[CR] ดนตรีนำทาง มิตรภาพบังเกิด : จากกรุงเทพสู่ “ยะลา” คุณค่าที่คุณคู่ควร

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกใน Pantip หลังจากแอบอ่านมายาวนาน
กระทั่งการเดินทางครั้งใหม่ที่น่าประทับใจบังเกิดขึ้น
จน จขกท อดใจไม่ไหว อยากชวนให้ทุกคนร่วมเดินทางไปพร้อม ๆ กันค่ะ
หมายเหตุ  : แอบยืมชื่อน้องมาตั้งนะคะ ปกติเขาจะตอบแต่เรื่องป๋าเดปป์ค่ะ 555

บทนำ

ฉันกำลังเรียนปริญญาโท และทำ thesis อยู่
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวงออร์เคสตร้าเยาวชนเทศบาลนครยะลา
และแน่นอน แค่ได้ยินว่า ยะลา ใคร ๆ ก็พากันถามว่า “เอาจริงเหรอ”
“ไม่กลัวหรือไง”  “กลับบ้านเราดีกว่าไหม” ลืมบอกไป ฉันเรียนอยู่กรุงเทพ
แต่เป็นคนอีสานโดยกำเนิด ทุกคนเลย งง ว่าฉันจะไปยะลาทำไมกัน

บทที่ 1

ฉันก็เหมือนคนอื่น ๆ ดูข่าวหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต บลา ๆ
ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ความไม่สงบของสามจังหวัดชายแดนอยู่เนือง ๆ
แต่คุณรู้ไหม มีคำคำหนึ่งที่ฉันเคยอ่านเจอและน่าสนใจ “Peace is not news”
สันติภาพไม่เป็นข่าวค่ะ ฉันจึงเชื่อเสมอว่า ณ ดินแดนอันไกลโพ้น
ที่ยังไม่เคยไปสัมผัส มีความงามและความสงบซ่อนตัวอยู่

ไม่รู้บังเอิญโลกกลม หรือพรหมลิขิตอะไรพาให้ฉันได้รู้จักวงออร์เคสตร้าเยาวชน
เทศบาลนครยะลา ภาพเด็ก ๆ ร่วมแรงร่วมใจกันบรรเลงเพลงทั้งสากล
และเพลงพื้นบ้านของพวกเขาอย่างมุ่งมั่น ประกอบกับประโยคกินใจของ
นายกเทศมนตรีนครยะลาที่ว่า “ผมไม่อยากให้เขาซึมซับความรุนแรง
อยากให้มีจิตใจอ่อนโยน ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งที่ขัดเกลาจิตใจ พัฒนาสมอง
และการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ให้เด็กที่นี่มีโอกาสเท่าเทียมกับเด็กที่อื่น”
ทำให้ฉันบอกกับตัวเองว่า ฉันต้องหาโอกาสรู้จักพวกเขาให้มากกว่านี้

เมษายนที่ผ่านมา เด็ก ๆ มาเข้าค่ายฝึกอบรมดนตรีที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์
ฉันถือโอกาสนั้น เข้าไปทำความรู้จักกับเด็ก ๆ แอบดูการฝึกซ้อม
และดูการแสดงเล็ก ๆ ที่พวกเขาจัดขึ้น เมล็ดพันธุ์ของมิตรภาพ
ถูกเพาะลงในใจตั้งแต่วันนั้น จากการต้อนรับที่อบอุ่นของผู้ใหญ่ในวง
และความสดใสของเด็ก ๆ  วันสุดท้าย ทุกคนร่ำลาฉันด้วยความหวังว่า
เราจะพบกันใหม่ “พี่มาเที่ยวยะลานะคะ หนูจะรอ” เด็กหญิงคลุมฮิญาบ
พูดพร้อมเดินเข้ามากอด ใครที่อยู่ตรงนั้นคงเห็นเราน้ำตารื้นกันทั้งคู่













บทที่ 2

6 เดือนผ่านไป พร้อมหน่ออ่อนแห่งมิตรภาพที่เจริญเติบโตไปตามวันเวลา
ฉันและเด็ก ๆ ยังคงติดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ ผ่านโลกออนไลน์ที่ทำให้
ระยะความสัมพันธ์ของเราไม่ห่างไปเหมือนระยะทาง
ในที่สุด ฉันก็จัดคิวลงใต้สำเร็จ ในช่วงกลางเดือนตุลาคม
นอกจากดีใจที่จะได้ไปเจอพี่ ๆ น้อง ๆ แล้ว ฉันก็ตื่นเต้นอย่างมาก
ที่จะได้ไปเห็นยะลากับตาตัวเอง คิดจะทำ thesis เกี่ยวกับยะลา
แต่ไม่เคยไปยะลา มันก็ยังไง ๆ อยู่ พอดีกันกับช่วงนั้น อาจารย์จาก
มหิดลที่เคยฝึกสอนเด็ก ๆ เมื่อเดือนเมษาก็จะลงไปทำค่ายอบรมพอดี
เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า thesis ของฉันจะมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน



คืนก่อนเดินทาง พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาและบรรดามิตรสหายทั้งหลาย
ก็ร่วมอวยพรฉันกันยกใหญ่ ฉันยิ้มรับในความปรารถนาดีเหล่านั้น
และสัญญาจะดูแลตัวเองอย่างดี … ราวเที่ยงของวันที่ 7 ตุลาคม
พาฉันมาถึงหาดใหญ่ แค่เท้าแตะพื้น ฝนก็เริ่มหล่นมาทักทาย
คืนนี้ฉันพักที่โรงแรม PB GRAND โรงแรมเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากโซนตลาดมาหน่อย
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกมาคิวรถตู้แถว ๆ โรงแรม
รอขึ้นรถไปตัวเมืองสงขลาเพื่อสัมภาษณ์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ครูดนตรีที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งวง รวมทั้งควบคุม
และฝึกสอนวงออร์เคสตร้าเยาวชนเทศบาลนครยะลามาตั้งแต่ต้น
ระหว่างทางหาดใหญ่-สงขลา ฝนก็ยังคงทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง





สัมภาษณ์อาจารย์เสร็จ ท่านก็ชวนว่า มีงานเปิดนิทรรศการศิลปะพอดี
เลยอยากให้ไปดูด้วยกัน ฉันก็ตอบตกลงในทันที
นิทรรศการ inside outside จัดขึ้นที่หอศิลป์นครหาดใหญ่
ในสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ซึ่งต้นไม้ใหญ่บนเชิงเขา
สระน้ำ และลมหนาวที่เริ่มพัดมาก็ทำให้บรรยากาศของที่นี่ร่มรื่น
เป็นอย่างมาก อาจารย์แนะนำฉันกับอาจารย์ท่านอื่น ๆ และเล่าเรื่อง
thesis ของฉันให้ฟัง แน่นอนทุกคนก็ยังพากันงงกับเส้นทาง
คนอีสาน เรียนกรุงเทพ แต่มาทำเรื่องภาคใต้ ฉันเลยต้องอธิบาย
ที่มาที่ไป และความสนใจอีกหลายครั้งทีเดียว





กว่างานจะเลิกก็ค่ำพอดี อาจารย์เลยชวนฉันไปทานข้าวต่อ
ที่ห้องอาหารในโรงแรมเล็ก ๆ ชื่อ winstar ที่อยู่ติดกับห้าง diana
แต่ต้องขอโทษทุกคนด้วย เพราะความหิวบังตา และเกรงใจอาจารย์
เลยไม่มีภาพอาหารมาฝาก แต่แนะนำว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง
ที่หากมีโอกาสไปหาดใหญ่ ก็อย่าลืมแวะไปชิมกันนะคะ

หลังจากฉันขยับไม่ไหว เพราะแน่นไปหมดแล้ว อาจารย์ชวนคุยอยู่พักใหญ่
แล้วท่านก็บอกว่า “ชวนคุยให้ย่อยไปบ้างก่อน จะพาไปโกอ้วนต่อ
เดี๋ยวใครจะว่าเอาได้ว่ามาไม่ถึงหาดใหญ่” ฉันที่ลั่นวาจาไปว่า อิ่มแล้ว
เลยกลับลำว่า ยังไหวอยู่ เพราะกระเพาะของคาวและหวานแยกกันอยู่
“นั่นไง ผมอ่านเกมถูก” อาจารย์หัวเราะชอบใจ

น่าเสียดายที่วันนี้โกอ้วนปิดทำการ อาจารย์เลยพาวนไปซื้อ
โรตีเจ้าอร่อยที่อยู่หน้าหอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่
ซึ่งลูกสาวอาจารย์การันตีว่า ร้านนี้หนูกินมาตั้งแต่เด็ก
ตอนนั้นยังต้องชะเง้อคอดูเตาเขาอยู่เลย
ฉันสั่งโรตีใส่ไข่มาลองชิ้นหนึ่ง แม่ค้าเตือนก่อนว่า
“ไม่กรอบเหมือนที่กรุงเทพนะ นี่เป็นแบบนุ่ม ๆ”
“เช็คอินแล้วได้ส่วนลดไหมคะ” ฉันแกล้งหยอก ขณะจัดท่าโพสต์ให้หมีน้อย
“เอาสิ ไว้คราวหน้าจะลดให้นะ” แกบอก แล้วส่งโรตีให้
พอกลับถึงห้อง ฉันก็แกะโรตีมากิน สรุปว่า ไม่กรอบแบบที่เราคุ้น ๆ กัน
แต่เหนียวนุ่มละมุนละไมเหลือเกิน เสียดายฉันไม่ได้กลับไปกินอีกรอบ
ไว้ถ้าใครได้แวะไปหาดใหญ่ อย่าลืมไปชิม และเช็คอิน เผื่อด้วยนะคะ



และแล้วก็ถึงเวลาเข้านอน ปิดการทำงานวันแรกที่หาดใหญ่อย่างอิ่มหนำสำราญ

บทที่ 3

หาดใหญ่ต้อนรับเช้าวันใหม่ของฉันด้วยฝน แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
ที่โรงแรมไม่มีอาหารเช้า ฉันจึงจับรถเข้าไปในตลาด ราคาอยู่ที่ 60 บาท/คน
เดินซื้อเดินกินไปตามทางเรื่อย ๆ หมูปิ้งบ้าง ติ่มซำบ้าง แล้วก็มาหยุดที่
ร้านข้าวมันไก่ อิ่มแล้ว เดินเล่นต่อ ผ่านร้านบะหมี่หมูแดง
อดใจไม่ไหวก็แวะกินอีกชาม แล้วกลับไปนอนเล่นที่โรงแรมรอเวลานัด







เที่ยงวัน ธาม มือวิโอลาประจำวงที่ตอนนี้เรียนจบ และกลับไปเป็นครูเครื่องสาย
ก็มารับฉันและอาจารย์จากมหิดลด้วยรถตู้ของเทศบาล
“ตื่นเต้นไหมพี่” ธามถามพร้อมรอยยิ้มสดใสที่เป็นเอกลัษณ์
“มาก โดยเฉพาะกับธาราปลาเผา” ฉันแกล้งเย้า
“หิวกันหรือยังครับ มื้อเที่ยงเอาง่าย ๆ ก่อนแล้วกัน
อีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงยะลา” ยังไม่ได้คำตอบ
ธามก็หันไปบอกพี่ศักดิ์คนรถต่อ “พี่เลือกให้หน่อยนะ ธามไม่ค่อยรู้จักแถวนี้”
“เต็มที่นะครับ ผู้ใหญ่ฝากมาดูแลอย่างดี” ธามพูดขึ้น เมื่ออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
เสร็จจากมื้อกลางวัน พี่ศักดิ์ก็พาแวะร้านขนมบ้านโกไข่ต่อ
“คนที่ยะลาฝากซื้อครับ เขาชอบ แต่ธามก็ไม่เคยกินเหมือนกัน ต้องลองดู” ธามบอก
ฉันถือโอกาสซื้อขนมฝากให้แม่และน้องสาวของธาม เราเคยเจอกันตอนที่เด็ก ๆ มาเข้าค่ายที่กรุงเทพฯ
แม่ธามเป็นอีกท่านที่ฉันตั้งใจว่าจะต้องเจอกันให้ได้ในทริปนี้



“เอาพาสปอร์ตมาหรือเปล่าพี่” ธามหันมาแซว เมื่อผ่านด่านตรวจ
ยังมีด่านอีกหลายด่านระหว่างทางจากสงขลาสู่ยะลา
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวอะไร เพราะทิวทัศน์สองข้างทางที่
ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นดึงความสนใจฉันไปจนหมด











“ข้ามสะพานนี้ไปก็ถึงแล้วพี่” ธามหันมาบอก
“เดี๋ยวน้องจะได้เห็นการจอดรถที่แปลกที่สุดในประเทศไทย
มีแต่สามจังหวัดชายแดนใต้นี่แหละที่จอดกันแบบนี้” พี่ศักดิ์เล่าบ้าง ขณะที่รถกำลังเลี้ยวเข้าสู่ตัวเมืองยะลา
“มีเหตุผลทางเทคนิคอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถาม
“ระเบิดครับ เวลาวางระเบิดชอบวางกับรถ ถ้าจอดข้างทาง
บ้านเรือน ร้านค้าเสียหาย เลยให้จอดเกาะกลางซะเลย” ธามอธิบาย

รถตู้พาเรามาถึงสำนักการศึกษา คนแรกที่เราเข้าไปทักคือ ป้าแดง
รอง ผ.อ.สำนักการศึกษา ที่รอต้อนรับเราอยู่แล้ว ป้าแดงพาเราเดินทัวร์
ทั่วสำนักการศึกษา-เทศบาลนครยะลา เพื่อพบปะและฝากเนื้อฝากตัว
กับผู้ใหญ่ของเทศบาล ทั้งท่าน ผ.อ.สำนักฯ ท่านปลัด ท่านรองนายก
และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ทุกท่านต้อนรับเราอย่างกระตือรือร้น
“ดีใจที่มีคนมา อยากให้มาเห็นว่าเราอยู่กันยังไง ขอบคุณที่
ให้ความสำคัญกับที่นี่” แต่ก็ยังอดถามเราต่อไม่ได้ว่า ไม่กลัวเหรอ
ท่านปลัดเทศบาลเป็นคนสุดท้ายที่เราไปพบ “วันอาทิตย์บ่าย ๆ
ลุงจะพาไปเที่ยวเขาน้ำค้าง หรือว่าถ้ามีเวลามากกว่านั้นก็ไปเบตงกัน”
ท่านปลัดมอบความเป็นกันเองให้กับเราตั้งแต่วันแรก

ความมืดโรยตัวปกคลุมสนามกว้างหน้าสำนักการศึกษา
ฝนยังโปรยปรายไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับคนในสำนักฯ
ที่ทำให้ฉันแปลกใจเป็นอย่างมาก ก็ปกติสี่โมงเย็นสถานที่ราชการ
ก็แทบจะร้างแล้ว แต่คนที่นี่ยังคงทำงานกันคึกคักราวกับไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย
“เดี๋ยวจะพาไปกินข้าวยำนะ รู้จักไหม” ป้าแดงบอก พร้อมเรียกเราขึ้นรถ
ป้าแดงพาเราไปทานมื้อค่ำที่ร้านข้าวยำแห่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ชื่อ
ถามธาม ธามก็บอกว่า “ธามก็ไม่รู้ แต่เรียกข้าวยำนักบอล
เพราะในร้านมีรูปนักบอลเต็มเลย” ร้านข้าวยำนิรนามแห่งนี้
มีอาหารให้เลือกทานอีกหลายอย่าง เราเลือกอาหารมาเต็มโต๊ะ
ทั้งโรตีมะตะบะ โรตีเปล่า ไก่ทอด ไก่กอและ ข้าวยำ แถมเบิ้ลอีกด้วย
อาหารมื้อนี้ถูกปากเสียจน เงยหน้ามาอีกที ทุกคนก็อิ่มหมดแล้ว
และกำลังนั่งดูฉันกินเป็นตาเดียว ฉันไล่ตักอาหารที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะจนหมด
“แปลกนะ กินเยอะ แต่ไม่อ้วน” ป้าแดงบอก “กินคลีนค่ะป้า” ฉันพูดติดตลก



ที่พักของเราตลอด 5 คืนก็คือโรงแรมยะลารามา อยู่ซอยเดียวกันกับ
ธาราปลาเผา เป้าหมายสำคัญอีกอย่างที่ฉันเฝ้าพูดถึงอยู่ตลอด
เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาบอกมาว่า ต้องไปลองให้ได้
ห้องพักที่นี่กว้างขวาง และถือว่าดีกว่าที่ฉันคิดไว้ เพราะเคยไปนอน
โรงแรมในจังหวัดเล็ก ๆ บางจังหวัดแล้วแทบจะร้องไห้
ก่อนเข้าที่พัก ป้าแดงถามธามว่า “ได้พาพี่เขาไปไหว้ศาลหลักเมืองหรือยัง”
ธามบอกว่า ไม่ ป้าแดงก็ว่า “จริง ๆ ต้องไปนะ ไปฝากตัวกับท่าน
แต่ป้าลืมบอกคนรถไว้” ฉันที่เป็นคนวิทยาศาสตร์สุด ๆ ก่อนนอน
สวดมนต์เสร็จ ก็ไปยืนข้างหน้าต่างแล้วยกมือไหว้ อธิษฐานกับเจ้าพ่อหลักเมือง
ทั้งที่ยังไม่ทันรู้เลยว่าศาลหลักเมืองอยู่ทางทิศไหน แล้วก็โทรบอกธามว่า
“พรุ่งนี้คิวแรกพี่ขอเป็น ศาลหลักเมืองนะธาม”

พรุ่งนี้ และยะลาจะเป็นอย่างไร ไว้มาเล่าต่อนะคะ

ชื่อสินค้า:   .
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่