ขอเท้าความก่อนนะคะ ในสมัยก่อนกลุ่มเรามีกันอยู่ประมาณ 4-5 คนค่ะ กลุ่มเราจะแตกต่างจากกลุ่มอื่นในห้องที่เวลามีอะไรจะช่วยเหลือกันตลอด อย่างการบ้านก็รอส่งพร้อมกัน คนไหนทำไม่ทันทำไม่เสร็จก็ช่วยสอน ไม่มีมานินทากัน ไปไหนไปด้วยกันโดยเฉพาะแนนกับบีเราชอบไปเที่ยวด้วยกันค่ะ งานหนังสือคือไปทุกครั้งเลยก็ว่าได้ เป็นสัญลักษณ์ประจำกลุ่มไปเลย จนกระทั่ง ม.ปลาย พวกเราต่างแยกย้ายกันเรียนคนละห้อง สองคนแรกอยู่ห้อง 2 พูดง่ายๆคือห้องเดียวกัน คนที่ชื่อบีอยู่ห้อง 3 ส่วนเราอยู่ห้อง 5 แต่คนสุดท้ายต้องไปเรียนต่อที่ต่างจังหวัดด้วยเหตุผลทางครอบครัวโดยคนสุดท้ายขอสมมุติชื่อว่า แนนก็แล้วกันค่ะ เราสนิทกับแนนมากกว่าใครในกลุ่ม สนิทกันเอามากๆ ไม่มีเฟคใส่กันเลยสักนิด มีอะไรพูดกันตรงๆ ไม่ลับหลัง คือเรารักมันมาก แต่ว่ารองจากแนนก็มีบีในกลุ่มเนี้ยแหละค่ะ ที่สนิทด้วย พอได้ข่าวว่าแนนต้องไปเรียนต่อต่างจังหวัด ณ.จุดๆนั้นคือมันรู้สึกโหวงมากที่อยู่ๆเพื่อนสนิทที่สุดในตอนนั้นกับเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เรียนด้วยกันเหมือนอย่างเคย
บอกเลยใจเราอยากให้แนนอยู่ด้วยถึงคนละห้องก็ยังดี อารมณ์ของเด็กๆคืออยากให้อยู่ด้วยกัน เพราะถ้าไม่มีแนนเพื่อนห้องใหม่จะเป็นแบบไหน? เพราะยังไงซะเรากับคนในกลุ่มที่เหลือก็ต้องอยู่กันคนละห้องอยู่แล้ว แม้ว่าแนนจะอยู่คนละห้องก็ยังจะน่าดีกว่าไปเรียนอยู่ที่อื่น เราไม่รู้เลยว่าเพื่อนในห้องใหม่จะนิสัยอย่างแนน อย่างคนในกลุ่มหรือเปล่าเพราะห้องใหม่เราคือเด็กจากโรงเรียนอื่นและห้องอื่นมารวมกัน ต่างจากห้อง 2 และ ห้องของบี ที่มีแต่เด็กเก่าทั้งนั้น
ถ้าจะให้พูดตามตรงเรากลัวสังคมที่จะทำให้เราเปลี่ยนไป เรากลัวสังคม เรากลัวมีเพื่อนที่ไม่จริงใจ เรากลัวหลายๆอย่างและเราก็ยังอยากให้บรรยากาศแบบ ม.ต้นยังคงอยู่
แต่เราก็ยังแบบเออยังดีนะที่มีเพื่อนคนอื่นเหลืออยู่นั่นก็คือบี คือบีได้อยู่ห้อง 3 บีก็ไปมีกลุ่มใหม่ของบีน่ะค่ะ บีเข้ากับคนง่ายแถมเพื่อนในกลุ่มใหม่ก็ไม่ใช่ใครเป็นเพื่อนที่เคยอยู่ห้องเดียวกับพวกเราตอน ม.ต้น เราก็แบบดีๆเพื่อนในกลุ่มใหม่เป็นคนที่เรารู้จักกัน เราก็เลยแบบรู้ว่าคนไหน ดีไม่ดี คนไหนไม่ควรอยู่ใกล้ทำนองนี้ก็คุยกันง่าย
แรกๆบีก็ยังคุยกับเราดี สนิทกันเหมือนเดิมช่วงแรกๆ คือเราจะกลับบ้านพร้อมบีแม้ว่าจะอยู่คนละห้องก็ตาม อาจเพราะเรายังอยากซึมซับบรรยากาศเก่าๆก็เป็นได้ เราก็กลับพร้อมบี เราก็รอบีเลิกเรียนแล้วกลับพร้อมกัน บางวันบีก็รอเราและกลับพร้อมกันเหมือนกัน เหมือนจะดีนะคะ ถ้าทุกอย่างมันไม่เปลี่ยนไป
เพื่อนห้องใหม่เรา ครั้งแรกที่เราอยู่ห้องนี้ เราแบบ เฮ้ย ห้องนี้ดีใช้ได้เลยอ่ะ คือทุกคนนิสัยดีมาก เราก็ไม่ได้อะไรมาก บอกตามตรงรู้สึกดีใจนะที่ได้อยู่ห้องนี้
แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เสมอหรอกค่ะ เมื่อนานวันเข้า ทุกคนในห้องที่เราว่าดี แต่ล่ะคนเริ่มเผยนิสัยกันจริงๆออกมา
เผยจนเราไม่น่าเชื่อว่าคนพวกนี้อยู่ ม.ปลาย หรือเราอาจจะโลกสวยไป ทุกคนเริ่มจับกลุ่มกันนินทาคนนู่นคนนี้ว่าเลว นิสัยไม่ดี แย่ แรด กันอย่างสนุกปาก คนที่ชอบนินทาก็จะมาอยู่กลุ่มเดียวกัน เราก็แบบมองไปรอบตัว หาคนที่ไม่ใส่หน้ากากเข้าหากันแทบไม่มี พอนินทากันมากๆเข้า อีกฝ่ายรู้ตัวก็ไม่ได้พูดอะไร ทำตัวเฉยๆ แต่คนที่นินทานี่สิ คือสวมหน้ากากเลยค่ะ แบบ เราช่วยนะ นี่เราไม่เป็นไรหรอก เรามองดูภาพนั้นมันคืออะไร? แล้วกลุ่มที่ชอบนินทาคนอื่นคือมี 10 กว่าคนในกลุ่ม เป็นกลุ่มใหญ่ๆเลยค่ะ เราอึดอัด คือเราไม่รู้ไงว่าถ้าเราทำอะไรไม่ดีจะโดนยังไงเหมือนกัน แล้วเพื่อนในห้องชอบโยนงานให้เราทำคนเดียว พอเรา แบบ ไม่ได้นะงานกลุ่ม พวกคนในห้องบางคนก็จะบอกว่า ก็ช่วยๆไปก่อนสิ วันนี้เค้ามีเรียงความ รด. นะงานเยอะจะตายทำให้ไม่ได้หรอก หรือแม้กระทั่งโทษทีนะพ่อแม่ให้นอนเร็วอ่ะ ช่วยทำงานไม่ได้หรอก
ก็นั่นแหละค่ะ พองานไม่ดีก็มาโทษเรา นิสัยเราคือเราเป็นคนจริงใจ รักเพื่อนขณะเดียวกัน ถ้ามีเพื่อนเราก็ต้องการเพื่อนแบบตัวเอง มันจะพูดคุยง่ายกว่าปกติ มันจะเข้าใจเหตุผลซึ่งกันและกัน แต่พูดตามตรงเพื่อนในห้องนั้นมีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน คนที่เข้าหาเราก็มีแต่คนที่อยากผลประโยชน์ เราพูดคุยกับคนในห้องปกติ แต่ถามว่ามีเพื่อนซี้หรือกลุ่มจริงๆจังๆไหม ตอบได้เลยค่ะว่า ไม่มี
ก็มีเหงาบ้างนะคะ เราท้อทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องเพื่อน มักหวนนึกถึงบรรยากาศ ม.ต้นของตัวเองบ่อยๆ เราเลยตัดสินใจว่า ไม่เป็นไร เพื่อนในห้องน่ะ ถ้าบางคนเข้าหาเราเพราะผลประโยชน์สู้อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือไง? เราตัดสินใจแบบนั้นเวลากินข้าวหรืออะไร เรามักจะไปคนเดียวนะ เพราะมันสบายใจกว่าที่จะไปนั่งอยู่ท่ามกลางความอึดอัด เราก็ระบายเรื่องนี้ให้บีฟัง บีก็แบบเออ ยังมีเค้าน่า มันก็ปลอบเราก็ดีขึ้นเยอะ แต่เรามีทะเลาะกับบีบ้างเรื่องที่บีไม่ค่อยสนใจเรา คือสนใจน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก จากที่กลับบ้านพร้อมกัน มันก็ไม่รอเราคือกลับพร้อมกับกลุ่มใหม่ หรือเวลาเราเจอมันพร้อมกับกลุ่มเพื่อนมันจะไม่ค่อยคุยกับเรา แต่ไปคุยกับกลุ่มเพื่อนใหม่ของมันแทน แรกๆเรายังทำใจกับการถูกให้ความสนใจน้อยลงไม่ได้ไง ยอมรับว่าตอนนั้นตัวเองงี่เง่ามากๆเลยค่ะ แต่เราก็ยอมรับได้แล้วนะคะ
ทว่าหลังจากนั้นพักหลังๆในช่วง 1 เทอมที่ผ่านมา บีไปเที่ยวคาราโอเกะในห้างกับกลุ่มของมัน เราก็เออไม่เป็นไรหรอก เพื่อนกลุ่มเดียวกันในห้อง ถามว่าเรารู้ได้ไง? รูปในเฟสค่ะ จากนั้นไม่กี่วันต่อมาก็ไปร้านเบเกอร์รี่ในห้าง
( มีต่อค่ะ )
เพื่อนไปไหนไม่ชวน รู้สึกเหมือนโดนทิ้งอยู่ข้างหลัง เรางี่เง่าไหมคะที่รู้สึกแบบนี้?
บอกเลยใจเราอยากให้แนนอยู่ด้วยถึงคนละห้องก็ยังดี อารมณ์ของเด็กๆคืออยากให้อยู่ด้วยกัน เพราะถ้าไม่มีแนนเพื่อนห้องใหม่จะเป็นแบบไหน? เพราะยังไงซะเรากับคนในกลุ่มที่เหลือก็ต้องอยู่กันคนละห้องอยู่แล้ว แม้ว่าแนนจะอยู่คนละห้องก็ยังจะน่าดีกว่าไปเรียนอยู่ที่อื่น เราไม่รู้เลยว่าเพื่อนในห้องใหม่จะนิสัยอย่างแนน อย่างคนในกลุ่มหรือเปล่าเพราะห้องใหม่เราคือเด็กจากโรงเรียนอื่นและห้องอื่นมารวมกัน ต่างจากห้อง 2 และ ห้องของบี ที่มีแต่เด็กเก่าทั้งนั้น
ถ้าจะให้พูดตามตรงเรากลัวสังคมที่จะทำให้เราเปลี่ยนไป เรากลัวสังคม เรากลัวมีเพื่อนที่ไม่จริงใจ เรากลัวหลายๆอย่างและเราก็ยังอยากให้บรรยากาศแบบ ม.ต้นยังคงอยู่
แต่เราก็ยังแบบเออยังดีนะที่มีเพื่อนคนอื่นเหลืออยู่นั่นก็คือบี คือบีได้อยู่ห้อง 3 บีก็ไปมีกลุ่มใหม่ของบีน่ะค่ะ บีเข้ากับคนง่ายแถมเพื่อนในกลุ่มใหม่ก็ไม่ใช่ใครเป็นเพื่อนที่เคยอยู่ห้องเดียวกับพวกเราตอน ม.ต้น เราก็แบบดีๆเพื่อนในกลุ่มใหม่เป็นคนที่เรารู้จักกัน เราก็เลยแบบรู้ว่าคนไหน ดีไม่ดี คนไหนไม่ควรอยู่ใกล้ทำนองนี้ก็คุยกันง่าย
แรกๆบีก็ยังคุยกับเราดี สนิทกันเหมือนเดิมช่วงแรกๆ คือเราจะกลับบ้านพร้อมบีแม้ว่าจะอยู่คนละห้องก็ตาม อาจเพราะเรายังอยากซึมซับบรรยากาศเก่าๆก็เป็นได้ เราก็กลับพร้อมบี เราก็รอบีเลิกเรียนแล้วกลับพร้อมกัน บางวันบีก็รอเราและกลับพร้อมกันเหมือนกัน เหมือนจะดีนะคะ ถ้าทุกอย่างมันไม่เปลี่ยนไป
เพื่อนห้องใหม่เรา ครั้งแรกที่เราอยู่ห้องนี้ เราแบบ เฮ้ย ห้องนี้ดีใช้ได้เลยอ่ะ คือทุกคนนิสัยดีมาก เราก็ไม่ได้อะไรมาก บอกตามตรงรู้สึกดีใจนะที่ได้อยู่ห้องนี้
แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เสมอหรอกค่ะ เมื่อนานวันเข้า ทุกคนในห้องที่เราว่าดี แต่ล่ะคนเริ่มเผยนิสัยกันจริงๆออกมา
เผยจนเราไม่น่าเชื่อว่าคนพวกนี้อยู่ ม.ปลาย หรือเราอาจจะโลกสวยไป ทุกคนเริ่มจับกลุ่มกันนินทาคนนู่นคนนี้ว่าเลว นิสัยไม่ดี แย่ แรด กันอย่างสนุกปาก คนที่ชอบนินทาก็จะมาอยู่กลุ่มเดียวกัน เราก็แบบมองไปรอบตัว หาคนที่ไม่ใส่หน้ากากเข้าหากันแทบไม่มี พอนินทากันมากๆเข้า อีกฝ่ายรู้ตัวก็ไม่ได้พูดอะไร ทำตัวเฉยๆ แต่คนที่นินทานี่สิ คือสวมหน้ากากเลยค่ะ แบบ เราช่วยนะ นี่เราไม่เป็นไรหรอก เรามองดูภาพนั้นมันคืออะไร? แล้วกลุ่มที่ชอบนินทาคนอื่นคือมี 10 กว่าคนในกลุ่ม เป็นกลุ่มใหญ่ๆเลยค่ะ เราอึดอัด คือเราไม่รู้ไงว่าถ้าเราทำอะไรไม่ดีจะโดนยังไงเหมือนกัน แล้วเพื่อนในห้องชอบโยนงานให้เราทำคนเดียว พอเรา แบบ ไม่ได้นะงานกลุ่ม พวกคนในห้องบางคนก็จะบอกว่า ก็ช่วยๆไปก่อนสิ วันนี้เค้ามีเรียงความ รด. นะงานเยอะจะตายทำให้ไม่ได้หรอก หรือแม้กระทั่งโทษทีนะพ่อแม่ให้นอนเร็วอ่ะ ช่วยทำงานไม่ได้หรอก
ก็นั่นแหละค่ะ พองานไม่ดีก็มาโทษเรา นิสัยเราคือเราเป็นคนจริงใจ รักเพื่อนขณะเดียวกัน ถ้ามีเพื่อนเราก็ต้องการเพื่อนแบบตัวเอง มันจะพูดคุยง่ายกว่าปกติ มันจะเข้าใจเหตุผลซึ่งกันและกัน แต่พูดตามตรงเพื่อนในห้องนั้นมีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน คนที่เข้าหาเราก็มีแต่คนที่อยากผลประโยชน์ เราพูดคุยกับคนในห้องปกติ แต่ถามว่ามีเพื่อนซี้หรือกลุ่มจริงๆจังๆไหม ตอบได้เลยค่ะว่า ไม่มี
ก็มีเหงาบ้างนะคะ เราท้อทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องเพื่อน มักหวนนึกถึงบรรยากาศ ม.ต้นของตัวเองบ่อยๆ เราเลยตัดสินใจว่า ไม่เป็นไร เพื่อนในห้องน่ะ ถ้าบางคนเข้าหาเราเพราะผลประโยชน์สู้อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือไง? เราตัดสินใจแบบนั้นเวลากินข้าวหรืออะไร เรามักจะไปคนเดียวนะ เพราะมันสบายใจกว่าที่จะไปนั่งอยู่ท่ามกลางความอึดอัด เราก็ระบายเรื่องนี้ให้บีฟัง บีก็แบบเออ ยังมีเค้าน่า มันก็ปลอบเราก็ดีขึ้นเยอะ แต่เรามีทะเลาะกับบีบ้างเรื่องที่บีไม่ค่อยสนใจเรา คือสนใจน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก จากที่กลับบ้านพร้อมกัน มันก็ไม่รอเราคือกลับพร้อมกับกลุ่มใหม่ หรือเวลาเราเจอมันพร้อมกับกลุ่มเพื่อนมันจะไม่ค่อยคุยกับเรา แต่ไปคุยกับกลุ่มเพื่อนใหม่ของมันแทน แรกๆเรายังทำใจกับการถูกให้ความสนใจน้อยลงไม่ได้ไง ยอมรับว่าตอนนั้นตัวเองงี่เง่ามากๆเลยค่ะ แต่เราก็ยอมรับได้แล้วนะคะ
ทว่าหลังจากนั้นพักหลังๆในช่วง 1 เทอมที่ผ่านมา บีไปเที่ยวคาราโอเกะในห้างกับกลุ่มของมัน เราก็เออไม่เป็นไรหรอก เพื่อนกลุ่มเดียวกันในห้อง ถามว่าเรารู้ได้ไง? รูปในเฟสค่ะ จากนั้นไม่กี่วันต่อมาก็ไปร้านเบเกอร์รี่ในห้าง
( มีต่อค่ะ )