จากคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย ไม่รู้จักแม้แต่คำศัพท์ง่ายๆ กลายมาเป็นนิสิตคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ :3

เริ่มจากตอนประถมและมัธยมต้นเป็นคนไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย เกลียดมากกกถึงมากที่สุดดดดด
มันเป็นวิชาที่เราคิดว่ามันยากอ่ะ แกรมม่าตั้ง 12 tenses ไหนจะมีพวก can could might may อะไรแบบนี้อีก
คะแนนภาษาอังกฤษตอนม.ต้นนี้ห่วยมาก ตอนม.3 หนักสุดค่ะคือมีอาจารย์คนนึงเค้าจะดุๆหน่อยแล้วเค้าเรียกเรายืนตอบกลางห้อง
แล้วให้ทำไรรู้มั้ยคะะ ไม่ได้ให้ยืนอ่าน passage นะคะ อาจารย์ให้เราระบุ part of speech ค่าา!! ซึ่งตอนนั้นจะร้องไห้มากกกก

ไม่รู้จัก article ไม่รู้ว่า adj adv แยกออกจากันอย่างไร แยก noun ไม่ออก คือจะร้องไห้จริงๆตอนนั้น โดนเพื่อนๆมองแบบกดดันสุด

ครั้งนั้นก็เหมือนเป็นแรงผลักดันให้เราเอาชนะครูคนนี้แต่สุดท้ายสอบออกมาก็ตกอยู่ดี -*- ยังจำโมเม้นเพื่อนในกลุ่มผ่านหมดเราตกคนเดียวได้
คือเฟลมากค่ะ ต่อจากนั้นเลยคุยกับพ่อเรื่องม.ปลาย เราเลยเลือกต่อสายวิทย์-คณิต แต่รู้อะไรมั้ยคะ ช่วงปิดเทอมขึ้นม.4 นี้แหละจุดเปลี่ยน!

หลังจากสอบเข้าม.4 เสร็จเราก็ว่างค่ะ จำได้ว่าช่วงรอประกาศผลนี้เล่นคอมทั้งวันทั้งคืนและช่วงนั้นเป็นติ่งค่ะ
จริงๆติ่งตั้งแต่ม.2 ละ แล้วพอดีช่วงนั้นว่างเลยได้ติ่งเต็มตัว เราก็เกิดไอเดียว่าอยากจะเขียนจดหมายไปให้โอปป้า ทงเฮ Superjunior
ใจก็คิดละ ชั้นต้องเขียนภาษาอังกฤษสิ! บวกกับช่วงนั้นมีบ้านแฟนเพจบ้านนึงเค้าจะบินไปเกาหลีเดือนหน้าพอดี เราก็แบบไม่ได้การล่ะ
เราต้องฝากจดหมายไปให้โอปป้า!

แต่ทำไงอ่ะ? ไม่เก่งอังกฤษเลยสักแอะ google สมัยก่อนก็ไม่ได้เรื่องแบบสมัยนี้เล้ยยยย! เราก็เอาว่ะะ! ลองดูซักตั้ง!

.
.
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชอบอังกฤษมาจากตรงนี้แหละค่ะ

เราเริ่มจากเขียนจดหมายเป็นภาษาไทยก่อน เขียนง่ายๆเลย เช่น 'สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ... ฉันชอบ Superjunior มาสองปีแล้ว ฉันบลาๆๆๆ'
จากนั้นก็เริ่มแกะทีละคำค่ะ รู้มั้ยว่าเราพึ่งจะเรียนรู้คำว่า preposition พวก about with on ไรงี้ตอนจะขึ้นม.4 U_U
การฝึกแกะทีละคำแบบนี้ทำให้ได้ศัพท์เยอะมากจริงๆ ถึงแม้จะเป็นศัพท์พื้นฐานก็เถอะ เพราะเราใช้คำซ้ำๆกันในจดหมายเลยเจอบ่อย พอเจอบ่อยก็จำ
จำแบบจำได้เอง ไม่ใช่จำแบบโดนยัดเยียดให้ไปสอบศัพท์ 10 คำในห้องเรียนไรงี้ อ๋อ แต่ถึงอย่างนั้นแกรมม่าก็ไม่เป๊ะนะคะ
เราก็แถๆ ถลอกๆไป เน้นการเรียงคำ เรียงประโยค จำศัพท์เบสิคง่ายๆก่อน ช่วงนั้นก็ให้น้องให้พี่ที่เก่งช่วยดูให้ก็ได้คำแนะนำมา

สรุปคือ 1 เดือนจมปลักอยู่การเขียนจดหมายย (สรุปล่มค่ะ เขียนไม่จบ5555) แต่ทำให้เราเริ่มชอบภาษาอังกฤษขึ้นมาเยอะเลย!!!

พอมาต่อม.4 เราเริ่มชอบภาษาอังกฤษเพราะอาจารย์สอนสนุกค่ะ เราว่าอาจารย์เป็นส่วนหนึ่งนะที่ทำให้เด็กชอบหรือไม่ชอบวิชานั้น
เราเริ่มตั้งใจเรียนแกรมม่า พอเรียนไรมาก็เอามาฝึกแต่งประโยคแบบนี้เรื่อยๆ จนแกรมม่าเริ่มได้ พวกศัพท์อะไรงี้เราไม่ได้ท่องเลยค่ะ แต่จะท่อง
เฉพาะเวลาสอบแล้วเราเป็นคนจำศัพท์ได้เร็วเลยหัวไวนิดนึง ผลจากการตั้งใจเรียนปรากฏเด็กที่ได้เกรดอังกฤษ 2.5 โดดมา 4 ค่ะ
อีกตัวที่เราชอบคือภาษาอังกฤษธุรกิจ คือเรียนพูด เรียนการใช้ประโยคสุภาพไม่สุภาพ เราว่ามันสนุกมากนะเรียนพวก conversation จำได้เลย
สอบครั้งแรกเราได้ 26/30 คือพอได้คะแนนดีมันก็ปริ่มอ่ะ 5555 เลยเริ่มชอบภาษาอังกฤษมากๆๆ

พอปิดเทอมขึ้นม.5 เราก็ลงเรียนแต่ภาษาอังกฤษ สังคม ไทยค่ะ ตอนนั้นเริ่มรู้แล้วว่าจะเข้าคณะสายศิลป์เลยทิ้งพวกวิทย์คณิตไปเลย(แอบเสียดายที่
พึ่งมารู้ตัวเองตอนม.สี่ -*- เพราะเกรดวิทย์คณิตฉุดมากๆค่ะ)
เราได้เรียนมาหลายสำนักเหมือนกันแต่เราว่าครูสมศรีได้ผลที่สุดแล้ว เพื่อนเราบางคนเรียนครูสมศรีไม่รู้เรื่องแต่สำหรับเราเรารู้เรื่องนะ
เราได้เทคนิคการทำข้อสอบจากครูสมศรีเยอะเลยค่ะ แล้วก็ทำรีดดิ้งเก่งขึ้นเพราะอาจารย์ด้วยตอนนั้นจากที่เคยอยากเข้าบัญชี

เป้าหมายคือ มนุษอิ๊งค่ะ!!

พอเข้าสู่ช่วงม.6 เราก็เริ่มเครียดว่าจะติดมั้ย เพราะเราพึ่งมาได้ภาษาอังกฤษตอนม.ปลายเองนะ ในขณะที่คนอื่นเค้ารู้สิ่งที่เรารู้ตั้งแต่ม.ต้นแล้ว
เราจะสู้เค้าได้เหรอ ก็เริ่มเครียดแล้ว ทีนี้คณะมนุษอิ๊งเค้าใช้ Gat50% เราก็เลยทุ่มเทกับ Gat มากค่ะ โชคดีที่โรงเรียนเรามีวิชภาษาอังกฤษที่เน้น
เกี่ยวกับการสอนเด็กทำข้อสอบ พวกข้อสอบ gat เก่าๆหรือข้อสอบโควต้าไรแบบนี้ เลยทำให้เรารู้แนวทำข้อสอบมากขึ้น ช่วงนั้นก็เริ่มเป๊ะเริ่มได้แล้ว
แต่ก็ยังไม่แน่นเท่าไหร่ แต่สุดท้าย.. เราก็ติดค่ะ ติดคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรัฐบาลที่คะแนนสูงที่สุด

มันเป็นสิ่งที่ภูมิใจมากๆ จากเด็กที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้ เด็กที่ตก เด็กที่ไม่รู้จัก article วันนี้คือเข้าเรียนมนุษอิ๊งได้

** ต่อมาเราก็เริ่มฝึกสกิลด้านการพูดและการฟัง **

ง่ายๆเลยคือเราดูซี่รี่ส์ฝรั่งค่ะ Gossip girl 4 season จบภายใน 1 เดือน ดูแล้วอิน อินแล้วก็ดูซ้ำๆ
ดูรอบสองก็เปิดเป็นศัพท์อังกฤษ ศัพท์คำไหนที่แปลเป็นไทยแล้วมันน่าสนใจเราก็พอสแล้วเปิดซับอังกฤษดูคำนั้นแล้วจดใส่โทรศัพท์
เช่น เป็นคนรักเดียวใจเดียว อะไรแบบนี้ แล้วเพราะเซรีน่ากับแบลร์นี้แหละทำให้เราฟังอังกฤษดีขึ้นเยอะ แต่ยังพูดไม่ได้5555

เรามาพูดได้ตอนไปเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศค่ะ จริงๆฝึกพูดที่ไทยก็ได้นะคะถ้ามีเพื่อนฝรั่งหรือทำงานในแหล่งที่ฝรั่งเยอะๆ
เพราะการได้ฝึกพูดจริงๆเนี่ยทำให้เราเก่งขึ้นเยอะเลย

สุดท้ายนี้อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เกลียดและไม่เก่งภาษาอังกฤษ ยิ้ม มันไม่สำคัญนะคะว่าตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วเรียนไม่ทันแล้ว
โนว! ไม่เกี่ยวเลย เรื่องภาษาเนี่ยเริ่มตอนอายุสี่สิบยังทันถ้าเกิดเราตั้งใจและชอบกับมัน ยิ้ม เอาคำดูถูกคนอื่นมาเป็นแรงผลักดันแล้วเราก็จะเก่งเองค่ะ!
ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้เรียกว่าเก่งมากแต่เราก็ภูมิใจที่คะแนนเราดีขึ้นในทุกๆปี ไม่ได้เรียนแล้วแย่ลงแค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ ยิ้ม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่