สวัสดีค่ะ วันนี้มาแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวคนเดียวที่ฟิจิค่ะ
ดิฉันเพิ่งเริ่มหัดเขียนบล็อกท่องเที่ยวแบบนี้ มีอะไรติชมได้นะคะ
ปกติทำเป็นภาษาอังกฤษบ้างไทยบ้าง อยู่ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ
http://pulseatfeet.wordpress.com
ประเทศฟิจิ ฟังแล้วก็งงๆ นี่มันประเทศอะไรกัน ชื่อเหมือนภูเขาไฟฟูจิเลย อยู่ญี่ปุ่นหรือเปล่า เอ...
ส่วนตัวได้รู้จักประเทศนี้ ด้วยความขี้สงสัย และความสนใจในแผนที่โลกและภูมิศาสตร์ ชื่อมันแปลกดี เลยเอาไปเสิร์ชดูซิ ประเทศนี้มันมีอะไร พอภาพมาเท่านั้นแหละ โอโหหหหหหหห เป็นเกาะๆ น้ำทะเลสีฟ้า ใสกิ๊ง กลางมหาสมุทรแปซิฟิค แต่แลดูไกลโพ้น เลยได้แต่เก็บไว้ในใจ เป็น destinations list ว่าวันนึงถ้ามีโอกาสจะไปให้ได้
และแล้วเมื่อปีที่แล้ว มีโอกาสได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยอะดิเลด ประเทศออสเตรเลีย ความคิดที่จะไปฟิจิเลยกลับมาอีกครั้ง เพราะว่าฟิจินั้นอยู่ห่างจากซิดนีย์เพียง 1500 กม. ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น และเนื่องมาจาก การเรียนมหาลัยที่นั้น ถึงแม้จะเรียนหนัก แต่ก็มีปิดเทอมอยู่เรื่อยๆ แถมเราสามารถทำงานไปได้ด้วยระหว่างเรียน ได้ค่าตอบแทนพอประมาณเลย (บางคนถามว่า อ่าวแล้วเรียนกันไปทำไมครับเนี่ย ออกมาเสิร์ฟอาหารเป็นการเป็นงานเลยมั้ยครับ...) ก็เลยพอได้โอกาสเหมาะเจาะ มีเงินเก็บพอประมาณ ก็เลยเริ่มวางแผนไปฟิจิขึ้นมาค่ะ แต่เอ...จะไปกับใครดี เพื่อนๆหลายคนก็ยังติดภารกิจสอบบ้าง อะไรบ้าง สุดท้ายเลยตัดสินใจไปคนเดียวเลยค่ะ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วก่อนกลับประเทศไทยอย่างถาวร
การไปฟิจิในครั้งนั้น นั่งเครื่องบินไปโดยสารการบิน Virgin Australia จากซิดนีย์ค่ะ เช้าวันนั้น เกือบไม่ได้ไปฟิจิแล้ว เนื่องจากไปเช็คอินสาย ไปถึงสนามบินเพียง 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก ซึ่งสำหรับ international flight เช่นนี้ counter เช็คอินได้ปิดไปเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่โชคดีมากๆ เมื่อเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ เขาอนุญาตให้เช็คอินได้ พร้อมกับให้ Priority Pass มา ซึ่งเป็นบัตรที่ทำให้เราผ่านการแสกนอาวุธ และตรวจคนเข้าเมืองได้ในช่องพิเศษ ตอนนั้นวิ่งเลยค่ะ วิ่งรัวๆ แล้วถ้าใครเคยไปสนามบินซิดนีย์จะทราบว่ามันไกลพอสมควรจากที่เช็คอินไปยังประตูขึ้นเครื่อง สุดท้ายดิฉันวิ่งจากจุดเช็คอิน ผ่านตรวจคนเข้าเมือง ผ่านดิวตี้ฟรี ไปยังประตูขึ้นเครื่องภายใน 30 นาทีค่ะ (ขนาดวิ่งแล้วนะเนี่ย...)
สุดท้ายก็ได้ขึ้นเครื่อง นั่งแถวสุดท้ายเลยค่ะ (สงสัยว่าเจ้าหน้าที่กราวด์จะรีบๆเลือกที่นั่งให้ตอนเช็คอิน เพราะไม่ได้เลือกที่นั่งมา)ก็ดีนะคะ เวลาลงจะได้ออกคนแรกเลย ตอนนั้นในใจก็คิดว่าเผื่อจะโชคดีได้นั่งข้างฝรั่งหล่อๆ ปรากฏพอทุกคนบอร์ดครบ หล่อจริงค่ะ แต่กระเตงลูกมาด้วย พร้อมภรรยาและเพื่อนที่กระเตงครอบครัวมาเหมือนกัน... สรุปฟิจิเหมือนเป็นจุดหมายปลายทางของครอบครัวชาวออสเตรเลียในการมาพักผ่อนวันหยุดค่ะ... (ช่วงที่ไปเป็นวันหยุดโรงเรียนที่ออสเตรเลียพอดีค่ะ) มีลูกเรือชาวฟิจิคนนึงเดินผ่านมาเห็นพาสปอร์ตเรามาจากประเทศไทย เขาเลยพูดสวัสดีครับ เราก็ตกใจเบาๆ เพราะไม่คิดว่าคนฟิจิรู้จักประเทศไทยอันไกลโพ้น... สรุปพอเครื่องออกก็พยายามหลับยาวๆเลยค่ะ เนื่องจากไม่มีใครให้นั่งคุยด้วย แถวเมื่อคืนนอนน้อยอีกต่างหาก สามชั่วโมงผ่านไป ถึงแล้วค่ะ ฟิจิ บูล่า!
บูล่า (Bula ! ) ภาษาฟิเจียนแปลว่าสวัสดีค่ะ คล้ายๆอโลฮ่าอะไรแบบนี้เนอะ ภาษาชาวเก๊าะชาวเกาะ ภาพแรกที่ไปถึงคือ เห้ยนี่สนามบินนานาชาติจริงหรอ มีตึกเก่าๆเพียงหนึ่งตึก เป็นเทอมินอลค่ะ ไม่มีงวงช้างอะไรทั้งนั้น เป็นท่าเทียบจอดถาวร คล้ายๆที่จอดเรืออะไรแบบนี้ ส่วนผู้โดยสารที่ออกประตูหลังก็เดินลงบันไดตามระเบียบค่ะ (ความรู้สึกคล้ายๆสนามบินนครศรีธรรมราช หรืออุดรธานีเมืองไทย) เมืองที่สนามบินตั้งอยู่นี้ชื่อ เนดีค่ะ (Nadi) เป็นเมืองใหญ่ ที่มีคนอาศัยอยู่มากที่สุดในหมู่เกาะฟิจิ
เมื่อรับกระเป๋า เดินออกจากเทอมินอล ก็เดินตรงไปหาคนขับรถจากโรงแรมที่เรานัดไว้ค่ะ หาไม่นานก็เจอ คนขับรถมารับเราคนเดียวเลยค่ะ นั่งรถตู้ไปยังท่าเรือห่างไปประมาณ หนึ่งชั่วโมง รอเรืออีกครึ่งชั่วโมง นั่งเรือออกไปยังรีสอร์ตอีกครึ่งชั่วโมง สรุปไปถึงที่พักค่ำพอดีค่ะ ประมาณหกโมงเย็น ได้เวลากินข้าวเย็นพอดีเลย
ไปถึงที่พักชื่อ Robinson Crusoe Island ด้วยความติ่งโรบินสัน ครูโซ่แต่เด็ก ก็เลยเลือกที่พักนี้ โดยหวังว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับครูโซ่บ้าง (เผื่อใครไม่รู้ มันเป็นนิยาย/หนังเรื่องนึง เกี่ยวกับผู้ชายคนนึง ในยุคประมาณสมัยล่าอาณานิคม เป็นชาวอังกฤษ มาติดเกาะ แล้วก็สร้างบ้านอยู่บนต้นไม้ สู้กับโจรสลัด ฉลาดมาก ฯลฯ ชอบบ้านต้นไม้มาก 555) เกาะที่ไปนี้เป็นเกาะเล็กๆ เดินรอบเกาะใช้เวลา 30 นาที ทั้งเกาะมีแค่รีสอร์ตนี้กับบ้านพักตากอากาศของสามีภรรยาชาวออสเตรเลียที่เป็นเจ้าของกิจกรรมให้เช่าเรือเจ็ทสกีอยู่ที่นั่น บรรยากาศก็ชิวมาก เป็นกันเอง ชาวเกาะก็มีการละเล่นร้องเพลงในขณะที่ทุกคนทานอาหารเย็น การทานอาหารที่นี้ ทุกคนจะทานด้วยกัน เป็นลักษณะบุฟเฟ่ต์ เนื่องจากมีผู้มาพักประมาณสิบกว่าคนเท่านั้นเอง การมากินอาหารเย็นที่นี่เลยรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนใหม่ ครอบครัวใหม่ บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลีย มากันเป็นครอบครัว มีสามีภรรยาชาวนิวซีแลนด์ มีคู่รักวัยรุ่นชาวเยอรมันแบคแพคมา6เดือนแล้ว และมีผู้หญิงอายุไล่เลี่ยกัน มาคนเดียวเหมือนกัน จากอังกฤษ ทุกๆวันตอนนั่งทานอาหารเย็นแบบนี้ ก็จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่มาพัก เป็นความทรงจำที่ประทับใจมากๆ บางวันมีคนกลับ บางวันมีคนมาเพิ่ม เปลี่ยนบรรยากาศ สลับที่นั่งกันไป ได้รู้จักคนใหม่ๆ เรื่องราวจากคนที่มาพักจากทั่วโลก ทึ่งอะ โลกแคบขึ้นมาเลย
หลังจากอาหารเย็น เราก็ไปร่วมจอยกับพนักงานชาวเกาะที่คอยเอนเตอร์เทนผู้ที่มาพัก ชาวเกาะเค้าก็ร้องเพลงเล่นกีต้าร์กันไปค่ะ ส่วนใหญ่เป็นเพลงสไตล์ Old English กับ Bob Marley อะไรทำนองนี้ มีร้องเพลงพื้นเมืองบ้าง เพลงแต่งเองบ้าง คนที่นี้ล้วนแต่เป็นคนมีพรสวรรค์ในการร้องเพลง เล่นดนตรีทั้งนั้นเลยค่ะ แปลกดี ร้องเพลงกันเพราะ อารมณ์ดีกันทั้งนั้นเลย ระหว่างที่ร้องเพลงนี้ ก็จะมีการดื่มคาว่า (Kava) ค่ะ เป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ทำจากรากไม้อะไรประมาณนี้ เอามาบดๆแล้วกลั่นเอาน้ำ ซึ่งไอเดียในการดื่มคาว่านี้ ก็คล้ายๆการดื่มแอลกอฮอล์ของเรานี่แหละค่ะ คือไม่อร่อย แต่ดื่มแล้วมึนๆชาๆ ผ่อนคลายความเครียด แต่คาว่าไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ ดื่มแล้วลิ้นชา เค้าบอกว่าดีต่อไตค่ะ (ดื่มแล้วปวดฉี่ตลอดเวลา ลุกไปฉี่สามรอบสี่รอบตลอด 555)
ที่นี่ กิจกรรมระหว่างวันก็มีหลายอย่าง มีออกไปดำน้ำ ดูปะการัง พายเรือคายัค ว่ายน้ำเล่น มีแท่นลอยน้ำให้ปีน ดูเต่า ดูแข่งปู ดูโชว์ island dance โชว์เก็บมะพร้าว โชว์ทำเครื่องประดับจากกะลามาพร้าว อะไรทำนองนี้ จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าก็ได้แล้วแต่เราค่ะ บางวันก็เข้าร่วม บางวันก็ไปนอนอาบแดด พักผ่อนอ่านหนังสือ นอนเปลญวนในลานสนามหญ้า อากาศดี ลมเย็นสบายมาก ไร้มลพิษ รู้สึกสดชื่นหายใจสะด้วกสะดวก ชีวิตดีเหมือนฝันเลยค่ะคุณณณณณ เที่ยงมาก็ไปกินข้าวที่เขาจัดไว้ให้อีกเช่นเคย อาหารส่วนใหญ่จะคล้ายๆออสเตรเลีย กับอาหารพื้นเมืองผสมๆกัน เช่นปลาเผา มันฝรั่งเผา กับฟิชแอนด์ชิป พาสต้าสลัด อะไรทำนองนี้ค่ะ กินเยอะทุกมื้อเลยค่ะ ด้วยความงก อิอิ พุงนี่ตึง ตกบ่ายมาก็ไปนอนเล่นหรือว่ายน้ำ หรือดูโชว์ วนๆอยู่อย่างนี้หกวันค่ะ
ลืมบอกไปว่าห้องน้ำที่นี่เป็นแบบ Bucket Shower ค่ะ!! คือเราต้องไปรองน้ำจากก็อกมาใส่ถังในห้องน้ำ แล้วชักรอกขึ้นไป แล้วจึงเปิดก๊อกจากถังน้ำให้ไหลมาเป็นฝักบัวอีกที เวลาอาบน้ำจึงต้องอาบแบบประหยัดๆค่ะ เพราะขี้เกียจจะไปรองน้ำอีกรอบ! ถือว่าอึดถึกมาก ตอนเช้าเลยไม่อาบน้ำค่ะ ขี้เกียจ รอเล่นทะเลแล้วอาบทีเดียวแล้วกัน 555
หกวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว การมาคราวนี้ เราไม่ได้มาแบบ Island hopping หรือการไปเกาะนี้ทีเกาะนั้นที เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นค่ะ
เกรงว่าจะเสียเวลา เลยเลือกอยู่ที่นี่ที่เดียวตลอดหกวันเลย ก็แอบเสียดายนะคะ เพราะเกาะที่ไปอยู่ไม่ใช่เกาะที่สวยที่สุดในฟิจิ
ซึ่งอันนี้ฟังมาจากสาวอังกฤษที่มาเที่ยวคนเดียวมาอีกที เธอเที่ยวมาครบแล้วทุกเกาะเด่นๆ จนมาจบสุดท้ายที่เกาะนี้ค่ะ เ
ธอแนะนำว่าคราวหน้าถ้ามีเวลาซักสองอาทิตย์ ให้ลองซื้อแพคเกจที่เรียกว่า Fiji Experience ดูค่ะ คุ้มค่าและได้เที่ยวครบทุกเกาะดี
แต่ยังไงโดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก การอยู่บนเกาะที่ isolated แบบนั้นให้ความรู้สึกเดียวกับการไปอยู่กับครอบครัวชาวฟิจิ
ได้เพื่อนใหม่เป็นทั้งชาวเกาะและนักท่องเที่ยวจากหลายๆประเทศทั่วโลก การมาเที่ยวคนเดียวครั้งนี้ ได้ประสบการณ์เกินคาดค่ะ
ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง การเข้าหาคนอื่น และการเรียนรู้ที่จะมีความสุขด้วยตัวเอง อันนี้สำคัญมากค่ะ ถามว่าบางทีเหงาไหม
ตอบตรงๆว่าก็มีบ้างค่ะ เวลาเห็นคนเขามากับแฟนหรือมาเป็นครอบครัว แต่เราก็ไปนั่งด้วยเนียนๆ เหมือนเป็นส่วนเกิน แต่ก็เอาฮาค่ะ
เปลี่ยนโต๊ะไปเรื่อยๆทุกวัน ครบหกวันก็รู้จักครบทุกคนเลย สนุกดีนะคะ เปิดประสบการณ์ใหม่ เหมือนเอาตัวเองออกจาก comfort zone เลยค่ะ
การเที่ยวคนเดียวครั้งนี้ก็ไม่ยากจนเกินไป เพราะไม่ได้ต้องเดินทางยากมากมาย อยู่บนเกาะชิวๆหกวัน
ถือเป็นการเดินทางคนเดียวครั้งแรกที่เรียกว่าประสบความสำเร็จค่ะ มันเป็นโอกาสที่ดี ในการเรียนรู้โลกด้วยตัวเราเอง
ไร้การเจือปนจากความรู้สึกคนรอบข้าง ทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ค้นหาตัวเอง และมีความสุขกับการผจญภัยด้วยตัวเราเอง
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเดินทางคนเดียวนะคะ
[CR] ฟิจิและการเดินทางคนเดียวครั้งแรก
ดิฉันเพิ่งเริ่มหัดเขียนบล็อกท่องเที่ยวแบบนี้ มีอะไรติชมได้นะคะ
ปกติทำเป็นภาษาอังกฤษบ้างไทยบ้าง อยู่ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ
http://pulseatfeet.wordpress.com
ประเทศฟิจิ ฟังแล้วก็งงๆ นี่มันประเทศอะไรกัน ชื่อเหมือนภูเขาไฟฟูจิเลย อยู่ญี่ปุ่นหรือเปล่า เอ...
ส่วนตัวได้รู้จักประเทศนี้ ด้วยความขี้สงสัย และความสนใจในแผนที่โลกและภูมิศาสตร์ ชื่อมันแปลกดี เลยเอาไปเสิร์ชดูซิ ประเทศนี้มันมีอะไร พอภาพมาเท่านั้นแหละ โอโหหหหหหหห เป็นเกาะๆ น้ำทะเลสีฟ้า ใสกิ๊ง กลางมหาสมุทรแปซิฟิค แต่แลดูไกลโพ้น เลยได้แต่เก็บไว้ในใจ เป็น destinations list ว่าวันนึงถ้ามีโอกาสจะไปให้ได้
และแล้วเมื่อปีที่แล้ว มีโอกาสได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยอะดิเลด ประเทศออสเตรเลีย ความคิดที่จะไปฟิจิเลยกลับมาอีกครั้ง เพราะว่าฟิจินั้นอยู่ห่างจากซิดนีย์เพียง 1500 กม. ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น และเนื่องมาจาก การเรียนมหาลัยที่นั้น ถึงแม้จะเรียนหนัก แต่ก็มีปิดเทอมอยู่เรื่อยๆ แถมเราสามารถทำงานไปได้ด้วยระหว่างเรียน ได้ค่าตอบแทนพอประมาณเลย (บางคนถามว่า อ่าวแล้วเรียนกันไปทำไมครับเนี่ย ออกมาเสิร์ฟอาหารเป็นการเป็นงานเลยมั้ยครับ...) ก็เลยพอได้โอกาสเหมาะเจาะ มีเงินเก็บพอประมาณ ก็เลยเริ่มวางแผนไปฟิจิขึ้นมาค่ะ แต่เอ...จะไปกับใครดี เพื่อนๆหลายคนก็ยังติดภารกิจสอบบ้าง อะไรบ้าง สุดท้ายเลยตัดสินใจไปคนเดียวเลยค่ะ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วก่อนกลับประเทศไทยอย่างถาวร
การไปฟิจิในครั้งนั้น นั่งเครื่องบินไปโดยสารการบิน Virgin Australia จากซิดนีย์ค่ะ เช้าวันนั้น เกือบไม่ได้ไปฟิจิแล้ว เนื่องจากไปเช็คอินสาย ไปถึงสนามบินเพียง 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก ซึ่งสำหรับ international flight เช่นนี้ counter เช็คอินได้ปิดไปเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่โชคดีมากๆ เมื่อเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ เขาอนุญาตให้เช็คอินได้ พร้อมกับให้ Priority Pass มา ซึ่งเป็นบัตรที่ทำให้เราผ่านการแสกนอาวุธ และตรวจคนเข้าเมืองได้ในช่องพิเศษ ตอนนั้นวิ่งเลยค่ะ วิ่งรัวๆ แล้วถ้าใครเคยไปสนามบินซิดนีย์จะทราบว่ามันไกลพอสมควรจากที่เช็คอินไปยังประตูขึ้นเครื่อง สุดท้ายดิฉันวิ่งจากจุดเช็คอิน ผ่านตรวจคนเข้าเมือง ผ่านดิวตี้ฟรี ไปยังประตูขึ้นเครื่องภายใน 30 นาทีค่ะ (ขนาดวิ่งแล้วนะเนี่ย...)
สุดท้ายก็ได้ขึ้นเครื่อง นั่งแถวสุดท้ายเลยค่ะ (สงสัยว่าเจ้าหน้าที่กราวด์จะรีบๆเลือกที่นั่งให้ตอนเช็คอิน เพราะไม่ได้เลือกที่นั่งมา)ก็ดีนะคะ เวลาลงจะได้ออกคนแรกเลย ตอนนั้นในใจก็คิดว่าเผื่อจะโชคดีได้นั่งข้างฝรั่งหล่อๆ ปรากฏพอทุกคนบอร์ดครบ หล่อจริงค่ะ แต่กระเตงลูกมาด้วย พร้อมภรรยาและเพื่อนที่กระเตงครอบครัวมาเหมือนกัน... สรุปฟิจิเหมือนเป็นจุดหมายปลายทางของครอบครัวชาวออสเตรเลียในการมาพักผ่อนวันหยุดค่ะ... (ช่วงที่ไปเป็นวันหยุดโรงเรียนที่ออสเตรเลียพอดีค่ะ) มีลูกเรือชาวฟิจิคนนึงเดินผ่านมาเห็นพาสปอร์ตเรามาจากประเทศไทย เขาเลยพูดสวัสดีครับ เราก็ตกใจเบาๆ เพราะไม่คิดว่าคนฟิจิรู้จักประเทศไทยอันไกลโพ้น... สรุปพอเครื่องออกก็พยายามหลับยาวๆเลยค่ะ เนื่องจากไม่มีใครให้นั่งคุยด้วย แถวเมื่อคืนนอนน้อยอีกต่างหาก สามชั่วโมงผ่านไป ถึงแล้วค่ะ ฟิจิ บูล่า!
บูล่า (Bula ! ) ภาษาฟิเจียนแปลว่าสวัสดีค่ะ คล้ายๆอโลฮ่าอะไรแบบนี้เนอะ ภาษาชาวเก๊าะชาวเกาะ ภาพแรกที่ไปถึงคือ เห้ยนี่สนามบินนานาชาติจริงหรอ มีตึกเก่าๆเพียงหนึ่งตึก เป็นเทอมินอลค่ะ ไม่มีงวงช้างอะไรทั้งนั้น เป็นท่าเทียบจอดถาวร คล้ายๆที่จอดเรืออะไรแบบนี้ ส่วนผู้โดยสารที่ออกประตูหลังก็เดินลงบันไดตามระเบียบค่ะ (ความรู้สึกคล้ายๆสนามบินนครศรีธรรมราช หรืออุดรธานีเมืองไทย) เมืองที่สนามบินตั้งอยู่นี้ชื่อ เนดีค่ะ (Nadi) เป็นเมืองใหญ่ ที่มีคนอาศัยอยู่มากที่สุดในหมู่เกาะฟิจิ
เมื่อรับกระเป๋า เดินออกจากเทอมินอล ก็เดินตรงไปหาคนขับรถจากโรงแรมที่เรานัดไว้ค่ะ หาไม่นานก็เจอ คนขับรถมารับเราคนเดียวเลยค่ะ นั่งรถตู้ไปยังท่าเรือห่างไปประมาณ หนึ่งชั่วโมง รอเรืออีกครึ่งชั่วโมง นั่งเรือออกไปยังรีสอร์ตอีกครึ่งชั่วโมง สรุปไปถึงที่พักค่ำพอดีค่ะ ประมาณหกโมงเย็น ได้เวลากินข้าวเย็นพอดีเลย
ไปถึงที่พักชื่อ Robinson Crusoe Island ด้วยความติ่งโรบินสัน ครูโซ่แต่เด็ก ก็เลยเลือกที่พักนี้ โดยหวังว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับครูโซ่บ้าง (เผื่อใครไม่รู้ มันเป็นนิยาย/หนังเรื่องนึง เกี่ยวกับผู้ชายคนนึง ในยุคประมาณสมัยล่าอาณานิคม เป็นชาวอังกฤษ มาติดเกาะ แล้วก็สร้างบ้านอยู่บนต้นไม้ สู้กับโจรสลัด ฉลาดมาก ฯลฯ ชอบบ้านต้นไม้มาก 555) เกาะที่ไปนี้เป็นเกาะเล็กๆ เดินรอบเกาะใช้เวลา 30 นาที ทั้งเกาะมีแค่รีสอร์ตนี้กับบ้านพักตากอากาศของสามีภรรยาชาวออสเตรเลียที่เป็นเจ้าของกิจกรรมให้เช่าเรือเจ็ทสกีอยู่ที่นั่น บรรยากาศก็ชิวมาก เป็นกันเอง ชาวเกาะก็มีการละเล่นร้องเพลงในขณะที่ทุกคนทานอาหารเย็น การทานอาหารที่นี้ ทุกคนจะทานด้วยกัน เป็นลักษณะบุฟเฟ่ต์ เนื่องจากมีผู้มาพักประมาณสิบกว่าคนเท่านั้นเอง การมากินอาหารเย็นที่นี่เลยรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนใหม่ ครอบครัวใหม่ บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลีย มากันเป็นครอบครัว มีสามีภรรยาชาวนิวซีแลนด์ มีคู่รักวัยรุ่นชาวเยอรมันแบคแพคมา6เดือนแล้ว และมีผู้หญิงอายุไล่เลี่ยกัน มาคนเดียวเหมือนกัน จากอังกฤษ ทุกๆวันตอนนั่งทานอาหารเย็นแบบนี้ ก็จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่มาพัก เป็นความทรงจำที่ประทับใจมากๆ บางวันมีคนกลับ บางวันมีคนมาเพิ่ม เปลี่ยนบรรยากาศ สลับที่นั่งกันไป ได้รู้จักคนใหม่ๆ เรื่องราวจากคนที่มาพักจากทั่วโลก ทึ่งอะ โลกแคบขึ้นมาเลย
หลังจากอาหารเย็น เราก็ไปร่วมจอยกับพนักงานชาวเกาะที่คอยเอนเตอร์เทนผู้ที่มาพัก ชาวเกาะเค้าก็ร้องเพลงเล่นกีต้าร์กันไปค่ะ ส่วนใหญ่เป็นเพลงสไตล์ Old English กับ Bob Marley อะไรทำนองนี้ มีร้องเพลงพื้นเมืองบ้าง เพลงแต่งเองบ้าง คนที่นี้ล้วนแต่เป็นคนมีพรสวรรค์ในการร้องเพลง เล่นดนตรีทั้งนั้นเลยค่ะ แปลกดี ร้องเพลงกันเพราะ อารมณ์ดีกันทั้งนั้นเลย ระหว่างที่ร้องเพลงนี้ ก็จะมีการดื่มคาว่า (Kava) ค่ะ เป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ทำจากรากไม้อะไรประมาณนี้ เอามาบดๆแล้วกลั่นเอาน้ำ ซึ่งไอเดียในการดื่มคาว่านี้ ก็คล้ายๆการดื่มแอลกอฮอล์ของเรานี่แหละค่ะ คือไม่อร่อย แต่ดื่มแล้วมึนๆชาๆ ผ่อนคลายความเครียด แต่คาว่าไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ ดื่มแล้วลิ้นชา เค้าบอกว่าดีต่อไตค่ะ (ดื่มแล้วปวดฉี่ตลอดเวลา ลุกไปฉี่สามรอบสี่รอบตลอด 555)
ที่นี่ กิจกรรมระหว่างวันก็มีหลายอย่าง มีออกไปดำน้ำ ดูปะการัง พายเรือคายัค ว่ายน้ำเล่น มีแท่นลอยน้ำให้ปีน ดูเต่า ดูแข่งปู ดูโชว์ island dance โชว์เก็บมะพร้าว โชว์ทำเครื่องประดับจากกะลามาพร้าว อะไรทำนองนี้ จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าก็ได้แล้วแต่เราค่ะ บางวันก็เข้าร่วม บางวันก็ไปนอนอาบแดด พักผ่อนอ่านหนังสือ นอนเปลญวนในลานสนามหญ้า อากาศดี ลมเย็นสบายมาก ไร้มลพิษ รู้สึกสดชื่นหายใจสะด้วกสะดวก ชีวิตดีเหมือนฝันเลยค่ะคุณณณณณ เที่ยงมาก็ไปกินข้าวที่เขาจัดไว้ให้อีกเช่นเคย อาหารส่วนใหญ่จะคล้ายๆออสเตรเลีย กับอาหารพื้นเมืองผสมๆกัน เช่นปลาเผา มันฝรั่งเผา กับฟิชแอนด์ชิป พาสต้าสลัด อะไรทำนองนี้ค่ะ กินเยอะทุกมื้อเลยค่ะ ด้วยความงก อิอิ พุงนี่ตึง ตกบ่ายมาก็ไปนอนเล่นหรือว่ายน้ำ หรือดูโชว์ วนๆอยู่อย่างนี้หกวันค่ะ
ลืมบอกไปว่าห้องน้ำที่นี่เป็นแบบ Bucket Shower ค่ะ!! คือเราต้องไปรองน้ำจากก็อกมาใส่ถังในห้องน้ำ แล้วชักรอกขึ้นไป แล้วจึงเปิดก๊อกจากถังน้ำให้ไหลมาเป็นฝักบัวอีกที เวลาอาบน้ำจึงต้องอาบแบบประหยัดๆค่ะ เพราะขี้เกียจจะไปรองน้ำอีกรอบ! ถือว่าอึดถึกมาก ตอนเช้าเลยไม่อาบน้ำค่ะ ขี้เกียจ รอเล่นทะเลแล้วอาบทีเดียวแล้วกัน 555
หกวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว การมาคราวนี้ เราไม่ได้มาแบบ Island hopping หรือการไปเกาะนี้ทีเกาะนั้นที เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นค่ะ
เกรงว่าจะเสียเวลา เลยเลือกอยู่ที่นี่ที่เดียวตลอดหกวันเลย ก็แอบเสียดายนะคะ เพราะเกาะที่ไปอยู่ไม่ใช่เกาะที่สวยที่สุดในฟิจิ
ซึ่งอันนี้ฟังมาจากสาวอังกฤษที่มาเที่ยวคนเดียวมาอีกที เธอเที่ยวมาครบแล้วทุกเกาะเด่นๆ จนมาจบสุดท้ายที่เกาะนี้ค่ะ เ
ธอแนะนำว่าคราวหน้าถ้ามีเวลาซักสองอาทิตย์ ให้ลองซื้อแพคเกจที่เรียกว่า Fiji Experience ดูค่ะ คุ้มค่าและได้เที่ยวครบทุกเกาะดี
แต่ยังไงโดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก การอยู่บนเกาะที่ isolated แบบนั้นให้ความรู้สึกเดียวกับการไปอยู่กับครอบครัวชาวฟิจิ
ได้เพื่อนใหม่เป็นทั้งชาวเกาะและนักท่องเที่ยวจากหลายๆประเทศทั่วโลก การมาเที่ยวคนเดียวครั้งนี้ ได้ประสบการณ์เกินคาดค่ะ
ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง การเข้าหาคนอื่น และการเรียนรู้ที่จะมีความสุขด้วยตัวเอง อันนี้สำคัญมากค่ะ ถามว่าบางทีเหงาไหม
ตอบตรงๆว่าก็มีบ้างค่ะ เวลาเห็นคนเขามากับแฟนหรือมาเป็นครอบครัว แต่เราก็ไปนั่งด้วยเนียนๆ เหมือนเป็นส่วนเกิน แต่ก็เอาฮาค่ะ
เปลี่ยนโต๊ะไปเรื่อยๆทุกวัน ครบหกวันก็รู้จักครบทุกคนเลย สนุกดีนะคะ เปิดประสบการณ์ใหม่ เหมือนเอาตัวเองออกจาก comfort zone เลยค่ะ
การเที่ยวคนเดียวครั้งนี้ก็ไม่ยากจนเกินไป เพราะไม่ได้ต้องเดินทางยากมากมาย อยู่บนเกาะชิวๆหกวัน
ถือเป็นการเดินทางคนเดียวครั้งแรกที่เรียกว่าประสบความสำเร็จค่ะ มันเป็นโอกาสที่ดี ในการเรียนรู้โลกด้วยตัวเราเอง
ไร้การเจือปนจากความรู้สึกคนรอบข้าง ทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ค้นหาตัวเอง และมีความสุขกับการผจญภัยด้วยตัวเราเอง
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเดินทางคนเดียวนะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น