แนะนำหนังดี FURY - หนังสงครามที่ตรึงอารมณ์ มีชั้นเชิงในการนำเสนอได้อย่างน่าประทับใจ (มีส่วนที่สปอยส์และไม่สปอยส์)



No.40

จั่วหัว : หนังสงครามระห่ำเดือดเลือดพล่านที่แฝงแง่คิดไว้อย่างยอดเยี่ยม เล่าเรื่องมีชั้นเชิง และมีการแสดงที่เรียกได้ว่าจัดเต็ม คุณภาพถึกสมบุกสมบันจริงๆ

FURY : วันปฐพีเดือด

คมนิด จี๊ดเลย : "วันเวลาและประสบการณ์ จะหล่อหลอมให้เราเรียนรู้ชีวิตได้มากกว่าเดิม"

Napat's Rating : (A) , 9.5/10



Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans


- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -


OVERVIEW (No Spoiled) : จัดว่าเป็นหนังที่มาเนิบๆไม่ได้อะไรมาก แต่มีช่วงองค์หลังที่เรียกได้ว่าพีคโคตรพ่อโคตรแม่สุดๆจัดเต็มไปเลยจริงๆสำหรับหนังที่ชื่อว่า FURY เรื่องนี้

นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูจบออกมา แล้วไปไม่เป็น เรียบเรียงคะแนนไม่ถูกเลยทีเดียวในช่วงแรก เพราะตัวหนังมันมีอะไรให้พูดถึงค่อนข้างเยอะมาก

และการนำเสนอของหนังนั้นนอกจากจะมีความสมจริง เอฟเฟค เสียงระทึกใจแล้ว ตัวบทและการเล่าเรื่องยังทำได้มีชั้นเชิงและดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตั้งแต่ซีนกลางเรื่องขึ้นไปยันหนังจบ หนังเริ่มพีคขึ้นเรื่อยๆหลังจากนั้น

อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังรวมดาวเด่นๆทางด้านการแสดงหลายคน เริ่มจากหัวหอกอย่างแบรต พิทท์ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุณภาพ เฮียมาเต็มอยู่แล้ว

ที่ผมรู้สึกทึ่งและที่โดดเด่นในหนังคงจะเป็น ไชอา ลาบัฟ (พระเอกทรานฟอร์เมอร์สคนเก่า) และโลแกน เลอแมน (เพอร์ซี่ แจ๊คสัน) เรียกได้ว่านี่น่าจะเป็นบทที่มาสเตอร์พีซสำหรับทั้งคู่เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะคนหลัง ให้ตายสิ ไม่เคยเห็นโลแกน เลอแมนถูกปู้ยี้ปู้ยำเป็นเด็กต๊อกต๋อยแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ (เดี๋ยวจะไปพูดถึงในส่วนของการรีวิวเต็มๆ)

ในเรื่องของการกำกับ จังหวะต่างๆก็ดีมาก เรียกได้ว่าผู้กำกับเดวิด เอเยอร์เอาอยู่หมัด เรื่องฉาก เซตติ้งก็ทำได้ดี และที่โดดเด่นอีกอย่างซึ่งผมชอบมากคือสกอร์ดนตรีประกอบที่ขึงขัง เร้าอารมณ์ ชวนลุ้นระทึกแบบไม่นิ่งนอนใจได้ตลอดเรื่อง ซึ่งพอดูชื่อก็ถึงบางอ้อ เพราะเขาคนนี้เพิ่งจะคว้าออสการ์ไปจากการทำดนตรีให้กับ GRAVITY เมื่อปีที่แล้วนี่เอง นั่นคือ สตีเวน ไพรซ์ ขอปรบมือให้ครับ

โดยรวมขอแนะนำให้ไปดูกันนะครับ หนังค่อนข้างดูไม่ยาก มีชั้นเชิงการนำเสนอที่ยอดเยี่ยม และหนังสร้างบรรยากาศสงครามได้พีค ลุ้นระทึก มีการแสดงที่ตรึงถึงอารมณ์ครับ และคิดดูว่าเล่นกับประเด็นในเรื่องของรถถังเพียงแค่นั้น พูดง่ายๆคือ เราอาจจะเคยเห็นหนังสงครามที่จะเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพ ทหาร การรบ เครื่องบิน แต่นี่มันเล่นโฟกัสเหตุการณ์ของทหารที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในรถถังเยี่ยงบ้าน และต้องออกรบในสงครามโลกครั้งที่สอง

วีรกรรมของคนกลุ่มนี้บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา

ถ้าไม่เชื่อก็ไปดูเอง ไม่ก็อ่านรีวิวด้านล่างที่จะเป็นบทความเต็มๆของผมไปก่อนก็ได้ แต่อาจมีสปอยส์กันพอสมควรนะครับ แต่ถ้าไม่กลัวก็อ่านได้ เพราะไปดูหนังมันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบนอกจากอ่าน แต่ถ้ากลัวก็ข้ามไปเลยนะครับ

.

.

.

REVIEW (Spoiled) : "จะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าบ้านของเราอยู่ในสมรภูมิ?"

หนังเรื่องนี้กำลังพูดถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นทหารสังกัดภาคพื้นดิน และต้องประจำการอยู่ในรถถังที่มีชื่อว่า FURY ซึ่งทหารกลุ่มนี้ได้ชื่อว่าถึกและอึดพอๆกับรถ

แต่แล้วก็มีคนในหน่วยตายไปคนนึง ทางการจึงต้องส่งคนมาแทน

และไม่รู้ด้วยเหตุผลใดที่จู่ๆก็จับพลัดจับพลูส่งเด็กหนุ่มต๊อกต๋อยที่ดูเรียบร้อย เป็นเสมียนกองทัพ และไม่เคยฆ่าใคร แถมยังเคร่งต่อศาสนา มีใจรักคุณธรรมมาสังกัดหน่วยนี้

เด็กหนุ่มคนนี้นามว่า นอร์แมน (แสดงโดยโลแกน เลอแมน)

เลยต้องเจอพ่อใหญ่รับน้องกันหน่อย คงจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก แบรต พิตต์ ในบท War Daddy มิสเตอร์เจ้าพ่อแห่งสงคราม ผู้ซึ่งเป็นหัวหอกแห่งรถถังFURY

แรกเริ่มเดิมที นอร์แมน แทบจะทำให้หน่วยเสียงานเสียการเนื่องจากในสนามจริง

เขาไม่กล้ายิง!!???

เพราะเห็นว่าศัตรูเป็นเพียงเด็กน้อยที่ถูกเกณฑ์มาออกรบ

จนวอร์แดดดี้ต้องมัดมือชกสอนให้ฆ่าเชลยศึก ทั้งๆที่นอร์แมนไม่เต็มใจเลยสักนิด

เพราะเขามีคุณธรรมในใจ ไม่ต้องการฆ่าใครใดๆทั้งนั้นจนแทบจะประสาทแตกกันในสงคราม

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้เรียนรู้ว่า

ไม่ว่าจะเด็ก จะเป็นสตรี จะเป็นคนแก่

ถึงเวลาเมื่ออกรบบนสนาชีวิต มีแค่เราต้องฆ่าเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็ฆ่าเราเท่านั้น

ซึ่งนั่นเป็นความโหดร้ายที่เขาต้องรับรู้เอาไว้

โลกเราก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

เต็มไปด้วยการแข่งขัน การห้ำหั่น และเอาชนะ

จนเกิดคำกล่าวที่ว่า อุดมการณ์คือสันติ ส่วนประวัติศาสตร์คือความรุนแรง

และปัญหาก็คือ อุดมการณ์มันก็เป็นเหมือนความหวังเลือนลางและไม่มีอยู่จริง

__________________________________________________________


มีซีนช่วงกลางเรื่องที่ดีมากๆที่ขอพูดถึงซะหน่อย

นั่นคือซีนช่วงที่วอร์แดดดี้พานอร์แมนเข้ามาในบ้านหลังนึงของเมืองที่ยึดมาได้

ซึ่งได้พบหญิงสาวฝ่ายศัตรูสองคนที่หลบซ่อนอยู่

วอร์แดดดี้ได้ปฏิบัติกับเธอทั้งสองด้วยความเคารพและให้เกียรติ

ไม่ได้จะเอาปืนจี้เธอ แต่กลับชวนเธอเหล่านั้นคุย ทำอาหารกินกัน และทำอะไรสัพเพเหระ

จนนอร์แมนได้มาเล่นเปียโนที่ตั้งอยู่บริเวณนั้น หญิงสาวคนนึงจึงร้องเพลงๆนึงขึ้นมา

แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ว่างๆ จุดเล็กๆที่เป็นจุดที่เรายืนอยู่ร่วมกันได้

พื้นที่เล็กๆในช่วงเวลาสั้นๆที่ไร้ซึ่งฝักฝ่าย

มีเพียงความเป็นมนุษย์ที่เราสามารถมอบความหวังและกำลังใจให้กันได้

แม้จะทำได้เพียงช่วงสั้นๆ

เพราะในเวลาต่อมา ก็มีทหารลูกทีมเข้ามาปั่นป่วนให้เสียบรรยากาศ

และสุดท้ายความจริงที่น่าเศร้าที่สุดคือ

เมื่อหมดช่วงเวลาสั้นๆ ในพื้นที่เล็กๆ เศษเสี้ยวของความเป็นมิตรภาพแล้ว

เมื่อเท้าของแต่ละฝ่ายก้าวออกจากเส้นรอบวงส่วนนี้

เราก็ต้องกลับไปเป็นศัตรูกันดังเดิม

ต้องรบรา ฆ่าฟัน จนนำมาซึ่งความสูญเสียและโศกนาฏกรรม

ซึ่งสิ่งนี้เอง อาจจะเป็นสิ่งที่วอร์แดดดี้ต้องการจะสอนให้กับนายทหารอย่างนอร์แมน

ว่าการผูกมิตรในสงครามนั้น ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนได้เลย

สุดท้าย ไม่เราก็เขาที่ต้องฆ่ากันตายจนฝ่ายนึงหายไป

นั่นจึงลากยาวไปถึงประเด็นช่วงท้ายเรื่อง

ที่รถถังจอมอึดอย่างFURYเริ่มเข้าตาจน

พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน

รบเคียงบ่าเคียงไหล่จนถึงนาทีสุดท้าย

จวบจนถึงกาลที่เราต้องตายจากกันไป

แต่ด้วยความที่คราวเคราะห์ยังมาไม่ถึงเจ้าเด็กหนุ่มนอร์แมน

เขาก็ได้พบบทเรียนที่มีค่าที่สุดในชีวิตเขาเช่นกัน

และเป็นบทเรียนที่วอร์แดดดี้ไม่ได้สอน!!

คืออะไร?

มันเป็นฉากเล็กๆมาก หลังจากที่นอร์แมนหลบมาจากการตามล่าของพวกนาซีได้

และซ่อนตัวอยู่ใต้รถถัง

จู่ๆระหว่างมีการเดินทัพ มีทหารคนนึงส่องไฟมาเจอนอร์แมนพอดี

วินาทีนั้น นอร์แมนมองทหารด้วยความที่สิ้นหวัง

และคิดว่าตนคงไม่มีทางรอดจากงานนี้เป็นแน่แท้

แต่จู่ๆ ทหารคนนั้นก็ดับไฟฉายลง และเดินจากไปพร้อมกับขบวนทหารคนอื่น

ปล่อยให้นอร์แมนนอนหลบอยู่ตรงนั้นจนสามารถพ้นภัยได้ในที่สุด

ให้ตายสิ ผมขนลุกเลยครับ

แสดงว่าสิ่งที่วอร์แดดดี้พร่ำสอนมาตลอดทั้งเรื่อง มันอาจไม่เป็นจริงเสมอไป

ในสงคราม มันอาจไม่ได้มีเพียง เราฆ่าเขา เขาฆ่าเรา เพียงอย่างเดียว

แต่ในสงคราม มันยังคงมีพื้นที่เล็กๆของคำว่ามิตรภาพ ความหวังและกำลังใจอยู่

ซึ่งนั่นอาจจะมาจากอุดมการณ์ที่มากพอที่เราเลือกที่จะสร้างให้เกิด "สันติ" ได้จริงๆสักครั้ง

และสิ่งนี้แหละคือการที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยอุดมการณ์และยุติซึ่งความรุนแรง

เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน

ก็คงไม่มีใครอยากมีบ้านอยู่ที่สมรภูมิตลอดไป จริงไหมครับ?

.

.

.

.

.

.

.

.

จบสปอยส์






สุดท้ายนอกเรื่องหน่อย ขอฝากผลงานหนังสั้นเรื่องใหม่ด้วยนะครับ หนังสั้น "GEN A" มาจากคำว่า Generation Active

เป็นหนังสั้นที่สร้างจากเรื่องจริง ของคนที่มีใจอาสาอยากทำสิ่งดีๆให้กับโลกนี้ อยากให้ลองสละเวลาสักนิดมาชมกันครับ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

มีดนตรีประกอบ(การอ่าน?) "FURY"มาให้ฟังชิมลางดูครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ

ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม

ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!


https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่