คือว่าน้องเราที่เป็นลูกของอา เป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน
ก็อาจจะพ่อแม่ตามใจ อยากได้อะไรก็ได้
แต่อาทั้งคู่ของเราก็ไม่ใช่ว่าจะฐานะรวยนะคะ เป็นข้าราชการทั้งคู่ เงินเดือนพอมีพอใช้
ทางฝั่งแม่ค่อนข้างตามใจ เวลาน้องเราขออะไร ก็มีพูดบ่นบ้าง แต่สุดท้ายน้องเรามันก็อ้อน อาก็ใจอ่อนซื้อให้ทุกที
พอน้องเรากำลังจะเข้ามหาลัย ครอบครัวเราก็ช่วยแนะนำ (ครอบครัวเราสนิทกับครอบครัวนี้)
ถึงขนาดพ่อเราขับรถพาไปสอบสัมภาษณ์ที่มหาลัยหนึ่งซึ่งอยู่ต่างจังหวัด แต่เป็นมหาลัยที่เราและพี่สาวจบมา
แต่หากจะเรียนที่นี่คงต้องให้อยู่หอ ซึ่งน้องเราไม่ค่อยได้ไปอยู่ไกลพ่อแม่ ก็คงเห็นว่าอยู่ไม่ได้
แล้วบอกเราว่าคณะที่ติดนั้นเขาไม่ค่อยอยากเรียนเท่าไหร่ เขาเลยเลือกเรียนมัลติมีเดียของมหาลัยที่หนึ่งซึ่งอยู่ในกรุงเทพ
และไม่ไกลจากบ้านนัก สามารถไป-กลับได้ แถมอยู่ใกล้กับที่ทำงานของพี่สาวลูกของป้าอีกด้วย
แต่ทีนี้พอเรียนๆไป น้องก็ขอแม่จะย้ายไปอยู่หอใกล้มอ อ้างว่าเดินทางลำบาก เรียนเย็น ทำกิจกรรม กลับดึก เหนื่อย
ทางแม่ของน้องก็สงสารลูกเลยยอมเสียค่าหอประมาณ 4500 ให้น้องไปอยู่ ใกล้ๆมอ
ดูๆไปก็เหมือนจะไม่ได้มีอะไร เป็นชีวิตที่เป็นไปตามประสาเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ คือมีแฟน และใช้ชีวิตมหาลัยไปเรื่อย
พากันเที่ยวนู่นนี่ กินอาหารดีๆตามห้าง ก็เป็นปกติแหละ แต่ผ่านมา 2 ปี ทีนี้เศรษกิจที่บ้านเริ่มแย่เพราะโดนโกง
ตอนแรกๆ ก็ยังพอประทังได้ แต่พักหลังๆ น้องเรายังใช้เงินเหมือนเดิม ทั้งที่การเงินที่บ้านไม่ได้เหมือนก่อนแล้ว
น้องเรายังติดพวกเครื่องสำอางค์แพงๆ เสื้อผ้ามีแบรนด์ กินอาหารตามร้านดีๆในห้าง แล้วแถมจะยังมีค่าอุปรณ์การเรียนอีก
ยังไม่พอค่ะ...ที่บ้านมีกล้องอยู่แล้ว เป็นกล้อง DSLR แต่น้องเราขอพ่อซื้ออีกตัว อ้างว่าต้องใช้เรียน
ตัวที่บ้านมันไม่มี option โน่นนี่ที่จะต้องใช้เรียน พ่อเขาก็ซื้อให้
ยังๆๆ ยังไม่หมด...มาถึงเรื่องของโน๊ตบุ๊คค่ะ ที่บ้านมีคอมพีซีอยู่แล้วตัวนึงซึ่งบ้านเขาอยู่กัน 3 คน พ่อกับแม่เขาก็ไม่ค่อยใช้
แต่น้องอ้างว่าอยากจะใช้โน๊ตบุ๊คเพื่อความสะดวก ทั้งที่มหาลัยก็มีให้ยืมใช้ แต่เขาไม่อยากใช้ร่วมกับคนอื่นเหมือนในกรณีของกล้อง
แถมยังอยากจะได้เป็นแม็คบุ๊ค บอกว่าเรียนมัลติมีเดียมันต้องใช้แบบนี้ ซึ่งราคาก็เยอะกว่าโน๊ตบุ๊คปกติ
เท่าที่รู้นี่ พ่อเขาไปกู้มาสามหมื่นกว่าเพื่อถอยแม๊คบุ๊คให้น้อง
สถานการณ์เริ่มแย่ขึ้นเมื่อแม่น้องเริ่มยืมเงินญาติ รวมถึงแม่เรา พี่สาวด้วยด้วย ยืมบ่อย ทีละสองสามพัน
บางครั้งก็เป็นหกเจ็ดพัน บอกว่าน้องเราต้องใช้เอาไปซื้ออุปกรณ์การเรียน
เราก็แบบ...หืมมมม...อุปกรณ์การเรียนเป็นหกเจ็ดพันนี่นะ?
ในเฟสบุ๊คน้องเรา เราก็เห็นน้องยังลั้นลากับการกินอาหารดีๆตามห้าง อาหารญี่ปุ่นบ้าง สเต๊กบ้าง
ซื้อของกระจุกกระจิกที่ไม่ได้จำเป็นเลยสักนิด เครื่องสำอางค์ เครื่องประทินผิวเยอะแยะไปหมด
ให้กลับมาอยู่บ้านเพื่อลดค่าหอ มันก็ไม่ยอม ให้หาหอราคาถูกๆลงหน่อย มันก็บอกจะย้าย แต่ก็ไม่เห็นย้ายซะที
ในขณะที่พ่อแม่ตัวเองช่วยกันประหยัดกันแทบตาย ขี่จักรยาน นั่งเรือ ไปทำงาน หุงข้าว ทำกับข้าวกินเอง
แถมยังต้องหารายได้เพิ่มด้วย ทั้งเย็บกระเป๋าขาย ทำกับข้าวขาย
แล้วน้องเรานะ...ไม่เคยกลับมานอนบ้านเลย ถึงกลับก็มาแค่วันเดียว แล้วก็แนบกลับหอไป
เรารู้ว่าน้องเรามีแฟน อยากกลับไปอยู่กับแฟน แต่อะไรมันจะขนาดนั้น
แม้กระทั่งปิดเทอมที่ผ่านมา เรารู้ว่ามหาลัยเข้าเออีซี จึงปิดเทอมยาวหกเดือน
แต่น้องเราแทบไม่ได้กลับบ้านเลย ทั้งที่บ้านก็อยู่ใกล้ๆในกรุงเทพ อ้างว่าทำงานส่งอาจารย์ ทำกิจกรรมโน่นนี่
แต่ในเฟสนี่ก็ยังเช็คอินไปเที่ยว ไปกิน ไปช้อป วันๆเราไม่เห็นทำอะไรที่มีสาระเลย
พวกเราได้คุยกับน้องหลายทีแล้ว ว่าให้ช่วยประหยัดหน่อย กินข้าวปกติ ลดรายจ่าย อย่าใช้ฟุ่มเฟือยมากนัก
พ่อแม่จะไม่มีให้ใช้แล้ว น้องก็รับปากทุกรอบ แต่ไม่เคยดีขึ้นเลย เราก็เห็นยังทำตัวเหมือนเดิม
จากนั้นก็เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นอีกระหว่างครอบครัวนี้กับครอบครัวเรา เราไม่อยากเล่ามันช้ำใจ
เราแค่อยากรู้ว่า เด็กสมัยนี้เป็นถึงขนาดนี้เลยหรอ เราแค่อยากรู้ว่าน้องเราเหมือนคนอื่นๆหรือเปล่าที่ต้องกินต้องใช้ต้องเที่ยว
ขอเงินพ่อแม่แบบนี้ตลอด เดือนๆนึงใช้ไม่พอ ต้องอยู่หอราคาสี่พันกว่า ต้องกินข้าวในห้างมื้อนึงเป็นร้อย
ต้องซื้อกล้อง ซื้อโน๊คบุ๊คใหม่เพื่อการเรียนมัลติมีเดีย และไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะงานเยอะแยะแม้กระทั่งปิดเทอมก็มีงาน
ทั้งที่ก็ไม่ได้เรียนซัมเมอร์?
ถ้าเป็นเด็กคนอื่นทั่วไป เศรษฐกิจครอบครัวย่ำแย่ขนาดนี้ รายได้หมดไปกับการใช้หนี้...ยังจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้อยู่หรอคะ?
ขอบคุณที่อ่านค่ะ ยาวมาก เราอยากรู้ความคิดของเด็กๆมหาลัยสมัยนี้ และเราอยากระบายด้วย
เด็กมหาลัยใช้เงินขนาดนี้เลยหรอคะ?
ก็อาจจะพ่อแม่ตามใจ อยากได้อะไรก็ได้
แต่อาทั้งคู่ของเราก็ไม่ใช่ว่าจะฐานะรวยนะคะ เป็นข้าราชการทั้งคู่ เงินเดือนพอมีพอใช้
ทางฝั่งแม่ค่อนข้างตามใจ เวลาน้องเราขออะไร ก็มีพูดบ่นบ้าง แต่สุดท้ายน้องเรามันก็อ้อน อาก็ใจอ่อนซื้อให้ทุกที
พอน้องเรากำลังจะเข้ามหาลัย ครอบครัวเราก็ช่วยแนะนำ (ครอบครัวเราสนิทกับครอบครัวนี้)
ถึงขนาดพ่อเราขับรถพาไปสอบสัมภาษณ์ที่มหาลัยหนึ่งซึ่งอยู่ต่างจังหวัด แต่เป็นมหาลัยที่เราและพี่สาวจบมา
แต่หากจะเรียนที่นี่คงต้องให้อยู่หอ ซึ่งน้องเราไม่ค่อยได้ไปอยู่ไกลพ่อแม่ ก็คงเห็นว่าอยู่ไม่ได้
แล้วบอกเราว่าคณะที่ติดนั้นเขาไม่ค่อยอยากเรียนเท่าไหร่ เขาเลยเลือกเรียนมัลติมีเดียของมหาลัยที่หนึ่งซึ่งอยู่ในกรุงเทพ
และไม่ไกลจากบ้านนัก สามารถไป-กลับได้ แถมอยู่ใกล้กับที่ทำงานของพี่สาวลูกของป้าอีกด้วย
แต่ทีนี้พอเรียนๆไป น้องก็ขอแม่จะย้ายไปอยู่หอใกล้มอ อ้างว่าเดินทางลำบาก เรียนเย็น ทำกิจกรรม กลับดึก เหนื่อย
ทางแม่ของน้องก็สงสารลูกเลยยอมเสียค่าหอประมาณ 4500 ให้น้องไปอยู่ ใกล้ๆมอ
ดูๆไปก็เหมือนจะไม่ได้มีอะไร เป็นชีวิตที่เป็นไปตามประสาเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ คือมีแฟน และใช้ชีวิตมหาลัยไปเรื่อย
พากันเที่ยวนู่นนี่ กินอาหารดีๆตามห้าง ก็เป็นปกติแหละ แต่ผ่านมา 2 ปี ทีนี้เศรษกิจที่บ้านเริ่มแย่เพราะโดนโกง
ตอนแรกๆ ก็ยังพอประทังได้ แต่พักหลังๆ น้องเรายังใช้เงินเหมือนเดิม ทั้งที่การเงินที่บ้านไม่ได้เหมือนก่อนแล้ว
น้องเรายังติดพวกเครื่องสำอางค์แพงๆ เสื้อผ้ามีแบรนด์ กินอาหารตามร้านดีๆในห้าง แล้วแถมจะยังมีค่าอุปรณ์การเรียนอีก
ยังไม่พอค่ะ...ที่บ้านมีกล้องอยู่แล้ว เป็นกล้อง DSLR แต่น้องเราขอพ่อซื้ออีกตัว อ้างว่าต้องใช้เรียน
ตัวที่บ้านมันไม่มี option โน่นนี่ที่จะต้องใช้เรียน พ่อเขาก็ซื้อให้
ยังๆๆ ยังไม่หมด...มาถึงเรื่องของโน๊ตบุ๊คค่ะ ที่บ้านมีคอมพีซีอยู่แล้วตัวนึงซึ่งบ้านเขาอยู่กัน 3 คน พ่อกับแม่เขาก็ไม่ค่อยใช้
แต่น้องอ้างว่าอยากจะใช้โน๊ตบุ๊คเพื่อความสะดวก ทั้งที่มหาลัยก็มีให้ยืมใช้ แต่เขาไม่อยากใช้ร่วมกับคนอื่นเหมือนในกรณีของกล้อง
แถมยังอยากจะได้เป็นแม็คบุ๊ค บอกว่าเรียนมัลติมีเดียมันต้องใช้แบบนี้ ซึ่งราคาก็เยอะกว่าโน๊ตบุ๊คปกติ
เท่าที่รู้นี่ พ่อเขาไปกู้มาสามหมื่นกว่าเพื่อถอยแม๊คบุ๊คให้น้อง
สถานการณ์เริ่มแย่ขึ้นเมื่อแม่น้องเริ่มยืมเงินญาติ รวมถึงแม่เรา พี่สาวด้วยด้วย ยืมบ่อย ทีละสองสามพัน
บางครั้งก็เป็นหกเจ็ดพัน บอกว่าน้องเราต้องใช้เอาไปซื้ออุปกรณ์การเรียน
เราก็แบบ...หืมมมม...อุปกรณ์การเรียนเป็นหกเจ็ดพันนี่นะ?
ในเฟสบุ๊คน้องเรา เราก็เห็นน้องยังลั้นลากับการกินอาหารดีๆตามห้าง อาหารญี่ปุ่นบ้าง สเต๊กบ้าง
ซื้อของกระจุกกระจิกที่ไม่ได้จำเป็นเลยสักนิด เครื่องสำอางค์ เครื่องประทินผิวเยอะแยะไปหมด
ให้กลับมาอยู่บ้านเพื่อลดค่าหอ มันก็ไม่ยอม ให้หาหอราคาถูกๆลงหน่อย มันก็บอกจะย้าย แต่ก็ไม่เห็นย้ายซะที
ในขณะที่พ่อแม่ตัวเองช่วยกันประหยัดกันแทบตาย ขี่จักรยาน นั่งเรือ ไปทำงาน หุงข้าว ทำกับข้าวกินเอง
แถมยังต้องหารายได้เพิ่มด้วย ทั้งเย็บกระเป๋าขาย ทำกับข้าวขาย
แล้วน้องเรานะ...ไม่เคยกลับมานอนบ้านเลย ถึงกลับก็มาแค่วันเดียว แล้วก็แนบกลับหอไป
เรารู้ว่าน้องเรามีแฟน อยากกลับไปอยู่กับแฟน แต่อะไรมันจะขนาดนั้น
แม้กระทั่งปิดเทอมที่ผ่านมา เรารู้ว่ามหาลัยเข้าเออีซี จึงปิดเทอมยาวหกเดือน
แต่น้องเราแทบไม่ได้กลับบ้านเลย ทั้งที่บ้านก็อยู่ใกล้ๆในกรุงเทพ อ้างว่าทำงานส่งอาจารย์ ทำกิจกรรมโน่นนี่
แต่ในเฟสนี่ก็ยังเช็คอินไปเที่ยว ไปกิน ไปช้อป วันๆเราไม่เห็นทำอะไรที่มีสาระเลย
พวกเราได้คุยกับน้องหลายทีแล้ว ว่าให้ช่วยประหยัดหน่อย กินข้าวปกติ ลดรายจ่าย อย่าใช้ฟุ่มเฟือยมากนัก
พ่อแม่จะไม่มีให้ใช้แล้ว น้องก็รับปากทุกรอบ แต่ไม่เคยดีขึ้นเลย เราก็เห็นยังทำตัวเหมือนเดิม
จากนั้นก็เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นอีกระหว่างครอบครัวนี้กับครอบครัวเรา เราไม่อยากเล่ามันช้ำใจ
เราแค่อยากรู้ว่า เด็กสมัยนี้เป็นถึงขนาดนี้เลยหรอ เราแค่อยากรู้ว่าน้องเราเหมือนคนอื่นๆหรือเปล่าที่ต้องกินต้องใช้ต้องเที่ยว
ขอเงินพ่อแม่แบบนี้ตลอด เดือนๆนึงใช้ไม่พอ ต้องอยู่หอราคาสี่พันกว่า ต้องกินข้าวในห้างมื้อนึงเป็นร้อย
ต้องซื้อกล้อง ซื้อโน๊คบุ๊คใหม่เพื่อการเรียนมัลติมีเดีย และไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะงานเยอะแยะแม้กระทั่งปิดเทอมก็มีงาน
ทั้งที่ก็ไม่ได้เรียนซัมเมอร์?
ถ้าเป็นเด็กคนอื่นทั่วไป เศรษฐกิจครอบครัวย่ำแย่ขนาดนี้ รายได้หมดไปกับการใช้หนี้...ยังจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้อยู่หรอคะ?
ขอบคุณที่อ่านค่ะ ยาวมาก เราอยากรู้ความคิดของเด็กๆมหาลัยสมัยนี้ และเราอยากระบายด้วย