้อยโดยลืมถามว่าเป็นค่าอะไร)
แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผมติดเครดิตบูโรเพราะยอดเงินจากบัตรเครดิตที่คิดว่าปิดแล้ว!!แต่ไม่ได้ปิด!!จำนวน730บาท!!
ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ผ่านไป2ปีผมยังไม่รู้เลยว่ายอดเงิน730บาทที่ธนาคารโทรมาทวงคือค่าอะไร?แล้วยอดที่ผมชำระ728บาทกับ729บาทก่อนหน้านั้นล่ะ?
ทั้งที่แท้จริงแล้วผมตั้งใจเป็นคนปิดบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพเอง กลับกลายเป็นว่าติดเครดิตบูโรและธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ปิดบัญชีผม(เนื่องจากมีประวัติค้างชำระเกิน3เดือน)
และเพียงเพราะยอดนี้ วันนี้มีผลทำให้ผมขอวงเงินกู้เพื่อมาหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มไม่ได้(หากยังใช้หลักทรัพย์เดิมเพื่อขอเพิ่มวงเงินกับธ.กสิกรไทย)
จึงอยากสอบถามพี่ๆทุกท่านครับว่ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับกรณีนี้และเรื่องนี้พอมีทางออกยังไงบ้างครับ(ไม่เคยติดเครดิตบูโรมาก่อน)
ตอนนี้เกิดปัญหาคือไม่สามารถขอกู้เงินเพื่อมาหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มได้ครับ(จนท.บอกต้องหาหลักทรัพย์มาเพิ่มเท่านั้นซึ่งไม่มี)ส่วนบสย.ก็ให้ค้ำไม่ได้ครับเพราะติดเรื่องนี้เหมือนกัน
พี่ๆคิดว่าผมควรทำยังไงครับ และเรื่องนี้พอมีทางออกไหมครับ ขอบคุณครับ
ปล.กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกและกระทู้เดียวของผมในห้องสินธร รบกวนพี่ๆทุกคนด้วยน่ะครับ ตอนนี้ส่วนตัวค่อนข้างเคลียดด้วยครับเพราะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ (ขอรับรองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงทุกประการมีเอกสารยืนยันครับ)