...มาต่อกัน (จากตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32746176)
จากโบราไค บินมาถึงมะนิลาก็เหลือเวลาชั่วโมงครึ่ง สำหรับการเช็คอินไปปักกิ่ง เดชะบุญที่ PAL express จากโบราไค จอดเทอมินัลเดียวกัน (Terminal 3) กับเซบู แปซิฟิค
เช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จ ก็วิ่งขึ้นเคาเตอร์จ่ายภาษีสนามบิน (750 เปโซ) ตั๋วที่เดินทางออกจากฟิลิปปินส์ ไม่ได้รวมภาษีสนามบิน ในประเทศสนามบินมะนิลา 200 เปโซ ต่างประเทศ 750 แต่ได้ข่าวว่าตอนนี้ปรับลงแล้วเหลือ 650 หรือ 550 นี่แหละ (ไม่ชัวร์)
แต่ขาโปรจอมงกอย่างเรามีรึอยากจะเสีย จัดการแนบบอร์ดดิ้งพาส จากกรุงเทพฯที่นั่งมาถึงเมื่อเช้าไปด้วย ไปถึงก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่เคาเตอร์ภาษีสนามบินขอยกเว้น เพราะมาต่อเครื่องไปปักกิ่ง เจ้าหน้าที่ไม่พูดไรมาก เอาบอร์ดดิ้งพาสทั้ง 2 ใบเย็บติดกัน ปั้มอะไรไม่รู้ทีสองที แล้วก็ยื่นกลับมาให้ เราก็เดินตัวปลิวไปผ่าน ตม.เลย
เซบูนี่ดีนะ ถ้าใครมาเช็คอินสาย และเที่ยวบินจะออกแล้ว แถวตม.ยาว เจ้าหน้าที่สายการบินจะมายืนเรียก และพาลัดคิวไปผ่านตม.เลย เหมือนผู้โดยสารไดรับการดูแลเป็นพิเศษ แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้บริการนี้ มีเวลาเหลือพอ แต่ก็ฉิวเฉียด มีเวลาไปรอที่หน้าเกทนิดหน่อย ไม่ต้องวิ่งกระหืดกระหอบเหมือนเมื่อเช้า
เผลอถ่ายมาได้รูปหนึ่ง หน้าเกท ก่อนขึ้นเครื่อง Terminal 3 ก็ใหม่และกว้างขวางดี
ขึ้นเครื่องแล้วหิวซกๆ ต้องลอง hot meal on board ของเซบูซะหน่อย มาม่ากะไก่อบ จืดชืดทั้ง 2 อย่าง 55 ราคาก็พอๆกะแอร์เอเชีย แต่รสชาดไม่ถูกปากคนไทยซะเรยย
กินเสร็จก็หาทำเล...ไม่ต้องจอง business class ก็นอนยาวได้ อิอิ (แอบถ่ายเพื่อนร่วมชะตากรรมในทริปนี้ที่ท่าทางเหนื่อยมาก)
ประมาณเที่ยงคืน เวลาปักกิ่ง เครื่องก็ลงสนามบิน Beijing Capital Airport เรียบร้อย จองโรงแรม Ibis Beijing Capital Airport ไว้ เพราะอยากนอนเร็วๆ และตอนจองก็คิดว่าสะดวกดี เพราะมีรถรับส่งสนามบินด้วย
แต่เดชะบุญ ความซวยมาเยือนอีกจนได้ อีเมล์มาบอกเที่ยวบินกะโรงแรมให้มารับ คำตอบคือ Airport transfer is limited service, ให้บริการตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงเที่ยงคืนเท่านั้น เลยอีเมล์ไปต่อว่า และต่อรอง เราจองโรงแรมนี้ก็เืพื่อรถรับส่ง และเราจองห้องแบบ non-refundable คืนเงินไม่ได้ จาก expedia เสียด้วย เมื่อไม่ได้รถมารับสนามบิน ก็ขออาหารเช้าแทน ผู้จัดการก็ใจดี แถมให้อาหารเช้าให้ 2 คน คิดในใจรอดตายไปมือหนึ้ง เพราะอาหารเช้าไอบิสหัวละประมาณ 300 บาท
รร.กำชับว่านั่งแท๊กซี่จากสนามบินมาแป๊บเดียว ประมาณ 20-30 หยวน เราเอารูปโรงแรมที่มีภาษาจีนให้คนขับแท้กซี่ด้วย กันเหนียว กลัวคุยภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ปรากฏว่าคนขับรู้เรื่องดีมาก มิเตอร์ไม่เปิด ถามว่าเท่าไหร่ก็ไม่บอกราคา แกล้งภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เรานั่งไปก็จับพิกัด GPS จาก google map ไปด้วย เออ ไม่พาไปอ้อมก็ดีแระ
แต่พอลงรถเท่านั้นแหละ ลายออก ขอค่ารถ 100 หยวน พระเจ้าช่วย 500 บาท นั่งรถแค่ 10 นาที ประมาณ 2-3 โลได้มั้ง เลยสวนไป NO NO NO ถี่ยิบ พร้อมกับรีบไปเอากระเป๋าจากหลังรถมาไว้ก่อนค่อยจ่ายตังค์ กลัวจ่ายตังค์ก่อนแล้วมันชิ่งกระเป๋าหนี
...มันเลยลดให้เหลือ 50 หยวน เรายืนยันว่า รร. บอกว่าราคาประมาณ 25 หยวน แต่เราดันไม่มีเศษ 5 หยวน เลยให้ไป 30 มันก็ทำท่าไม่ยอม เราเลย เรียกมันเข้าโรงแรม กะจะให้คุยกะเจ้าหน้าที่ มันเลยรีบขับรถออกไปเลย
คืนนี้กว่าจะเช็คอินก็ตีหนึ่งกว่าไปแระ พนักงานหน้าตาเหมือนเพิ่งตื่น และไม่มีชุดแบบฟอร์มอะไรเลย มาเช็คอินให้เราด้วยภาษาอังกฤษแบบพอใช้ได้ และบอกว่าไฟจะดับหรือน้ำฝักบัวจะไม่ร้อนตอนตี 2 จะ (maintenance อะไรตอนนี้) เราเลยรีบวิ่งขึ้นห้อง อาบน้ำอย่างเร่งด้วน เพื่อนอีกคนก็รีบต้มน้ำ จะกินมาม่าที่เอามาจากเมืองไทย เพราะกินบนเครื่องไม่อิ่ม
สรุปเราอาบน้ำเสร็จในเวลา 5 นาที เร็วที่สุดที่เคยอาบนมา รู้สึกว่าการอาบน้ำมื้อนี้ มีความสุขที่สุดในโลก เพราะไม่ได้อาบมา 1 วัน 2 คืนแระ ออกมากินมาม่าเสร็จ ตี 2 พอดี ไฟก็ยังไม่ดับ อ้าว คุณหลอกดาวอีกแระ หรือว่าเราฟังผิดว่ะ
ขออนุญาตไม่เปิดเผยหน้าตาเพื่อนร่วมทริป เนื่องจากเจ้าตัวบอกว่ารูปนี้ไม่หล่อ 5 5
ด้านนอกโรงแรม นี้ถ้าไม่มีโลโก้ไอบิส จะรู้มะเนี่ย ภาษาอังกฤษไม่มีสักคำ
คาดหวังไว้เยอะว่าอาหารเช้าไอบิส จะต้องมาตรฐานเดียวกัน เพราะห้องพักก็แบบเดียวกับที่เคยนอนที่เมืองไทย แต่ที่ไหนได้ อาหารเช้าไอบิส เป่ยจิง แคปปิตอล แอร์พอร์ต บอกได้คำเดียว "ถ้าไม่ได้กิน ก็ไม่ได้เสียดายเลย" ยังจำน้ำส้มคั้นได้ เอาเปลือกส้มมาหั่นบางๆแช่ในน้ำแข็ง รสชาดเหมือนน้ำล้างแก้วน้ำส้ม อาหารก็น้อย ธรรมดาๆมาก เลยไม่ได้ถ่ายรูปไลน์อาหารมา บอกตรง เห็นอาหารแล้ว "หมดรมณ์"
รีบกินข้าวแล้วออกไปขึ้นรถตู้ไปส่งสนามบิน เข้าเมืองดีกว่า...วันนี้ต้องไปเช็คอินโรงแรมหรู Pullman ตื่นเต้นๆ ทั้งลุ้นว่าโรงแรมจะหรูมั้ย และเราจะไปโรงแรมถูกมะนิ อยู่นอกเมืองซะไกลลิบ แล้วจะเดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปโรงแรมไกลหรือเปล่า กังวลไปสารพัด...เฮ้อ
ถึงสนามบิน ยังไม่รีบถ่ายรูป เพราะขากลับบินตี 2 มีเวลาเยอะ ค่อยถ่ายดีกว่า รีบตรงดิ่งไปเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อน เพราะดูเหมือนมีรถบัสเข้าเมืองสายหนึ่งไปแถวๆโรงแรม Pullman ที่เราจะไปพักเลย
คำตอบที่ได้ "เงิบ" อีกรอบ รถมีครับ และไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลย แต่มีแค่วันละ 2 เที่ยว เที่ยวแรก 6 โมงเช้า รอบสอง 6 โมงเย็น
โอ๊ย รู้งี้สละอาหารเช้าไอบิส แล้วมานั่งรถ shuttle bus ตรงไปโรงแรม Pullman เลยดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถไฟหลายต่อให้เหนื่อย
รีบไปรถไฟฟ้าดีกว่า อยู่ตรงด้านหน้าอาหารสนามบิน โออ่า กว้างขวางดี สมกับเป็นสถานี Beijing Capital Airport จริงๆ เรานั่ง airport line ไปเปลี่ยนอีก 2-3 ขบวน ก็ถึงโรงแรม (ดูจากแผนที่)
เนื่องจากเป็นขบวนเข้าสนามบิน ราคาก็แพงหน่อย 25 หยวน (มั้ง) สภาพก็เลยดีหน่อย เราต้องรีบขึ้นรถ กลัวได้ยืน อิอิ
ถ้าสายอื่นที่เป็นรถในเมืองค่าโดยสารแค่ 2 หยวน (10 บาท) นั่งไปเถอะ จะขึ้นลง หรือต่อกี่สายก็ได้ ถ้าไม่ขึ้นมาก็แค่ 10 บาทเท่าเดิม ถูกที่สุดในโลก ถูกใจขาโปร แบกเป้เที่ยวอย่างเราเป็นที่สุด
ลากกระเป๋า แบกเป้ขึ้นลงอยู่หลายรอบ ก็ถึงสถานีเป้าหมาย เราดูจากแผนที่แล้ว โรงแรมอยู่ระหว่าง 2 สถานี จะลงสถานีไหนก็ไกลเท่ากัน เลยตัดสินใจลงสถานีก่อนถึงโรงแรม จะได้เดินดูวิวไปด้วย
ลงรถไฟ โอ๊ย อากาศเดือนตุลาคม ทำไมมันหนาวๆยังงี้วะ ศรีทนไม่ค่อยได้ จ้ำอ้าวๆ เดินไปได้สักพัก ก็ไม่มีวี่แววโรงแรมเลย ปรากฏว่า รร. ไม่ได้หันหน้ามาทางสถานีรถไฟฟ้า เราเห็นตึกโค้งๆนี้แล้ว แต่ไม่เห็นโลโก้ Pullman เลยไม่ชัวร์ต้องจับพิกัดไปทุก 20 ก้าว
ในที่สุดก็มายืนอยู่หน้าตึกสูงทรงโค้ง ดูจากภายนอกก็รู้ว่าหรูใช้ได้ ไปสำรวจภายในกันดีกว่า
ไปแจ้งเช็คอิน พร้อมยื่นบัตร Le Club Platinam เผื่อจะได้อัพเกรดห้อง แต่ดูท่าทางพนักงานจีนคงไม่ให้ ก็เลยนั่งถ่ายรูปโรงแรมฆ่าเวลา ถ่ายรูปก็แล้ว ทั้งข้างใน ข้างนอก มุมต่างๆ อยู่นานเกือบชั่วโมง ห้องก็ยังไม่ได้ จนผู้จัดการฝรั่งเข้ามาถาม และไปบอกพนักงานให้เร่งมือหน่อย พร้อมทั้งพาไปนั่งนั่งจิบกาแฟเย็น เป็นเครื่องดื่มต้อนรับแก้วอร่อย ดูแล้วพนักงานจีนไม่ค่อยมืออาชีพ เจ้านายฝรั่งต้องคอยบอกคอยสอน ส่วนตัวหล่อนเองก็ทำท่าทางไม่ชอบใจเวลาโดนเจ้านายเร่ง
โรงแรมนี้มีแต่นักธุรกิจ และคนที่มาจัดพิธีการแต่งงาน ฯลฯ ทั้งนั้น นักท่องเที่ยวมักจะมาไม่ถึง เพราะไกลจากใจกลางเมืองซะเหลือเกิน (แต่เป็นเขตเศรษฐกิจมีสำนักงาน อาคารใหญ่ๆอยู่เพียบ) อยู่ทางตอนใต้ของปักกิ่ง ชื่อเต็มคือ Pullman South Beijing เราได้มานอนที่นี่ เพราะมีแต้ม Le Club เหลืออยู่ ใช้ 2,000 แต้ม จ่ายแทนเงินได้ 60 ดอลลาร์สหรัฐ ประหยัดไปหลายบาทอยู่ เลือกจองแบบรวมอาหารเช้า เพื่อความคุ้มค่า
ตอนแรกกะจะนอน Mercure ซึ่งอยู่ใจกลางปักกิ่ง ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แต่ราคาสูงใช้แต้มเยอะกว่าจะแลกห้องได้ ประกอบกับดูรีวิวแล้วดีสู้ Pullman ที่นี่ไม่ได้ เลยตัดสินใจนอน Pullman 2 คืนเลย
ห้องพักกว้าง เตียงนุ่ม มีอ่างให้แช่ด้วย ไปเดินเที่ยวมาทั้งเหนื่อยทั้งหนาว คงได้ใช้บริการอ่างนี้แน่
ตบท้ายด้วย Special Mini Bar จากเมืองไทยครับ อิอิ
ทริปนี้ตกลงกะเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วว่าจะมาเที่ยว มาพักผ่อน ไม่เน้นเที่ยวกระจุย จนเหนื่อยหมดแรง แต่จะไปแค่วันละ 2-3 ที่ในเมืองปักกิ่ง และไปกำแพงเมืองจีน เท่านั้นพอ
แต่รู้สึกจะผิดแผน เหนื่อยแทบตาย อดหลับ อดนอนเมื่อตอนแวะต่อเครื่องมะนิลาแล้ว เลยนอนพักสักงีบ เย็นๆ ค่อยออกไปดูแสงสีปักกิ่งตอนกลางคืน ไม่กลัวการเดินทาง เพราะค่ารถไฟฟ้าแค่เที่ยวละ 10 บาทเอง
[CR] โหด มันส์ ฮา...จากมะนิลา สู่ปักกิ่ง ตอนที่ 2
จากโบราไค บินมาถึงมะนิลาก็เหลือเวลาชั่วโมงครึ่ง สำหรับการเช็คอินไปปักกิ่ง เดชะบุญที่ PAL express จากโบราไค จอดเทอมินัลเดียวกัน (Terminal 3) กับเซบู แปซิฟิค
เช็คอิน โหลดกระเป๋าเสร็จ ก็วิ่งขึ้นเคาเตอร์จ่ายภาษีสนามบิน (750 เปโซ) ตั๋วที่เดินทางออกจากฟิลิปปินส์ ไม่ได้รวมภาษีสนามบิน ในประเทศสนามบินมะนิลา 200 เปโซ ต่างประเทศ 750 แต่ได้ข่าวว่าตอนนี้ปรับลงแล้วเหลือ 650 หรือ 550 นี่แหละ (ไม่ชัวร์)
แต่ขาโปรจอมงกอย่างเรามีรึอยากจะเสีย จัดการแนบบอร์ดดิ้งพาส จากกรุงเทพฯที่นั่งมาถึงเมื่อเช้าไปด้วย ไปถึงก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่เคาเตอร์ภาษีสนามบินขอยกเว้น เพราะมาต่อเครื่องไปปักกิ่ง เจ้าหน้าที่ไม่พูดไรมาก เอาบอร์ดดิ้งพาสทั้ง 2 ใบเย็บติดกัน ปั้มอะไรไม่รู้ทีสองที แล้วก็ยื่นกลับมาให้ เราก็เดินตัวปลิวไปผ่าน ตม.เลย
เซบูนี่ดีนะ ถ้าใครมาเช็คอินสาย และเที่ยวบินจะออกแล้ว แถวตม.ยาว เจ้าหน้าที่สายการบินจะมายืนเรียก และพาลัดคิวไปผ่านตม.เลย เหมือนผู้โดยสารไดรับการดูแลเป็นพิเศษ แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้บริการนี้ มีเวลาเหลือพอ แต่ก็ฉิวเฉียด มีเวลาไปรอที่หน้าเกทนิดหน่อย ไม่ต้องวิ่งกระหืดกระหอบเหมือนเมื่อเช้า
เผลอถ่ายมาได้รูปหนึ่ง หน้าเกท ก่อนขึ้นเครื่อง Terminal 3 ก็ใหม่และกว้างขวางดี
ขึ้นเครื่องแล้วหิวซกๆ ต้องลอง hot meal on board ของเซบูซะหน่อย มาม่ากะไก่อบ จืดชืดทั้ง 2 อย่าง 55 ราคาก็พอๆกะแอร์เอเชีย แต่รสชาดไม่ถูกปากคนไทยซะเรยย
กินเสร็จก็หาทำเล...ไม่ต้องจอง business class ก็นอนยาวได้ อิอิ (แอบถ่ายเพื่อนร่วมชะตากรรมในทริปนี้ที่ท่าทางเหนื่อยมาก)
ประมาณเที่ยงคืน เวลาปักกิ่ง เครื่องก็ลงสนามบิน Beijing Capital Airport เรียบร้อย จองโรงแรม Ibis Beijing Capital Airport ไว้ เพราะอยากนอนเร็วๆ และตอนจองก็คิดว่าสะดวกดี เพราะมีรถรับส่งสนามบินด้วย
แต่เดชะบุญ ความซวยมาเยือนอีกจนได้ อีเมล์มาบอกเที่ยวบินกะโรงแรมให้มารับ คำตอบคือ Airport transfer is limited service, ให้บริการตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงเที่ยงคืนเท่านั้น เลยอีเมล์ไปต่อว่า และต่อรอง เราจองโรงแรมนี้ก็เืพื่อรถรับส่ง และเราจองห้องแบบ non-refundable คืนเงินไม่ได้ จาก expedia เสียด้วย เมื่อไม่ได้รถมารับสนามบิน ก็ขออาหารเช้าแทน ผู้จัดการก็ใจดี แถมให้อาหารเช้าให้ 2 คน คิดในใจรอดตายไปมือหนึ้ง เพราะอาหารเช้าไอบิสหัวละประมาณ 300 บาท
รร.กำชับว่านั่งแท๊กซี่จากสนามบินมาแป๊บเดียว ประมาณ 20-30 หยวน เราเอารูปโรงแรมที่มีภาษาจีนให้คนขับแท้กซี่ด้วย กันเหนียว กลัวคุยภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ปรากฏว่าคนขับรู้เรื่องดีมาก มิเตอร์ไม่เปิด ถามว่าเท่าไหร่ก็ไม่บอกราคา แกล้งภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เรานั่งไปก็จับพิกัด GPS จาก google map ไปด้วย เออ ไม่พาไปอ้อมก็ดีแระ
แต่พอลงรถเท่านั้นแหละ ลายออก ขอค่ารถ 100 หยวน พระเจ้าช่วย 500 บาท นั่งรถแค่ 10 นาที ประมาณ 2-3 โลได้มั้ง เลยสวนไป NO NO NO ถี่ยิบ พร้อมกับรีบไปเอากระเป๋าจากหลังรถมาไว้ก่อนค่อยจ่ายตังค์ กลัวจ่ายตังค์ก่อนแล้วมันชิ่งกระเป๋าหนี
...มันเลยลดให้เหลือ 50 หยวน เรายืนยันว่า รร. บอกว่าราคาประมาณ 25 หยวน แต่เราดันไม่มีเศษ 5 หยวน เลยให้ไป 30 มันก็ทำท่าไม่ยอม เราเลย เรียกมันเข้าโรงแรม กะจะให้คุยกะเจ้าหน้าที่ มันเลยรีบขับรถออกไปเลย
คืนนี้กว่าจะเช็คอินก็ตีหนึ่งกว่าไปแระ พนักงานหน้าตาเหมือนเพิ่งตื่น และไม่มีชุดแบบฟอร์มอะไรเลย มาเช็คอินให้เราด้วยภาษาอังกฤษแบบพอใช้ได้ และบอกว่าไฟจะดับหรือน้ำฝักบัวจะไม่ร้อนตอนตี 2 จะ (maintenance อะไรตอนนี้) เราเลยรีบวิ่งขึ้นห้อง อาบน้ำอย่างเร่งด้วน เพื่อนอีกคนก็รีบต้มน้ำ จะกินมาม่าที่เอามาจากเมืองไทย เพราะกินบนเครื่องไม่อิ่ม
สรุปเราอาบน้ำเสร็จในเวลา 5 นาที เร็วที่สุดที่เคยอาบนมา รู้สึกว่าการอาบน้ำมื้อนี้ มีความสุขที่สุดในโลก เพราะไม่ได้อาบมา 1 วัน 2 คืนแระ ออกมากินมาม่าเสร็จ ตี 2 พอดี ไฟก็ยังไม่ดับ อ้าว คุณหลอกดาวอีกแระ หรือว่าเราฟังผิดว่ะ
ขออนุญาตไม่เปิดเผยหน้าตาเพื่อนร่วมทริป เนื่องจากเจ้าตัวบอกว่ารูปนี้ไม่หล่อ 5 5
ด้านนอกโรงแรม นี้ถ้าไม่มีโลโก้ไอบิส จะรู้มะเนี่ย ภาษาอังกฤษไม่มีสักคำ
คาดหวังไว้เยอะว่าอาหารเช้าไอบิส จะต้องมาตรฐานเดียวกัน เพราะห้องพักก็แบบเดียวกับที่เคยนอนที่เมืองไทย แต่ที่ไหนได้ อาหารเช้าไอบิส เป่ยจิง แคปปิตอล แอร์พอร์ต บอกได้คำเดียว "ถ้าไม่ได้กิน ก็ไม่ได้เสียดายเลย" ยังจำน้ำส้มคั้นได้ เอาเปลือกส้มมาหั่นบางๆแช่ในน้ำแข็ง รสชาดเหมือนน้ำล้างแก้วน้ำส้ม อาหารก็น้อย ธรรมดาๆมาก เลยไม่ได้ถ่ายรูปไลน์อาหารมา บอกตรง เห็นอาหารแล้ว "หมดรมณ์"
รีบกินข้าวแล้วออกไปขึ้นรถตู้ไปส่งสนามบิน เข้าเมืองดีกว่า...วันนี้ต้องไปเช็คอินโรงแรมหรู Pullman ตื่นเต้นๆ ทั้งลุ้นว่าโรงแรมจะหรูมั้ย และเราจะไปโรงแรมถูกมะนิ อยู่นอกเมืองซะไกลลิบ แล้วจะเดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปโรงแรมไกลหรือเปล่า กังวลไปสารพัด...เฮ้อ
ถึงสนามบิน ยังไม่รีบถ่ายรูป เพราะขากลับบินตี 2 มีเวลาเยอะ ค่อยถ่ายดีกว่า รีบตรงดิ่งไปเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อน เพราะดูเหมือนมีรถบัสเข้าเมืองสายหนึ่งไปแถวๆโรงแรม Pullman ที่เราจะไปพักเลย
คำตอบที่ได้ "เงิบ" อีกรอบ รถมีครับ และไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลย แต่มีแค่วันละ 2 เที่ยว เที่ยวแรก 6 โมงเช้า รอบสอง 6 โมงเย็น
โอ๊ย รู้งี้สละอาหารเช้าไอบิส แล้วมานั่งรถ shuttle bus ตรงไปโรงแรม Pullman เลยดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถไฟหลายต่อให้เหนื่อย
รีบไปรถไฟฟ้าดีกว่า อยู่ตรงด้านหน้าอาหารสนามบิน โออ่า กว้างขวางดี สมกับเป็นสถานี Beijing Capital Airport จริงๆ เรานั่ง airport line ไปเปลี่ยนอีก 2-3 ขบวน ก็ถึงโรงแรม (ดูจากแผนที่)
เนื่องจากเป็นขบวนเข้าสนามบิน ราคาก็แพงหน่อย 25 หยวน (มั้ง) สภาพก็เลยดีหน่อย เราต้องรีบขึ้นรถ กลัวได้ยืน อิอิ
ถ้าสายอื่นที่เป็นรถในเมืองค่าโดยสารแค่ 2 หยวน (10 บาท) นั่งไปเถอะ จะขึ้นลง หรือต่อกี่สายก็ได้ ถ้าไม่ขึ้นมาก็แค่ 10 บาทเท่าเดิม ถูกที่สุดในโลก ถูกใจขาโปร แบกเป้เที่ยวอย่างเราเป็นที่สุด
ลากกระเป๋า แบกเป้ขึ้นลงอยู่หลายรอบ ก็ถึงสถานีเป้าหมาย เราดูจากแผนที่แล้ว โรงแรมอยู่ระหว่าง 2 สถานี จะลงสถานีไหนก็ไกลเท่ากัน เลยตัดสินใจลงสถานีก่อนถึงโรงแรม จะได้เดินดูวิวไปด้วย
ลงรถไฟ โอ๊ย อากาศเดือนตุลาคม ทำไมมันหนาวๆยังงี้วะ ศรีทนไม่ค่อยได้ จ้ำอ้าวๆ เดินไปได้สักพัก ก็ไม่มีวี่แววโรงแรมเลย ปรากฏว่า รร. ไม่ได้หันหน้ามาทางสถานีรถไฟฟ้า เราเห็นตึกโค้งๆนี้แล้ว แต่ไม่เห็นโลโก้ Pullman เลยไม่ชัวร์ต้องจับพิกัดไปทุก 20 ก้าว
ในที่สุดก็มายืนอยู่หน้าตึกสูงทรงโค้ง ดูจากภายนอกก็รู้ว่าหรูใช้ได้ ไปสำรวจภายในกันดีกว่า
ไปแจ้งเช็คอิน พร้อมยื่นบัตร Le Club Platinam เผื่อจะได้อัพเกรดห้อง แต่ดูท่าทางพนักงานจีนคงไม่ให้ ก็เลยนั่งถ่ายรูปโรงแรมฆ่าเวลา ถ่ายรูปก็แล้ว ทั้งข้างใน ข้างนอก มุมต่างๆ อยู่นานเกือบชั่วโมง ห้องก็ยังไม่ได้ จนผู้จัดการฝรั่งเข้ามาถาม และไปบอกพนักงานให้เร่งมือหน่อย พร้อมทั้งพาไปนั่งนั่งจิบกาแฟเย็น เป็นเครื่องดื่มต้อนรับแก้วอร่อย ดูแล้วพนักงานจีนไม่ค่อยมืออาชีพ เจ้านายฝรั่งต้องคอยบอกคอยสอน ส่วนตัวหล่อนเองก็ทำท่าทางไม่ชอบใจเวลาโดนเจ้านายเร่ง
โรงแรมนี้มีแต่นักธุรกิจ และคนที่มาจัดพิธีการแต่งงาน ฯลฯ ทั้งนั้น นักท่องเที่ยวมักจะมาไม่ถึง เพราะไกลจากใจกลางเมืองซะเหลือเกิน (แต่เป็นเขตเศรษฐกิจมีสำนักงาน อาคารใหญ่ๆอยู่เพียบ) อยู่ทางตอนใต้ของปักกิ่ง ชื่อเต็มคือ Pullman South Beijing เราได้มานอนที่นี่ เพราะมีแต้ม Le Club เหลืออยู่ ใช้ 2,000 แต้ม จ่ายแทนเงินได้ 60 ดอลลาร์สหรัฐ ประหยัดไปหลายบาทอยู่ เลือกจองแบบรวมอาหารเช้า เพื่อความคุ้มค่า
ตอนแรกกะจะนอน Mercure ซึ่งอยู่ใจกลางปักกิ่ง ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แต่ราคาสูงใช้แต้มเยอะกว่าจะแลกห้องได้ ประกอบกับดูรีวิวแล้วดีสู้ Pullman ที่นี่ไม่ได้ เลยตัดสินใจนอน Pullman 2 คืนเลย
ห้องพักกว้าง เตียงนุ่ม มีอ่างให้แช่ด้วย ไปเดินเที่ยวมาทั้งเหนื่อยทั้งหนาว คงได้ใช้บริการอ่างนี้แน่
ตบท้ายด้วย Special Mini Bar จากเมืองไทยครับ อิอิ
ทริปนี้ตกลงกะเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วว่าจะมาเที่ยว มาพักผ่อน ไม่เน้นเที่ยวกระจุย จนเหนื่อยหมดแรง แต่จะไปแค่วันละ 2-3 ที่ในเมืองปักกิ่ง และไปกำแพงเมืองจีน เท่านั้นพอ
แต่รู้สึกจะผิดแผน เหนื่อยแทบตาย อดหลับ อดนอนเมื่อตอนแวะต่อเครื่องมะนิลาแล้ว เลยนอนพักสักงีบ เย็นๆ ค่อยออกไปดูแสงสีปักกิ่งตอนกลางคืน ไม่กลัวการเดินทาง เพราะค่ารถไฟฟ้าแค่เที่ยวละ 10 บาทเอง