Fury (David Ayer,2014) คะแนน B
By Form Corleone
“ศักดิ์ศรี มิตรภาพ อุดมการณ์” สำหรับ “Fury” คือหนังสงครามแบบบ้าดีเดือดเรื่องหนึ่ง ไม่ต้องเจาะประเด็นเนื้อหา สาระ อะไร เพราะหนังโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของหน่วยรถถัง ที่อาศัยรถถังเป็นอาวุธในการทำสงคราม ความสนุกของตัวหนังถือว่าเอาอยู่มากๆครับ บวกทั้งความมันส์แบบบ้าดีเดือดไม่กลัวตายก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ลุ้นได้บางช่วงเวลา ประโยคที่ชอบคงจะเป็น “อุดมการณ์คือสันติ ประวัติศาสตร์คือความรุนแรง” ฟังแล้วเจ็บปวด เหมือนตัวหนังกำลังบอกไบ้คนดูว่าที่เรากำลังดูอยู่นั้น คือ “ประวัติศาสตร์” และมันจะไม่ได้ถูกตีค่าราคาเป็นสิ่งอื่นใดนอกจาก “ความรุนแรง” หรือ “ความสูญเสีย รวมทั้งการจากลา”
ภาพรวมของ Fury จัดว่าเป็นหนังแนวแอคชั่นแบบตายตัว แต่แฝงไปด้วยความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครได้อย่างลงตัว แน่นอนที่สุดสำหรับหนังสงคราม ความสัมพันธ์ระหว่าง มิตรสหายท่ามกลางสงครามอันดุเดือดย่อมมีให้เห็นได้ในหนังสงครามทั่วไป แต่จุดเด่นของ “Fury” คือการยกยกระดับตัวละครทุกตัวให้เท่าเทียมกัน ไม่มีตัวไหนเด่นไปกว่ากัน ทุกตัวละครเชื่อมโยงกันหมด ผมชอบที่หนังเล่นกับรายละเอียดเล็กๆน้อยจากความสัมพันธ์ จนกลายเป็นมิตรภาพภายใต้ “รถหุ้มเกาะ” ไม่เพียงแค่นักแสดงที่ตบเท้ากันมาแบบเต็มชุดและฉากการยิงกันแบบเต็มสตรีมแล้ว Fury ยังสอดแทรกประเด็นศีลธรรมและความดีงามลงไปด้วย แม้หนังจะย้ำเตือนแนวคิดว่า “ศีลธรรมเกิดขึ้นหลังสงคราม” แต่อย่างน้อยคำว่า “ศีลธรรมและความดี” ก็ถูกยกมาตอนหลังและเป็นสิ่งที่ดีงามมากเลยครับ
ฉากและภาพ องค์ประกอบ ทำได้ดีในงานศิลป์ บวกทั้งการแสดงของเหล่านักแสดงก็ถ่ายทอดอารมณ์กันได้ถึงพริกถึงขิงกันหมดทุกคน ต้องยอมรับว่าถ้าไม่ได้พลังของเหล่านักแสดง งานนี้คงพึ่งแค่ลูกกระสุนอย่างเดียวไม่ได้แน่ๆ ทำได้น่าชื่นชมครับ ความรุนแรงของสงครามและความสูญเสียเป็นเครื่องหมายการค้าของหนังสงคราม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอดตลอดทั้งเรื่อง แม้พล็อตเรื่องของ Fury จะไม่ได้มีอะไรเลย แต่การบอกเล่าเรื่องราวความโหดร้ายของสงครามก็น่าเศร้ามากๆครับ และสิ่งนั้นเองคงเป็นสิ่งที่ตัวหนังพยายามบอกเราอยู่
สุดท้าย Fury คือหนังแอคชั่นสงครามแต่แฝงไปด้วยแนวคิดแบบคมคายและมีเสน่ห์เอามากๆ ความมันส์คงต้องยอมรับว่ามันส์สะใจ ไม่ว่าด้วยเหตุผลสิ่งอื่นใดโลกควรพบเจอกับสันติภาพมากกว่าสงคราม และการจากลาในช่วงสงครามคือการเดินทางคนเดียวหลังจากสงครามจบลง ตื่นเต้นตั้งแต่ฉากแรก แต่รู้สึกหดหู่กับฉากสุดท้าย ใครชอบหนังมันส์ๆ ยิงกันสนุกสนาน ไปจัดกันได้เต็มทีครับ >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านความรู้สึกผมครับ
อ่านเรื่องอื่น
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Fury (David Ayer,2014)
By Form Corleone
“ศักดิ์ศรี มิตรภาพ อุดมการณ์” สำหรับ “Fury” คือหนังสงครามแบบบ้าดีเดือดเรื่องหนึ่ง ไม่ต้องเจาะประเด็นเนื้อหา สาระ อะไร เพราะหนังโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของหน่วยรถถัง ที่อาศัยรถถังเป็นอาวุธในการทำสงคราม ความสนุกของตัวหนังถือว่าเอาอยู่มากๆครับ บวกทั้งความมันส์แบบบ้าดีเดือดไม่กลัวตายก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ลุ้นได้บางช่วงเวลา ประโยคที่ชอบคงจะเป็น “อุดมการณ์คือสันติ ประวัติศาสตร์คือความรุนแรง” ฟังแล้วเจ็บปวด เหมือนตัวหนังกำลังบอกไบ้คนดูว่าที่เรากำลังดูอยู่นั้น คือ “ประวัติศาสตร์” และมันจะไม่ได้ถูกตีค่าราคาเป็นสิ่งอื่นใดนอกจาก “ความรุนแรง” หรือ “ความสูญเสีย รวมทั้งการจากลา”
ภาพรวมของ Fury จัดว่าเป็นหนังแนวแอคชั่นแบบตายตัว แต่แฝงไปด้วยความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครได้อย่างลงตัว แน่นอนที่สุดสำหรับหนังสงคราม ความสัมพันธ์ระหว่าง มิตรสหายท่ามกลางสงครามอันดุเดือดย่อมมีให้เห็นได้ในหนังสงครามทั่วไป แต่จุดเด่นของ “Fury” คือการยกยกระดับตัวละครทุกตัวให้เท่าเทียมกัน ไม่มีตัวไหนเด่นไปกว่ากัน ทุกตัวละครเชื่อมโยงกันหมด ผมชอบที่หนังเล่นกับรายละเอียดเล็กๆน้อยจากความสัมพันธ์ จนกลายเป็นมิตรภาพภายใต้ “รถหุ้มเกาะ” ไม่เพียงแค่นักแสดงที่ตบเท้ากันมาแบบเต็มชุดและฉากการยิงกันแบบเต็มสตรีมแล้ว Fury ยังสอดแทรกประเด็นศีลธรรมและความดีงามลงไปด้วย แม้หนังจะย้ำเตือนแนวคิดว่า “ศีลธรรมเกิดขึ้นหลังสงคราม” แต่อย่างน้อยคำว่า “ศีลธรรมและความดี” ก็ถูกยกมาตอนหลังและเป็นสิ่งที่ดีงามมากเลยครับ
ฉากและภาพ องค์ประกอบ ทำได้ดีในงานศิลป์ บวกทั้งการแสดงของเหล่านักแสดงก็ถ่ายทอดอารมณ์กันได้ถึงพริกถึงขิงกันหมดทุกคน ต้องยอมรับว่าถ้าไม่ได้พลังของเหล่านักแสดง งานนี้คงพึ่งแค่ลูกกระสุนอย่างเดียวไม่ได้แน่ๆ ทำได้น่าชื่นชมครับ ความรุนแรงของสงครามและความสูญเสียเป็นเครื่องหมายการค้าของหนังสงคราม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอดตลอดทั้งเรื่อง แม้พล็อตเรื่องของ Fury จะไม่ได้มีอะไรเลย แต่การบอกเล่าเรื่องราวความโหดร้ายของสงครามก็น่าเศร้ามากๆครับ และสิ่งนั้นเองคงเป็นสิ่งที่ตัวหนังพยายามบอกเราอยู่
สุดท้าย Fury คือหนังแอคชั่นสงครามแต่แฝงไปด้วยแนวคิดแบบคมคายและมีเสน่ห์เอามากๆ ความมันส์คงต้องยอมรับว่ามันส์สะใจ ไม่ว่าด้วยเหตุผลสิ่งอื่นใดโลกควรพบเจอกับสันติภาพมากกว่าสงคราม และการจากลาในช่วงสงครามคือการเดินทางคนเดียวหลังจากสงครามจบลง ตื่นเต้นตั้งแต่ฉากแรก แต่รู้สึกหดหู่กับฉากสุดท้าย ใครชอบหนังมันส์ๆ ยิงกันสนุกสนาน ไปจัดกันได้เต็มทีครับ >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านความรู้สึกผมครับ
อ่านเรื่องอื่น http://moviesdelightclub.blogspot.com/