แบกเป้พิชิตภูกระดึง By Mini Dreamage สานฝันเล็กๆพิชิตยอดเขา ตอนที่1

ไม่มีคำว่ายากเกินไปกับการเริ่มต้นผจญภัยในพื้นที่สีเขียวตอนอายุปาไปสามสิบปี "ภูกระดึง" เป็นชื่อที่เคยได้ยินมานานแล้ว แฟนก็ชวนอยู่หลายหน แต่เราก็อิดออดอยู่นาน จนมาวันนี้ ด้วยความที่อยากทำอะไรลุยๆฝันซักเล็กน้อยก่อนที่สังขารมันจะไม่เอื้ออำนวย ก็เลยขอเลือกที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของทริปแบคแพคก็แล้วกัน

เริ่มจากการเดินทาง คุยกับแฟนว่าถ้าขับรถไปเองขากลับคงไม่มีใครมีแรงขับกลับแน่ๆ เลยจองรถทัวร์ บขส ไปกลับ หมอชิตไป"ผานกเค้า" เที่ยว ม4 ข.
ขาไป 21.30 ถึงประมาณเกือบๆ หกโมงเช้า
ขากลับ รถมารับที่ผานกเค้าที่เดิมประมาณ 21.30 เช่นกัน (รถออกจากเชียงคาน 19.30)
ค่ารถเบ็ดเสร็จ เที่ยวละ 405 บาท/คน

ถึงผานกเค้าแวะ"ร้านเจ๊กิม" อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนขึ้นรถแดงหน้าร้านไปลงอุทยาน ค่ารถคนละ 30 บาท

ถึงอุทยานก็ต้องเข้าไปซื้อตั๋วค่าขึ้นคนละ 40 บาท กับเสียค่าเช่าพื้นที่กางเต้นท์ 30 บาท/คน/คืน เรียบร้อยแล้วก็ไปลงชื่อก่อนขึ้นเขา เรากับแฟนแวะชั่งน้ำหนักเป้ ของเรา 8 Kgs ของแฟน 13 Kgs
อันที่จริงเขามีบริการให้จ้างลูกหาบนะ ว่ากันว่าลูกหาบมีมาพร้อมๆกับการก่อตั้งภูกระดึงเลย แถมเป็นการช่วยกระจายรายได้ให้กับชาวบ้านด้วย แต่เราอยากได้อารมณ์ยากๆ ลำบากๆนิดนึง ก็เลยตัดสินใจกับแฟนขอแบกเป้ขึ้นไปเอง ถ้าใครไม่ไหวจ้างลูกหาบเขาคิดกิโลกรัมละ 30 บาทนะจ๊ะ

ในเป้เรานี่ 8 Kgs ไม่ได้หนักเสื้อผ้าของใช้ แต่เป็นของกินมากกว่า ทั้งข้าวสวย หมูหยอง ไข่ต้ม แครกเกอร์ หอยลายกระป๋อง น้ำแดงเฮลส์บลูบอย กะว่าเอาไว้เติมพลังระหว่างทางแล้วก็ประหยัดเงินด้วย เพราะได้ยินมาว่าบนภูของแพงมาก



พร้อมแล้วก็ออกเดินทาง...7.51น ฤกษ์งามยามดี เดินไปด้วยพลังอันเปี่ยมล้น ยังไม่ทันสิบก้าว เจอเนินแรกเข้าไปก็แทบจอด โอ้แม่เจ้า มันชันอะไรยังงี้ บนภูเขาแบ่งเป็นช่วงๆ ช่วงแรกจากเนินเขาไปถึง"ซำแฮก"ระยะทางประมาณ 1000 เมตร แฮกสมชื่อเลยจริงๆ
ใจที่ตั้งไว้ว่าจะเดินไปให้ถึงในเวลา 3ชม ตอนนี้เริ่มถอดสีแล้ว ทั้งแฟนทั้งเราหอบแฮกทั้งคู่ เหนแฟนแบกเป้ไป 13 กิโลนี่สงสารเลย เพราะเราเอง 8 โลยังปวดหลังมาก แต่ก็ให้กำลังใจตัวเองนะเฮ้ยยย นี่เรากำลังท้าทายชีวิตอยู่นะเว้ย เรื่องแค่นี้ทำไม่ได้หรอวะ อ่อนจริงๆ... เอาเว้ยย สู้ๆลุยไปเลย
บอกเลยเหนื่อยอิ๊บอ๋าย แต่อย่างนึงที่รู้สึกได้คือ พลังที่ธรรชาติมอบให้กับเรา...
เดินมาเหนื่อยๆ พอได้หยุดมองสีเขียวของใบไม้และสัมผัสความเย็นของก้อนหิน แวบเดียวก็หายเหนื่อยพร้อมลุยต่อได้สบายๆแล้ว







ความสดของป่า พาเราหลงมาไกลกว่า 4000 เมตร ด่านสุดท้ายที่เขาล่ำลือก็มาถึง จาก"ซำแคร่" เราต้องเดินอีก 1300 เมตรกว่าจะไปถึง "หลังแป" ที่เรารอคอย ซำนี้นี่เรายอมเลย ด้วยความชันบวกกับโขดหินใหญ่น้อยมากมาย แถมยังต้องฝ่าด่านบันไดนรกที่ชันสุดๆอีก 5 ด่าน ด้วยสภาพกล้ามเนื้อขาที่อ่อนแรงจาก 4 กิโลเมตรแรก เจอบันไดเข้าไปแทบจะก้าวขาไม่ขึ้นกันเลย
แต่แล้วสุดท้าย ด้วยพลังใจของเราทั้งสองคนก็ฝ่ามาจนถึงยอดภูกระดึงจนได้ ไม่พลาดแน่ๆที่จะเก็บภาพผู้พิชิต ฮ่าๆๆ
ถึงประมาณเที่ยงเห็นจะได้ ที่หลังแปเรานั่งพักกินข้าวเที่ยง ก่อนจะออกเดินทางไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้วยระยะทางเดินเท้าอีก 3 กิโลเมตร โอ้เพื่อนเอย ร้อน เหนื่อย และปวดหลังฝุดๆ แต่มองไปสิ สองข้างทางเป็นป่าสนที่เขียวมากๆ ดึงเราให้เดิน เดิน และก็เดินเข้าไปจนในที่สุดก็ถึงที่พัก รีบกางเต้นท์เพราะเรายังต้องไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันอีก ตอนนี้ก็เกือบบ่ายสองแล้ว ขืนชักช้าจะไม่ทันเวลา








หลังจากกางเต้นท์เสร็จ เราต้องเดินเท้าอีก 9000 เมตร ไปยังผาหล่มสักเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน เราง้มองหน้าแฟนแบบว่า "อะไรนะ 9 กิโล ป้าดดดด" เอานะ ถ้ามาไม่ถึงผาหล่มสักถือว่ามาไม่ถึงภูกระดึงนะ (แฟนบอก) เอ้า ไปก็ไป อย่าได้กลัว ตอนนี้บ่ายสองจะบ่ายสามแล้ว รีบไปดีกว่าเดี๋ยวไม่ทันพระอาทิตย์ตก

ระหว่างทางเราก็เดินชมบรรยากาศกันไปเรื่อย จากผาหมากดูก ผาจำศีล ผานาน้อย ผาเหยีบยเมฆ ผาแดง เราแวะเก็บภาพกันไปเรื่อยๆ ชมบรรยากาศป่าสนสองข้างทาง มีหาดทรายขาวละเอียดยิบยังกะเดินอยู่ขอบทะเล ว่ากันว่า ภูกระดึงนี้เคยเป็นผืนทะเลมาก่อน ต่อมาเปลือกโลกถูกดันตัวยกสูงขึ้น เลยกลายมาเป็นภูเขาซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากที่ยอดเขาแห่งนี้มีพื้นที่โล่งกว้างให้เราเดินเที่ยวได้เป็นวันๆเลยทีเดียว
เดินชมนกชมไม้ไปมาสังเกตุว่ามันเริ่มจะมืดลง อ้าวเฮ้ยยย พระอาทิย์จะตกแล้ว เราต้องรีบไปให้ถึงผาหล่มสักนี่หว่า รีบจำ้กันเลยสองคนกับแฟน เราจะไปถึงทันมั้ยนะ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เลยสอยภาพมาเก็บไว้ก่อนที่มันจะตกไปซะก่อน จ้ำกันสองคนจนลืมเหนื่อยไปชั่วขณะ และแล้วก็มาถึงทันเวลา พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ช่างภาพตั้งกล้องเฝ้ารอเก็บภาพก่อนที่แสงสุดท้ายจะจางหายไป ส่วนเรากับแฟนก็ยืนมองพี่พระอาทิตย์ลับตาไปเงียบๆ หลังจากที่ร้อนๆเหนื่อยๆมาทั้งวัน แต่เมื่อแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์หายไปก็มีความเย็นเข้ามาปะทะใบหน้าแทนที่ กับขาที่อ่อนแรง เดินตรงไปนั่งที่ร้านตามสั่งทันทีด้วยความหิว ก่อนจะคิดไปว่า "นี่เราต้องเดินกลับอีก 9 กิโลท่ามกลางความมืดมิดหรือนี่" ใช่เลย มืดมิดมากๆ นอกจากแสงไฟฉายที่สองไปตามทาง กับแสงดาวที่ระยิบอยู่เต็มท้องฟ้า โอ้แม่เจ้า จากที่เรารู้สึกเหนือยและล้า กลับกลายเป็นความรู้สึกโรแมนติกจุงเบย ได้เดินดูดาวไปด้วยกันกับเทอ








ขากลับเราไม่เร่งรีบเท่าไหร่ที่อยากจะบอกคือ ถ้าใครไปอย่าลืมไฟฉาย กับถุงกันทากไปด้วย ยิ่งมืด ยิ่งเย็น ยิ่งชื้น เดี๋ยวจะโดนทากน้อยดูดเลือดเอาได้นะจ้ะ
เรามาถึงที่พักราวๆสามทุ่มกว่าๆ กับสภาพขาที่บวมเป่ง ปวดไปหมดทั้งตัวอยากจะทิ้งตัวนอนเดี๋ยวนั้นเลย แต่นึกสภาพร่างที่โทรมเหงื่อมาทั้งวันก็กลั้นใจครั้งสุดท้ายลุกไปอาบน้ำที่เย็นยะเยือกก่อนจะเข้าเต้นท์ปิดตาอย่างกับคนตาย ครอกกกกกฟรี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่