ผมอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ของผมให้สำหรับหลาย ๆ ท่านที่อาจจะเคยมีแนวความคิดเช่นเดียวกับผม หรือว่าอาจจะมองโลกในแง่ดี (เกินไป) อย่างผมมาก่อน ในการที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ใครครับ
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องรู้สึกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมตัดสินใจผิด จนต้องเสียใจมาถึงทุกวันนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ๔ ปีที่แล้วครับ โดยในช่วงปีนั้นผมประสบปัญหารุมเร้าหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหากับทางบ้าน ที่ทำงาน แฟน เพื่อน และรุ่นน้องที่สนิทกัน ทุก ๆ เรื่องเข้ามาพร้อมกันจนผมเกิดภาวะเครียด แต่ผมก็อาศัยทางพุทธเข้าช่วยให้ไม่เกิดความฟุ้งซ่านหรือเครียดไปมากกว่าเดิม ซึ่งหลาย ๆ คนก็มักจะบอกว่าสงสัยเป็นเพราะปีชง หรืออาจเป็นเพราะดวงกำลังตก ผมเองก็ได้แต่ฟัง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเชื่อ ๑๐๐% แต่ผมก็ใส่บาตรอยู่แล้วทุกวัน ก็ทำให้จิตใจสงบได้บ้างแม้เป็นช่วงเวลาเล็ก ๆ ก็ยังดี
ช่วงเดือนกรกฎาคมของปีนั้น อาจารย์และรุ่นพี่ที่โรงเรียนมัธยมที่ผมสำเร็จการศึกษาซึ่งสนิทกัน ได้เล่าให้ผมฟังเรื่องถึงรุ่นน้องที่โรงเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ มีหลายคนที่ต้องการทุนการศึกษา เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่ดี และบางคนก็ประสบปัญหาครอบครัวแตกแยก ด้วยนิสัยของผมเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเป็นทุนเดิม ประกอบกับขณะนั้นผมคิดว่าการที่เราได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและการให้โอกาสคนน่าจะได้บุญ อย่างน้อยก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้าง ผมก็เลยนำเรื่องนี้ไปเสนอกับเพื่อน ๆ และขอรับบริจาคเงินจากเพื่อน ๆ โดยขอให้แต่ละคนบริจาคเงินที่สามารถให้ทุนน้อง ๆ ได้อย่างน้อย ๑ ทุน รวมทั้งผม ซึ่งผมก็ได้ให้จำนวน ๒ ทุน
ต่อมาในเดือนกันยายน ผมได้รับการติดต่อจากอาจารย์ที่รับจัดการเรื่องทุนให้กับผม ว่าทุนของผมมีรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งได้รับทุนไป ชื่อ อ๊อด กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.๖ ซึ่งได้เขียนจดหมายฝากมาขอบคุณผม โดยได้เล่าถึงชีวิตครอบครัวของน้องเขาว่า ทีบ้านน้องเขาอาศัยอยู่กับตาที่ตาบอด แม่ที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง พี่สาวที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีในสถานศึกษาในจังหวัดปทุมธานี และน้องสาวที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ป.๔ รายได้ของครอบครัวจะมาจากการที่แม่ทำขนมไปขายในตลาดตอนเช้ามืดทุกวัน ซึ่งก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวต้องไปกู้นอกระบบมาเสียดอกเบี้ยเป็นรายวัน และน้องเขาจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อที่จะช่วยแม่ทำขนมในตอนเย็นถึงประมาณสี่ทุ่ม ส่วนเงินที่ได้รับจากผมไปจำนวนหนึ่งนั้นน้องเขาตั้งใจว่าจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการสอบเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา นอกจากนี้อาจารย์ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า น้องคนนี้นิสัยเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและเรียนเก่ง ไม่มีปัญหาใด ๆ ที่โรงเรียน อาจารย์ผมก็เลยตัดสินในให้น้องคนนี้ได้รับทุนของผม
หลังจากที่ผมได้อ่านจดหมายของน้องเขา ผมก็คิดว่าหากเป็นเด็กที่อาจารย์ผมคัดสรรมาแล้วก็แสดงว่าต้องเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน และนำเงินทุนของผมไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดได้อย่างแน่นอน บังเอิญว่าช่วงนั้นผมรับงานพิเศษมาทำหลายอย่าง ผมก็เลยปรึกษากับอาจารย์ว่า ถ้าผมจะจ้างน้องเขาพิมพ์งานเพื่อเป็นรายได้พิเศษอาจารย์ผมจะเห็นว่าอย่างไร ซึ่งอาจารย์ผมและรุ่นพี่ก็เห็นดีด้วย ดังนั้น ผมก็เลยฝากอาจารย์และรุ่นพี่ผมแจ้งข่าวให้น้องเขาทราบ โดยให้น้องเขาตัดสินใจว่าจะรับทำหรือไม่ หากจะรับทำจริง ๆ ก็ให้โทรติดต่อผมมา เพราะในขณะนั้นผมยังไม่รู้จักหน้าตา หรือว่าที่อยู่ของรุ่นน้องเลย ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานน้องเขาก็โทรมาแล้วก็บอกผมว่ายินดีต้องการที่จะรับพิมพ์งานให้ผม
วันแรกที่น้องเขามารับงานรุ่นพี่ผมเป็นคนพามาหาผมที่บ้าน เพราะว่าจะได้รู้จักและคราวต่อไปจะได้ติดต่อมารับงานจากผมเอง ผมก็ซักถามประวัติเพื่อเป็นการพูดคุยทั่ว ๆ ไป และก็ทราบว่าบ้านของน้องเขากับผมห่างกันประมาณ ๓๕ กิโลเมตร เมื่อได้ส่งมอบงานให้น้องเขาแล้วก็นัดเวลาส่งงานกัน ผมก็เลยไปส่งน้องเขาที่บ้าน เมื่อถึงบ้านน้องเขาและได้เห็นสภาพบ้านที่เก่าและทรุดโทรมมาก ๆ มีฝาผนังและหลังคามุงด้วยสังกะสีผุ ๆ มีรถจักรยานยนต์เก่า ๆ ที่พ่วงเป็นรถสามล้อข้างเพื่อไว้ใช้ขนของอยู่หนึ่งคัน ผมเห็นก็อดเห็นใจน้องมันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ณ ตอนนั้นผมก็คิดว่าก็ยังดีที่ผมได้มีโอกาสช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งให้ได้มีโอกาสเล็ก ๆ ในอนาคต
จากที่ได้มีการติดต่อรับงานและพูดคุยกันมากขึ้น ก็ทำให้ผมกับรุ่นน้องเริ่มสนิทกันเรื่อย ๆ น้องเขามักจะเปิดใจเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง และผมก็ให้คำปรึกษาตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนผมที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ชวนผมไปเที่ยวบุริรัมย์ ผมก็เลยชวนแฟนผมได้ด้วยกัน เพราะต้องการให้ปัญหาระหว่างเรามันคลี่คลายและเข้าใจกันมากขึ้น ผมก็เลยแจ้งกับุร่นน้องผมว่าผมไม่อยู่เสาร์อาทิตย์ไม่ต้องมารับงาน เพราะว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน รุ่นน้องผมได้ฟังเช่นนั้นก็เลยพูดกับผมขึ้นมาว่า พี่โชคดีนะได้ไปเที่ยวตั้งหลายที่ สำหรับเขาแล้วเขาไม่เคยมีโอกาสไปไหนเลย ตั้งแต่เรียนมัธยมมาเคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนเพียงแค่ครั้งเดียว ด้วยเหตุผลฐานะทางบ้านและต้องช่วยแม่ทำขนมขายทุก ๆ วัน หากไม่ช่วยก็ไม่มีใครช่วยแม่เลย เพราะพี่สาวอยู่กับแฟนก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน ส่วนน้องสาวก็ยังเด็กชอบเล่นสนุกสนานไปวัน ๆ ผมก็เลยปรึกษากับเพื่อนและแฟนผม บังเอิญว่าแฟนผมมีธุระต้องไปกับครอบครัว ที่นั่งรถตู้จึงว่าที่หนึ่ง ผมก็เลยชวนรุ่นน้องผมไปเที่ยวด้วยกัน ทันทีที่รุ่นน้องผมทราบว่าจะได้ไปเที่ยว เขาดีใจมากครับ ดีใจเหมือนเด็ก ๆ ที่ได้ของเล่นใหม่ เขาจัดแจงไปขออนุญาตแม่ และเก็บกระเป๋ามารอตู้ที่บ้านผม ในระหว่างการเดินทางก็ดูรุ่นน้องผมเหมือนกับเด็ก ๆ ที่ไม่เคยไปไหนมาเลย ถามนั่นถามนี่ ระหว่างทางเราแวะที่โคราชเพื่อสักการะย่าโมครับ แล้วบริเวณนั้นมีข้าวจี่ขาย รุ่นน้องผมเขาก็เดินเข้าไปเลียบ ๆ เคียง ๆ แล้วเดินมาถามผมว่าคืออะไร แล้วรสชาดเป็นยังไง ผมก็เลยบอกว่าหากอยากกินก็ซื้อลองชิมดู เขาดีใจเหมือนเด็กครับ ก็วิ่งไปซื้อมากิน ในตอนนั้นผมบอกได้เลยว่าผมรู้สึกดีนะครับ ที่อย่างน้อยได้ให้โอกาสเด็กคนหนึ่งได้เรียนรู้จากโลกที่เขาเคยเจออยู่ทุก ๆ วัน จะว่าไปความรู้สึกดี ๆ เนี้ยหล่ะครับมันเพิ่มขึ้น ๆ แล้วก็เลยคิดว่าสิ่งที่ผมทำนั้นเป็นความดี เป็นสิ่งที่ดี เป็นบุญ
ในระหว่างเดินทางไปเที่ยวบุรีรัมย์ ผมก็แนะนำรุ่นน้องหลายเรื่องไม่ว่าเป็นการมีมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น การวางตัวในสังคมโดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ และอีกหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งรุ่นน้องผมก็รับฟังโดยไม่มีอาการตอบโต้แต่อย่างใด ก็ในตอนนั้นถือว่าเป็นเด็กที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ดีครับ ผมกับคณะพักอยู่ที่บุรีรัมย์เป็นเวลา ๒ วัน จึงเดินทางกลับ ก็มาถึงบ้านผมประมาณตี ๑ กว่า ๆ ผมก็เลยให้รุ่นน้องค้างที่บ้านผมก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นผมจะขับไปส่งเพราะว่ามันดึกแล้ว แม่ผมเองก็บอกว่าให้ค้างก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นค่อยกลับ ปรากฏว่ารุ่นน้องผมบอกว่าขอกลับเดี๋ยวนั้น เพราะว่าเป็นห่วงแม่ ผมก็เลยขับรถไปส่ง กลับมาบ้านผมก็โดนแม่ผมบ่นตามระเบียบ
หลังจากที่กลับมาจากบุรีรัมย์ได้ไม่กี่วัน รุ่นน้องผมก็โทรมาหาแล้วก็บอกว่าตอนนี้เครียดมาก เนื่องจากรุ่นน้องผมคุยกับแม่แล้วแม่เขาต้องการให้สอบจ่าทหาร (ขอโทษนะครับหากผมเรียกผิดไป) แต่รุ่นน้องผมไม่อยากสอบ เขาอยากจะเรียนปริญญาตรีเหมือนกับเพื่อน ๆ อยากเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง อยากจะเรียนจุลชีวะวิทยา เขาเล่าว่าแม่บอกว่าคงไม่สามารถส่งให้เรียนได้ เพราะรายจ่ายและหนี้สินที่บ้าน เลยอยากให้เรียนจ่าทหารเพราะว่ามีรายได้ระหว่างเรียนด้วย ประกอบกับเป็นอาชีพที่มั่นคง เขาพูดไปเสียงก็เหมือนกับจะร้องไห้ ในตอนนั้นผมก็ได้แต่รับฟังแล้วก็ปลอบใจรุ่นน้องผมไปว่าก็ลองไปสอบทั้งเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยด้วย และไปสอบจ่าทหารให้แม่ด้วย หากได้ก็ค่อยว่ากันอีกที แต่รุ่นน้องผมก็ยังเป็นกังวล เนื่องจากจ่าทหารประกาศผลและรับก่อนมหาวิทยาลัย และจากวันนั้นน้องเขาก็โทรมาปรึกษากับผมเรื่อย ๆ จนวันที่ต้องไปสอบจ่าทหาร หลังจากน้องเขาสอบเสร็จก็โทรมาหาผมรายงานว่าเขาสามารถทำข้อสอบได้ และคิดว่าน่าจะติดแน่นอน ผมก็เลยถามว่าตกลงแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าจะเป็นทหาร น้องเขาก็ตอบด้วยเสียงเศร้า ๆ ว่า ก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอย่างคนอื่น หากชีวิตเขามีเงิน มีพ่อ มีแม่ที่มีเงินเขาก็น่าจะมีทางเลือกมากกว่านี้ แล้วน้องเขาก็ร้องไห้แบบเด็ก ๆ แล้วน้องเขาก็บอกว่าที่เขาต้องสอบเพราะว่า อยากให้แม่ดีใจ เขารักแม่ อยากทำเพื่อแม่ ผมก็เลยถามว่า แล้วจะสอบเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่ เขาก็บอกว่าจะไม่สอบ ผมก็เลยบอกให้ไปสอบนะ เผื่อไว้ก่อน เผือ่เอาไว้เป็นทางเลือก แต่น้องเขาคงอยู่ในอารณ์ที่ไม่ปรกติ ก็ตวาดผมว่า "ผมไม่สอบ ๆ ผมไม่มีทางเลือก ผมจะทำเพื่อแม่" ก็เลยเป็นเหตุให้เราทะเลาะกันครับ ผมเลยวางสายไป และก็ไม่ติดต่อถามไถ่เรื่องราวอะไรอีก
อาทิตย์หนึ่งหลังจากที่ได้ทะเลาะกัน รุ่นน้องผมก็โทรมาขอโทษ แล้วก็บอกว่าจะไปสอบเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยอย่างที่ผมแนะนำ ผมก็เลยยกโทษให้ จากนั้นไม่นาน ผลการสอบจ่าทหารก็ประกาศผล ปรากฏว่ารุ่นน้องผมสอบติดข้อเขียนจริง ๆ เขาโทรมาบอกผมด้วยเสียงเศร้า ๆ และบอกกำหนดการที่จะต้องไปสอบสัมภาษณ์และปฏิบัติ ผมก็เลยบอกว่าหากไปสอบแล้วผลออกมาอย่างไรก็ให้แจ้งผมด้วย ซึ่งในใจผมก็อยากให้รุ่นน้องผมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกับผมหรือว่าเหมือนกับเด็กหลาย ๆ คนที่ตั้งใจจะเรียนจริง ๆ ผมไม่ได้คิดว่าการเป็นมหารไม่ดีนะครับ แต่...ผมอยากให้รุ่นน้องผมเขาได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากจะเรียน และเป็นในสิ่งที่อยากเป็นจะดีกว่าที่จะต้องอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไปเกือบทั้งชีวิต และเมื่อวันประกาศผลสอบออกมาปรากฏว่ารุ่นน้องผมเขาตกสัมภาษณ์ เขารีบโทรมาแจ้งผม เสียงเขาดีใจมาก พูดตลอดว่าจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ๆ ผมก็ดีใจกับเขาด้วย
หลังจากที่รุ่นน้องผมพลาดโอกาสจากการสอบจ่าทหาร ก็ได้ตั้งใจอ่านหนังสือสอบเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย จนกระทั่งวันประกาศผลสอบ เขาโทรมาผมเกือบ ๔ ทุ่ม แล้วก็บอกว่า "พี่ครับ ๆ ผมสอบติดแล้วนะครับ ผมสอบติดจุลชีวะ พี่ดีใจกับผมไหม ๆ" โดยเขาสอบได้ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก เขาดีใจมาก ผมก็ได้แต่นึกในใจว่าแล้วน้องเขาจะหาค่าใช้จ่ายในการเรียนมาจากไหน ซึ่งตอนนั้นผมก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าทำบุญให้เด็กไป ส่งเด็กเรียนคนนึงไม่น่าจะเป็นภาระที่หนักอึ้งเกินไปมั้ง แต่ผมก็ยังไม่ได้บอกกับรุ่นน้องผมแต่อย่างใด ผมปรึกษากับพี่บ้านผม แฟนผม ญาติผู้ใหญ่ อาจารย์ และเพื่อน ๆ ทุก ๆ คนเห็นดีด้วย ยกเว้นคุณแม่ผม ท่านไม่ค่อยจะเห็นด้วย แต่ท่านรู้นิสัยผมว่าผมตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็ล้มเลิกยาก ท่านก็เลยบอกว่า งั้นให้ทำเป็นสัญญายืมเงินระหว่างผมกับรุ่นน้องผม ใช้อะไรไปเท่าไรก็ให้จดกันไว้ทั้งสองฝ่าย แล้วก็ค่อยมารวมยอมทีหลัง เมื่อรุ่นน้องผมเรียนจบก็ให้ผ่อนใช้เมื่อมีรายได้ เมื่อคุณแม่ผมท่านเปิดไฟเขียวแล้ว ผมก็เลยคุยกับรุ่นน้องเรื่องที่ผมจะส่งเรียน แต่เป็นการส่งเรียนที่มีเงื่อนไข ดังนี้
๑. จะต้องมีความประพฤติดี ตั้งใจเรียน
๒. จะต้องมาช่วยงานผมทุกอาทิตย์ (วันธรรมดาผมจะพักและทำงานที่กรุงเทพ แต่จะกลับบ้านเสาร์อาทิตย์) เว้นแต่ไม่มีงานหรือมีเหตุจำเป็นเช่น ติดสอบ หรือมีกิจกรรมรับน้อง
๓. จะต้องจดค่าใช้จ่ายทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น พร้อมกับทำสัญญา เมื่อทำงานแล้วมีรายได้ ก็ให้ผ่อนชำระ โดยไม่มีดอกเบี้ย
รุ่นน้องผมดีใจมากที่ผมจะส่งเรียน เขารีบกลับบ้านไปบอกแม่เขา ซึ่งเขามาเล่าให้ฟังทีหลังว่าทั้งเขาและแม่ดีใจกันจนร้องไห้น้ำตาซึมกัน....
(แล้วผมจะมาต่อนะครับ)
ซึ้งกับคำว่า "เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด" จริง ๆ ครับ
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องรู้สึกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมตัดสินใจผิด จนต้องเสียใจมาถึงทุกวันนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ๔ ปีที่แล้วครับ โดยในช่วงปีนั้นผมประสบปัญหารุมเร้าหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหากับทางบ้าน ที่ทำงาน แฟน เพื่อน และรุ่นน้องที่สนิทกัน ทุก ๆ เรื่องเข้ามาพร้อมกันจนผมเกิดภาวะเครียด แต่ผมก็อาศัยทางพุทธเข้าช่วยให้ไม่เกิดความฟุ้งซ่านหรือเครียดไปมากกว่าเดิม ซึ่งหลาย ๆ คนก็มักจะบอกว่าสงสัยเป็นเพราะปีชง หรืออาจเป็นเพราะดวงกำลังตก ผมเองก็ได้แต่ฟัง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเชื่อ ๑๐๐% แต่ผมก็ใส่บาตรอยู่แล้วทุกวัน ก็ทำให้จิตใจสงบได้บ้างแม้เป็นช่วงเวลาเล็ก ๆ ก็ยังดี
ช่วงเดือนกรกฎาคมของปีนั้น อาจารย์และรุ่นพี่ที่โรงเรียนมัธยมที่ผมสำเร็จการศึกษาซึ่งสนิทกัน ได้เล่าให้ผมฟังเรื่องถึงรุ่นน้องที่โรงเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ มีหลายคนที่ต้องการทุนการศึกษา เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่ดี และบางคนก็ประสบปัญหาครอบครัวแตกแยก ด้วยนิสัยของผมเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นเป็นทุนเดิม ประกอบกับขณะนั้นผมคิดว่าการที่เราได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและการให้โอกาสคนน่าจะได้บุญ อย่างน้อยก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้าง ผมก็เลยนำเรื่องนี้ไปเสนอกับเพื่อน ๆ และขอรับบริจาคเงินจากเพื่อน ๆ โดยขอให้แต่ละคนบริจาคเงินที่สามารถให้ทุนน้อง ๆ ได้อย่างน้อย ๑ ทุน รวมทั้งผม ซึ่งผมก็ได้ให้จำนวน ๒ ทุน
ต่อมาในเดือนกันยายน ผมได้รับการติดต่อจากอาจารย์ที่รับจัดการเรื่องทุนให้กับผม ว่าทุนของผมมีรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งได้รับทุนไป ชื่อ อ๊อด กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.๖ ซึ่งได้เขียนจดหมายฝากมาขอบคุณผม โดยได้เล่าถึงชีวิตครอบครัวของน้องเขาว่า ทีบ้านน้องเขาอาศัยอยู่กับตาที่ตาบอด แม่ที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง พี่สาวที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีในสถานศึกษาในจังหวัดปทุมธานี และน้องสาวที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ป.๔ รายได้ของครอบครัวจะมาจากการที่แม่ทำขนมไปขายในตลาดตอนเช้ามืดทุกวัน ซึ่งก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวต้องไปกู้นอกระบบมาเสียดอกเบี้ยเป็นรายวัน และน้องเขาจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อที่จะช่วยแม่ทำขนมในตอนเย็นถึงประมาณสี่ทุ่ม ส่วนเงินที่ได้รับจากผมไปจำนวนหนึ่งนั้นน้องเขาตั้งใจว่าจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการสอบเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา นอกจากนี้อาจารย์ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า น้องคนนี้นิสัยเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและเรียนเก่ง ไม่มีปัญหาใด ๆ ที่โรงเรียน อาจารย์ผมก็เลยตัดสินในให้น้องคนนี้ได้รับทุนของผม
หลังจากที่ผมได้อ่านจดหมายของน้องเขา ผมก็คิดว่าหากเป็นเด็กที่อาจารย์ผมคัดสรรมาแล้วก็แสดงว่าต้องเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน และนำเงินทุนของผมไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดได้อย่างแน่นอน บังเอิญว่าช่วงนั้นผมรับงานพิเศษมาทำหลายอย่าง ผมก็เลยปรึกษากับอาจารย์ว่า ถ้าผมจะจ้างน้องเขาพิมพ์งานเพื่อเป็นรายได้พิเศษอาจารย์ผมจะเห็นว่าอย่างไร ซึ่งอาจารย์ผมและรุ่นพี่ก็เห็นดีด้วย ดังนั้น ผมก็เลยฝากอาจารย์และรุ่นพี่ผมแจ้งข่าวให้น้องเขาทราบ โดยให้น้องเขาตัดสินใจว่าจะรับทำหรือไม่ หากจะรับทำจริง ๆ ก็ให้โทรติดต่อผมมา เพราะในขณะนั้นผมยังไม่รู้จักหน้าตา หรือว่าที่อยู่ของรุ่นน้องเลย ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานน้องเขาก็โทรมาแล้วก็บอกผมว่ายินดีต้องการที่จะรับพิมพ์งานให้ผม
วันแรกที่น้องเขามารับงานรุ่นพี่ผมเป็นคนพามาหาผมที่บ้าน เพราะว่าจะได้รู้จักและคราวต่อไปจะได้ติดต่อมารับงานจากผมเอง ผมก็ซักถามประวัติเพื่อเป็นการพูดคุยทั่ว ๆ ไป และก็ทราบว่าบ้านของน้องเขากับผมห่างกันประมาณ ๓๕ กิโลเมตร เมื่อได้ส่งมอบงานให้น้องเขาแล้วก็นัดเวลาส่งงานกัน ผมก็เลยไปส่งน้องเขาที่บ้าน เมื่อถึงบ้านน้องเขาและได้เห็นสภาพบ้านที่เก่าและทรุดโทรมมาก ๆ มีฝาผนังและหลังคามุงด้วยสังกะสีผุ ๆ มีรถจักรยานยนต์เก่า ๆ ที่พ่วงเป็นรถสามล้อข้างเพื่อไว้ใช้ขนของอยู่หนึ่งคัน ผมเห็นก็อดเห็นใจน้องมันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ณ ตอนนั้นผมก็คิดว่าก็ยังดีที่ผมได้มีโอกาสช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งให้ได้มีโอกาสเล็ก ๆ ในอนาคต
จากที่ได้มีการติดต่อรับงานและพูดคุยกันมากขึ้น ก็ทำให้ผมกับรุ่นน้องเริ่มสนิทกันเรื่อย ๆ น้องเขามักจะเปิดใจเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง และผมก็ให้คำปรึกษาตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนผมที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ชวนผมไปเที่ยวบุริรัมย์ ผมก็เลยชวนแฟนผมได้ด้วยกัน เพราะต้องการให้ปัญหาระหว่างเรามันคลี่คลายและเข้าใจกันมากขึ้น ผมก็เลยแจ้งกับุร่นน้องผมว่าผมไม่อยู่เสาร์อาทิตย์ไม่ต้องมารับงาน เพราะว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน รุ่นน้องผมได้ฟังเช่นนั้นก็เลยพูดกับผมขึ้นมาว่า พี่โชคดีนะได้ไปเที่ยวตั้งหลายที่ สำหรับเขาแล้วเขาไม่เคยมีโอกาสไปไหนเลย ตั้งแต่เรียนมัธยมมาเคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนเพียงแค่ครั้งเดียว ด้วยเหตุผลฐานะทางบ้านและต้องช่วยแม่ทำขนมขายทุก ๆ วัน หากไม่ช่วยก็ไม่มีใครช่วยแม่เลย เพราะพี่สาวอยู่กับแฟนก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน ส่วนน้องสาวก็ยังเด็กชอบเล่นสนุกสนานไปวัน ๆ ผมก็เลยปรึกษากับเพื่อนและแฟนผม บังเอิญว่าแฟนผมมีธุระต้องไปกับครอบครัว ที่นั่งรถตู้จึงว่าที่หนึ่ง ผมก็เลยชวนรุ่นน้องผมไปเที่ยวด้วยกัน ทันทีที่รุ่นน้องผมทราบว่าจะได้ไปเที่ยว เขาดีใจมากครับ ดีใจเหมือนเด็ก ๆ ที่ได้ของเล่นใหม่ เขาจัดแจงไปขออนุญาตแม่ และเก็บกระเป๋ามารอตู้ที่บ้านผม ในระหว่างการเดินทางก็ดูรุ่นน้องผมเหมือนกับเด็ก ๆ ที่ไม่เคยไปไหนมาเลย ถามนั่นถามนี่ ระหว่างทางเราแวะที่โคราชเพื่อสักการะย่าโมครับ แล้วบริเวณนั้นมีข้าวจี่ขาย รุ่นน้องผมเขาก็เดินเข้าไปเลียบ ๆ เคียง ๆ แล้วเดินมาถามผมว่าคืออะไร แล้วรสชาดเป็นยังไง ผมก็เลยบอกว่าหากอยากกินก็ซื้อลองชิมดู เขาดีใจเหมือนเด็กครับ ก็วิ่งไปซื้อมากิน ในตอนนั้นผมบอกได้เลยว่าผมรู้สึกดีนะครับ ที่อย่างน้อยได้ให้โอกาสเด็กคนหนึ่งได้เรียนรู้จากโลกที่เขาเคยเจออยู่ทุก ๆ วัน จะว่าไปความรู้สึกดี ๆ เนี้ยหล่ะครับมันเพิ่มขึ้น ๆ แล้วก็เลยคิดว่าสิ่งที่ผมทำนั้นเป็นความดี เป็นสิ่งที่ดี เป็นบุญ
ในระหว่างเดินทางไปเที่ยวบุรีรัมย์ ผมก็แนะนำรุ่นน้องหลายเรื่องไม่ว่าเป็นการมีมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น การวางตัวในสังคมโดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ และอีกหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งรุ่นน้องผมก็รับฟังโดยไม่มีอาการตอบโต้แต่อย่างใด ก็ในตอนนั้นถือว่าเป็นเด็กที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ดีครับ ผมกับคณะพักอยู่ที่บุรีรัมย์เป็นเวลา ๒ วัน จึงเดินทางกลับ ก็มาถึงบ้านผมประมาณตี ๑ กว่า ๆ ผมก็เลยให้รุ่นน้องค้างที่บ้านผมก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นผมจะขับไปส่งเพราะว่ามันดึกแล้ว แม่ผมเองก็บอกว่าให้ค้างก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นค่อยกลับ ปรากฏว่ารุ่นน้องผมบอกว่าขอกลับเดี๋ยวนั้น เพราะว่าเป็นห่วงแม่ ผมก็เลยขับรถไปส่ง กลับมาบ้านผมก็โดนแม่ผมบ่นตามระเบียบ
หลังจากที่กลับมาจากบุรีรัมย์ได้ไม่กี่วัน รุ่นน้องผมก็โทรมาหาแล้วก็บอกว่าตอนนี้เครียดมาก เนื่องจากรุ่นน้องผมคุยกับแม่แล้วแม่เขาต้องการให้สอบจ่าทหาร (ขอโทษนะครับหากผมเรียกผิดไป) แต่รุ่นน้องผมไม่อยากสอบ เขาอยากจะเรียนปริญญาตรีเหมือนกับเพื่อน ๆ อยากเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง อยากจะเรียนจุลชีวะวิทยา เขาเล่าว่าแม่บอกว่าคงไม่สามารถส่งให้เรียนได้ เพราะรายจ่ายและหนี้สินที่บ้าน เลยอยากให้เรียนจ่าทหารเพราะว่ามีรายได้ระหว่างเรียนด้วย ประกอบกับเป็นอาชีพที่มั่นคง เขาพูดไปเสียงก็เหมือนกับจะร้องไห้ ในตอนนั้นผมก็ได้แต่รับฟังแล้วก็ปลอบใจรุ่นน้องผมไปว่าก็ลองไปสอบทั้งเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยด้วย และไปสอบจ่าทหารให้แม่ด้วย หากได้ก็ค่อยว่ากันอีกที แต่รุ่นน้องผมก็ยังเป็นกังวล เนื่องจากจ่าทหารประกาศผลและรับก่อนมหาวิทยาลัย และจากวันนั้นน้องเขาก็โทรมาปรึกษากับผมเรื่อย ๆ จนวันที่ต้องไปสอบจ่าทหาร หลังจากน้องเขาสอบเสร็จก็โทรมาหาผมรายงานว่าเขาสามารถทำข้อสอบได้ และคิดว่าน่าจะติดแน่นอน ผมก็เลยถามว่าตกลงแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าจะเป็นทหาร น้องเขาก็ตอบด้วยเสียงเศร้า ๆ ว่า ก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอย่างคนอื่น หากชีวิตเขามีเงิน มีพ่อ มีแม่ที่มีเงินเขาก็น่าจะมีทางเลือกมากกว่านี้ แล้วน้องเขาก็ร้องไห้แบบเด็ก ๆ แล้วน้องเขาก็บอกว่าที่เขาต้องสอบเพราะว่า อยากให้แม่ดีใจ เขารักแม่ อยากทำเพื่อแม่ ผมก็เลยถามว่า แล้วจะสอบเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่ เขาก็บอกว่าจะไม่สอบ ผมก็เลยบอกให้ไปสอบนะ เผื่อไว้ก่อน เผือ่เอาไว้เป็นทางเลือก แต่น้องเขาคงอยู่ในอารณ์ที่ไม่ปรกติ ก็ตวาดผมว่า "ผมไม่สอบ ๆ ผมไม่มีทางเลือก ผมจะทำเพื่อแม่" ก็เลยเป็นเหตุให้เราทะเลาะกันครับ ผมเลยวางสายไป และก็ไม่ติดต่อถามไถ่เรื่องราวอะไรอีก
อาทิตย์หนึ่งหลังจากที่ได้ทะเลาะกัน รุ่นน้องผมก็โทรมาขอโทษ แล้วก็บอกว่าจะไปสอบเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยอย่างที่ผมแนะนำ ผมก็เลยยกโทษให้ จากนั้นไม่นาน ผลการสอบจ่าทหารก็ประกาศผล ปรากฏว่ารุ่นน้องผมสอบติดข้อเขียนจริง ๆ เขาโทรมาบอกผมด้วยเสียงเศร้า ๆ และบอกกำหนดการที่จะต้องไปสอบสัมภาษณ์และปฏิบัติ ผมก็เลยบอกว่าหากไปสอบแล้วผลออกมาอย่างไรก็ให้แจ้งผมด้วย ซึ่งในใจผมก็อยากให้รุ่นน้องผมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกับผมหรือว่าเหมือนกับเด็กหลาย ๆ คนที่ตั้งใจจะเรียนจริง ๆ ผมไม่ได้คิดว่าการเป็นมหารไม่ดีนะครับ แต่...ผมอยากให้รุ่นน้องผมเขาได้เรียนในสิ่งที่เขาอยากจะเรียน และเป็นในสิ่งที่อยากเป็นจะดีกว่าที่จะต้องอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไปเกือบทั้งชีวิต และเมื่อวันประกาศผลสอบออกมาปรากฏว่ารุ่นน้องผมเขาตกสัมภาษณ์ เขารีบโทรมาแจ้งผม เสียงเขาดีใจมาก พูดตลอดว่าจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ๆ ผมก็ดีใจกับเขาด้วย
หลังจากที่รุ่นน้องผมพลาดโอกาสจากการสอบจ่าทหาร ก็ได้ตั้งใจอ่านหนังสือสอบเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย จนกระทั่งวันประกาศผลสอบ เขาโทรมาผมเกือบ ๔ ทุ่ม แล้วก็บอกว่า "พี่ครับ ๆ ผมสอบติดแล้วนะครับ ผมสอบติดจุลชีวะ พี่ดีใจกับผมไหม ๆ" โดยเขาสอบได้ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก เขาดีใจมาก ผมก็ได้แต่นึกในใจว่าแล้วน้องเขาจะหาค่าใช้จ่ายในการเรียนมาจากไหน ซึ่งตอนนั้นผมก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าทำบุญให้เด็กไป ส่งเด็กเรียนคนนึงไม่น่าจะเป็นภาระที่หนักอึ้งเกินไปมั้ง แต่ผมก็ยังไม่ได้บอกกับรุ่นน้องผมแต่อย่างใด ผมปรึกษากับพี่บ้านผม แฟนผม ญาติผู้ใหญ่ อาจารย์ และเพื่อน ๆ ทุก ๆ คนเห็นดีด้วย ยกเว้นคุณแม่ผม ท่านไม่ค่อยจะเห็นด้วย แต่ท่านรู้นิสัยผมว่าผมตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็ล้มเลิกยาก ท่านก็เลยบอกว่า งั้นให้ทำเป็นสัญญายืมเงินระหว่างผมกับรุ่นน้องผม ใช้อะไรไปเท่าไรก็ให้จดกันไว้ทั้งสองฝ่าย แล้วก็ค่อยมารวมยอมทีหลัง เมื่อรุ่นน้องผมเรียนจบก็ให้ผ่อนใช้เมื่อมีรายได้ เมื่อคุณแม่ผมท่านเปิดไฟเขียวแล้ว ผมก็เลยคุยกับรุ่นน้องเรื่องที่ผมจะส่งเรียน แต่เป็นการส่งเรียนที่มีเงื่อนไข ดังนี้
๑. จะต้องมีความประพฤติดี ตั้งใจเรียน
๒. จะต้องมาช่วยงานผมทุกอาทิตย์ (วันธรรมดาผมจะพักและทำงานที่กรุงเทพ แต่จะกลับบ้านเสาร์อาทิตย์) เว้นแต่ไม่มีงานหรือมีเหตุจำเป็นเช่น ติดสอบ หรือมีกิจกรรมรับน้อง
๓. จะต้องจดค่าใช้จ่ายทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น พร้อมกับทำสัญญา เมื่อทำงานแล้วมีรายได้ ก็ให้ผ่อนชำระ โดยไม่มีดอกเบี้ย
รุ่นน้องผมดีใจมากที่ผมจะส่งเรียน เขารีบกลับบ้านไปบอกแม่เขา ซึ่งเขามาเล่าให้ฟังทีหลังว่าทั้งเขาและแม่ดีใจกันจนร้องไห้น้ำตาซึมกัน....
(แล้วผมจะมาต่อนะครับ)