ในชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง เคยผ่านผู้ชายกันมาแล้วกี่คน บอกตรงๆเราไม่กล้านับและไม่อยากนึกถึงอดีตของตัวเองเลย

วันนี้ขอเล่าเรื่องราวจากชีวิตจริงของเราไว้เป็นอุทาหรณ์ให้แก่น้องๆนะคะ ปัจจุบันเราเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลายมีชีวิตครอบครัวแล้วค่ะ แต่บางครั้งก็ยังนึกถึงเรื่องราวเก่าๆขึ้นมาในหัว ทั้งๆที่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะนึกถึงซักเท่าไหร่ ประสบการณ์อันไม่น่าจำนี่มันหลอกหลอนเราได้ทุกเมื่อเลยนะคะว่ามั้ย เชื่อว่าหลายๆคนก็คงเป็นเหมือนกัน

ตั้งแต่เด็กมาเราเป็นเด็กค่อนข้างเงียบและดูเก็บกด ไม่ค่อยมีเพื่อนตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยสนิทกับพ่อแม่ ครอบครัวไม่อบอุ่นเท่าไหร่ค่ะ เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันถึงขั้นตบตี เห็นพ่อกระชากหัวแม่แล้วลาก เราห้ามแล้วโดนพ่อสะบัดออก เคยทะเลาะกับพี่ชายจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกันตั้งแต่เรายังอยู่ชั้นประถม โดนบีบคอ โดนเตะ เรามีของอะไรก็โดนพี่อิจฉาเอาไปปาฝาบ้านจนพัง พอโตขึ้นหน่อยก็ทะเลาะกันอีกถึงขั้นโดนลงไม้ลงมือตาเขียวคิ้วเขียว เข่าบวม คุณพ่อมีครอบครัวใหม่ เราอยู่บ้านเดียวกับครอบครัวใหม่นี้ซึ่งช่วงนั้นเก็บกดมากเลยค่ะ ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดประตูห้องออกมาสูดอากาศ เวลาไปเยี่ยมแม่ที แม่ก็ไม่มีทีท่าจะคิดถึงเราซักเท่าไหร่ เวลาเรากลับจากโรงเรียนมืดหรือไปเที่ยวกับเพื่อน แม่ก็มักพูดแต่ประโยคที่ว่า "เดี๋ยวพ่อแกก็มาด่าชั้นว่าดูแลลูกไม่ดี" แต่ไม่มีประโยคที่ว่าแม่เป็นห่วง หรืออะไรเลย ขออภัยนะคะ เราไม่ได้มีเจตนาว่าคุณพ่อคุณแม่เรา แค่อยากเท้าความถึงภาวะอารมณ์ของเราในขณะนั้นว่าสภาพจิตใจเราไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ค่ะ

พอชีวิตเข้าสู่ช่วงม.ปลาย เราได้รู้จักกับโปรแกรมที่เป็นการแชทหรือที่เรียกกันว่า "ไลน์" โดยผ่านการโทรศัพท์ จากเพื่อนที่โรงเรียน เราจำไม่ค่อยได้นะคะว่าตอนนั้นมีวิธีเข้าถึงยังไงบ้าง รู้สึกว่าจะมีการซื้อหนังสือประเภทหนึ่งแล้วจะมีรหัสอยู่ในหนังสือในการโทรเข้าไป มีการจำกัดเวลาการใช้งาน มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินเพื่อได้รหัสในการโทรเข้าไปนะคะ วิธีการก็คือ พอเราโทรเข้าไป ก็จะมีเสียงจากระบบอัตโนมัติพูด แล้วก็ให้เราอัดเสียงตัวเอง เสร็จแล้วมันก็จะวนเสียงของคนอื่นๆที่กำลังอยู่ในระบบให้เราฟัง ถ้าเราถูกใจคนไหนเราก็กดเข้าไปเพื่อคุยในสายกับคนนั้น หรือระหว่างนั้นก็อาจมีคนกดเข้ามาคุยกับเราด้วยก็ได้ บอกตรงๆว่าช่วงนั้นสนุกและเพลินมากๆเลยค่ะ เหมือนว่ามีเพื่อนคุย เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ติดมากๆ สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็จะมีเพจเจอร์และตู้สาธารณะ ทุกวันเราจะต้องพกเหรียญไปโรงเรียนเยอะๆ หรือแลกเหรียญไว้เพื่อเอาไว้หยอดตู้สาธารณะที่โรงเรียนเพื่อโทรเข้าไปคุยแบบนี้ตลอดเวลา

จนวันหนึ่งเราได้คุยกับผู้ชายคนนึง เสียงในโทรศัพท์ก็นุ่ม ใจดี น่ารัก เค้าขอนัดเจอเราค่ะ ด้วยความที่เราซื่อๆ เราก็นั่งรถเมล์ไปเจอที่อนุเสาวรีย์ พอไปถึงเค้าก็มาเจอ เราก็ตกใจในรูปร่างหน้าตาตอนแรกเห็น คือเค้าจะท้วมๆ ดำๆ ดูไม่เหมือนกับเสียงในโทรศัพท์เลย แล้วบอกเราว่าพาไปหาที่นั่งคุย ขอบอกเลยว่าตอนนั้นเราเป็นคนอ่อนต่อโลกจริงๆค่ะ ไม่มีการระแวดระวังตัวเอง ด้วยความที่ไลน์ทางโทรศัพท์นั้นสร้างโลกอีกโลกหนึ่งมาให้เรา ทำให้เรามองไม่เห็นภัยในโลกของความเป็นจริง เราก็เชื่อ นั่งแท็กซี่ไปกับเค้า จนไปถึงที่นั่งคุยของเค้า นั่นคือ "โรงแรมม่านรูด" ...

ตอนนั้นบอกตรงๆว่าตกใจมาก แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก ด้วยความเขิน อาย ใจเต้น ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะบอกจะปฏิเสธยังไง เราก็เข้าไปกับเค้าเฉยเลย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากลองของเด็กสาว สุดท้ายพรหมจารีย์เราก็ขาดยับไม่มีชิ้นดี ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอะไร คือตอนนั้นมันงงมากค่ะ ผู้ชายคนนั้นก็เห็นสิ่งที่ออกมาและก็รู้ว่านั่นคือครั้งแรกของเรา หลังจากวันนั้นก็แยกย้าย ผู้ชายคนนั้นก็โทรมาบ้าง แต่คำพูดที่แย่ที่สุดคือ เค้าบอกว่าเค้าเห็นเราเป็นคนผิวคล้ำ สงสัยว่าเราเป็นเอดส์หรือเปล่า?? นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราคุยกับผู้ชายเลวๆคนนี้ค่ะ รับไม่ได้กับคำพูดนี้ นั่นเป็นครั้งแรกของเรา ซึ่งเค้าก็เห็น แต่ยังพูดคำนี้ออกมา คือมันแย่มากค่ะ แต่หลังจากนั้นบอกตรงๆว่าเราก็ยังไม่เลิกเล่นไลน์ทางโทรศัพท์ ยังมีโทรเข้าไปอยู่เรื่อยๆ จนเจอผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็บอกเราอีกเหมือนเดิมว่าพาไปหาที่คุย แล้วก็ไปที่ลักษณะเดิม ก็เหมือนเดิมค่ะ แต่ครั้งนี้ไม่สำเร็จ เข้าไปได้แป๊บเดียวก็ออกมา แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก

ก็ตลกดีนะคะ ที่เราก็ยังไม่เลิกเล่นไอไลน์โทรศัพท์บ้าบออะไรนี่ซักที แต่บอกตรงๆค่ะว่าเราเหงามากๆ อยากหาเพื่อนคุย หลายคนอาจจะบอกว่าทำไมไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆของเรา คือแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ เราก็เป็นคนที่เงียบมากๆค่ะ และไม่มีเพื่อนจริงๆ จะไปขอให้ใครไปเที่ยวด้วยก็ไม่ใช่นิสัยของเรา ก็เลยเลือกที่จะคลายความเหงาด้วยการหาเพื่อนในนี้น่ะค่ะ วันนึงก็ได้คุยกับผู้ชายคนนึงอีก เค้านัดเจอเราค่ะที่แถวเซ็นทรัลพระราม 3 ตอนคุยก็ไม่มีทีท่าจะเป็นคนหื่นหรืออะไร แต่พอเจอ เค้าชวนเราดูหนัง เราก็เอาสิดูสิ ก็เข้าไปดู แต่พอเข้าไปแล้ว เค้าให้เราย้ายกันไปนั่งข้างหน้าที่ไม่ค่อยมีคน นั่งไปซักพัก เค้าให้เราจับตรงนั้นให้ ซักพัก กดหัวเราให้ลงไปทำให้ คือทุเรศมากอ่ะ เราไม่ทำค่ะ จนวันนั้นจบวันแบบไม่ค่อยดีนัก เราเลิกติดต่อไปเลย รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก ภายนอกมองไม่ออกเลย ดูตี๋ๆ แต่พอเจอแล้วดูเป็นคนจิตวิปริตมากๆ และก็คาดว่าคนนี้น่าจะหาเหยื่อจากในไลน์ทางโทรศัพท์นี้อีก เพราะเวลาเราโทรเข้าไปทีไร ก็จะเจอเสียงผู้ชายคนนี้ตลอดเหมือนเป็นแฟนพันธุ์แท้

เรายังเล่นไลน์โทรศัพท์นี้เรื่อยมาจนถึงตอนเข้ามหาลัยค่ะ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างรู้สึกว่ามีอิสระ ได้เจอผู้คนมากมาย แล้วก็ได้นัดเจอผู้ชายหลากหลายคนด้วยกัน บางคนก็ถึงขั้นมีอะไรด้วย บางคนก็เกือบมี บางคนไม่มีก็มีค่ะ ซึ่งพอเราโตขึ้นอยู่ปีท้ายๆใกล้จบเรามองกลับมารู้สึกแย่มากค่ะ ว่าเราได้เคยทำอะไรลงไป เราทำไปได้ยังไง รู้สึกทุเรศกับตัวเองมาก ดูไม่มีค่า และรู้สึกได้ว่าเพื่อนๆจะรู้แต่เพื่อนไม่พูด หรือพยายามพูดทางอ้อมแนวๆว่าเล่าเรื่องเพื่อนของเพื่อนให้ในกลุ่มฟัง แต่ฟังไปฟังมานั่นมันเรานี่หว่า ทำนองนั้นน่ะค่ะ ชีวิตมหาวิทยาลัยตอนแรกเราก็มีความรู้สึกว่าเราคบกับผู้ชายมากมาย แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว เราไม่ได้เป็นแฟนกับใครซักคน มีแต่คนที่เรามโนอยู่ในโลกไลน์ทางโทรศัพท์ทั้งนั้น พวกที่ได้เจอก็มีแต่หวังจะอย่างนั้นทั้งนั้น พอมองกลับไปแล้วเรารู้สึกเสียดายชีวิตมหาวิทยาลัยของเราอย่างไม่มีคำบรรยายเลยค่ะ

แต่ชีวิตการทำงานมันก็ไม่ได้แย่น้อยไปกว่ากันเลย เราเลิกเล่นไลน์ แต่ดันไปติดโปรแกรมแชททางอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นรู้สึกว่าจะติดโปรแกรมเพนกวิ้นค่ะ ได้คุยกับผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ใหญ่ นัดเจอ พาเราไปทานข้าวตอนกลางคืน แล้วก็พาไปที่นั่งคุย (แบบเดิม) แล้วก็จบคืนนั้นด้วยเงินจำนวนหนึ่ง ตอนนั้นเรารู้สึกไม่ดีกับตัวเองเลย รู้สึกว่าเราทำอะไรลงไป แต่ช่วงนั้นก็เงินเดือนจากการทำงานก็ไม่ดี ครอบครัวก็ไม่มีรายรับซักเท่าไหร่ ก็เลยพยายามทำใจกับการกระทำนี้ แต่มีครั้งแรกก็มีครั้งที่ 2 ค่ะ เพราะความอยากได้เงิน ไม่ได้ตั้งใจเลยว่าจะทำเป็นอาชีพเสริมหรืออะไร แต่มันเป็นความง่าย ความโลภของตัวเองแท้ๆ แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นค่ะ ที่เจอกับผู้ชายคนนี้ แล้วก็เลิกไป จากนั้นเราก็มาติดโปรแกรมตาสีเขียวตาโตๆแทน จากโปรแกรมนั้นเราไม่มีอะไรกับใครค่ะ มีแต่กุ๊กกิ๊กกันตอนแชท แล้วนัดเจอบ้าง แต่ไม่ได้สานต่อ เพราะเราเป็นคนไม่สวยค่ะ เค้าคงผิดหวังจากภาพจากหน้ากล้องกับตัวจริง

ตอนหลังเลิกโปรแกรมแชทเหล่านี้ค่ะ แล้วก็ตั้งใจทำงาน แต่ชีวิตดันมาเจอผู้ชายในโลกของความเป็นจริงๆที่ทำให้เราตกอยู่ในสภาพเมียน้อย เรื่องมันยาวเดี๋ยวมาต่อ Part ถัดไปนะคะ กลัวที่ไม่พอ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
เราก็เป็นคนหนึ่งที่เงียบๆ เรียบร้อย และอ่อนต่อโลก แบบคุณเลย แต่เราถูกเลี้ยงมาอีกอย่าง
คือ ห้ามออกนอกบ้าน ห้ามเที่ยว อยู่บ้านเท่านั้น ดูแต่ทีวีอยู่ในบ้านคนเดียว ไปไหนไม่ได้ เล่นหน้าบ้านยังโดนดุ
เราเลยไม่รู้เรื่องอะไร โง่ๆ ซื่อๆ ไปเรียนแล้วกลับบ้าน ไม่มีสังคมอะไรเลย คิดว่าโลกนี้มีแต่คนดี เพราะไม่เคยเจอคนไม่ดี
จนวันหนึ่งมีแฟนตอนเรียนม.ปลาย โดนหลอก โดนข่มขู่เอาเงินถ้าไม่ให้จะไม่ให้ไปเรียน ทุบตีสารพัด ขู่ฆ่า แต่ก็พ้นมาได้
มันเป็นบทเรียน ทำให้เราปลงกับชีวิต ตอนนี้เจออะไรที่มันร้ายๆ ก็ปลง ไม่สู้ และ ไม่ยอม คือ นิ่งเฉยช่างมัน
เรื่องร้ายกว่านี้ที่เจอมา เรายังผ่านมาได้ ชีวิตมันจะร้ายตลอดก็เอาสิ ให้มันรู้กันไป

ตอนนี้ เราเข้าใจความเหงา ความโดดเดี่ยว จนเราชินและชาไปแล้วค่ะ
เราไม่อยากมีเพื่อนเยอะ ไม่ได้โหยหาอะไรจากใคร เพราะเราสร้างมันได้ด้วยตัวเอง
ไม่สนใจใคร เราเกิดมาคนเดียว ตายคนเดียว ทำงานไปหาเลี้ยงปากท้องไปแค่นั้น

ถ้ามีโอกาสได้มีลูก เราคงสอนให้เขาเป็นคนดีและรับรู้โลกกว้างมากกว่าเรา
แต่เราคงไม่ยังไม่มีเพราะเรายังไม่เลิกเห็นแก่ตัว เรายังต้องทำงานอย่างหนัก พ่อแม่เรา เรายังดูแลได้ไม่ดีพอเลย
ถ้าลูกเกิดมามีไม่พร้อม เราไม่ได้ดูแลเอง เราไม่มีเวลาให้ลูก ต้องให้พ่อแม่เรามาเลี้ยงก็สงสารลูก
และก็สงสารพ่อแม่เราเองด้วยค่ะ แก่ลงทุกวันยังต้องมาดูแลเด็กเล็กอีก  

ปล. ที่เล่ามาคือ อยากให้รู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่มีแฟนตอนเด็กจะต้องแรด ร่าน อยากมีสามี
บางคนพลาดพลั้ง บางคนไม่ตั้งใจ บางคนอ่อนต่อโลก บางคนจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้
อย่าไปด่า ไปว่า เขาเลยค่ะ บางทีเขาก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่