“กระผม นักเรียนนายสิบ .......... ............ ขออนุญาตเลือกเหล่า ทหารม้า ครับ”
เป็นอีกหนึ่งประโยคในความทรงจำของผม มันยังคงลอยเวียน ก้องอยู่ในโสตประสาท เสมือนว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวันวาน วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ทั้งที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำของการเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ผู้ที่จะจบออกมาเป็นกำลังพลที่เปรียบเสมือนเป็น “กระดูกสันหลังของกองทัพ” ว่ามันจะโลดโผนโจนทะยาน สุขเศร้าเคล้าน้ำตาเพียงใด มิตรภาพที่หาซื้อได้ โดยไม่ต้องใช้เงินตรา ทุกเรื่องราว ย่อมมีจุดเริ่มต้น
“ตั๋วรถทัวร์อยู่ใส?”พ่อถามผมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทั้งๆที่ผมกับพ่อแทบจะไม่ค่อยได้คุยกัน ด้วยที่พ่อผมเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ผมจึงติดแม่มากกว่า “ซื้อมาแล้วครับ อยู่ในกระเป๋า”ผมตอบกลับไป พลางเตรียมเอกสารการรายงานตัว ซึ่งก็เป็นเอกสารทั่วไปสำหรับใช้ติดต่อราชการ ในใจก็ครุ่นคิดไปต่างๆนาๆ คำถามหลายคำถามเรื่มผุดขึ้นมา สักพักพ่อก็เดินมาตาม “เสร็จยัง เดี๋ยวบ่ทันรถ”ผมก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ ไม่รู้ว่าผมใจลอยไปนานแค่ใหน “หิวข้าวบ่ลูก แม่เฮ็ดซุบบักเขือ แกงหน่อไม้ แจ่วพริกสด แนวกินที่ลูกมักไว้ถ่าในพาข้าวแล้ว”แม่ผมเดินตามหลังพ่อมา เรียกผมไปทานข้าว ผมจึงรีบไปอาบน้ำ แล้วมาทานข้าวกับพ่อและแม่ “อดเอาทนเอาเด้อลูก โตเป็นคนแรกของตระกูลเฮา ที่ได้เป็นราชการ ลบคำสบประมาทดูถูกของคนให้ได้พ่อกับแม่เฮ็ดให้ซ่ำนี้ ต่อไปอยู่ที่ลูกแล้ว ว่าลูกสิเฮ็ดได้ซ่ำได๋ และที่สำคัญ อย่าลืมโต ว่าเจ้าของเป็นไผ อย่าถิ่มชาติเหง้าเผ่าตระกูลเฮา” คำสอนในวงข้าวของแม่ ที่ผมจำจนขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้ และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทาง การเดินทางครั้งนี้ประกอบด้วย 3 ชีวิต คือ ผม พ่อ และบุคคลค้ำประกัน หลังจากร่ำลาแม่และที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ลุงเป็นคนที่มาส่งขึ้นรถที่ บขส.ในตัวเมือง และแล้วก็ถึงเวลารถออก การเดินทางที่จะเปลี่ยนชีวิตผม จากวัยรุ่นตอนกลาง ที่ใช้ชีวิตสนุกสนานๆไปวันๆ ไปสู่การเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ที่ทุกการกระทำมีระเบียบวินัยเป็นตัวควบคุมอยู่
เรื่องเล่าจาก รร.นส.ทบ กว่าจะเป็นนายสิบ
เป็นอีกหนึ่งประโยคในความทรงจำของผม มันยังคงลอยเวียน ก้องอยู่ในโสตประสาท เสมือนว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวันวาน วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ทั้งที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำของการเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ผู้ที่จะจบออกมาเป็นกำลังพลที่เปรียบเสมือนเป็น “กระดูกสันหลังของกองทัพ” ว่ามันจะโลดโผนโจนทะยาน สุขเศร้าเคล้าน้ำตาเพียงใด มิตรภาพที่หาซื้อได้ โดยไม่ต้องใช้เงินตรา ทุกเรื่องราว ย่อมมีจุดเริ่มต้น
“ตั๋วรถทัวร์อยู่ใส?”พ่อถามผมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทั้งๆที่ผมกับพ่อแทบจะไม่ค่อยได้คุยกัน ด้วยที่พ่อผมเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ผมจึงติดแม่มากกว่า “ซื้อมาแล้วครับ อยู่ในกระเป๋า”ผมตอบกลับไป พลางเตรียมเอกสารการรายงานตัว ซึ่งก็เป็นเอกสารทั่วไปสำหรับใช้ติดต่อราชการ ในใจก็ครุ่นคิดไปต่างๆนาๆ คำถามหลายคำถามเรื่มผุดขึ้นมา สักพักพ่อก็เดินมาตาม “เสร็จยัง เดี๋ยวบ่ทันรถ”ผมก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ ไม่รู้ว่าผมใจลอยไปนานแค่ใหน “หิวข้าวบ่ลูก แม่เฮ็ดซุบบักเขือ แกงหน่อไม้ แจ่วพริกสด แนวกินที่ลูกมักไว้ถ่าในพาข้าวแล้ว”แม่ผมเดินตามหลังพ่อมา เรียกผมไปทานข้าว ผมจึงรีบไปอาบน้ำ แล้วมาทานข้าวกับพ่อและแม่ “อดเอาทนเอาเด้อลูก โตเป็นคนแรกของตระกูลเฮา ที่ได้เป็นราชการ ลบคำสบประมาทดูถูกของคนให้ได้พ่อกับแม่เฮ็ดให้ซ่ำนี้ ต่อไปอยู่ที่ลูกแล้ว ว่าลูกสิเฮ็ดได้ซ่ำได๋ และที่สำคัญ อย่าลืมโต ว่าเจ้าของเป็นไผ อย่าถิ่มชาติเหง้าเผ่าตระกูลเฮา” คำสอนในวงข้าวของแม่ ที่ผมจำจนขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้ และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทาง การเดินทางครั้งนี้ประกอบด้วย 3 ชีวิต คือ ผม พ่อ และบุคคลค้ำประกัน หลังจากร่ำลาแม่และที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ลุงเป็นคนที่มาส่งขึ้นรถที่ บขส.ในตัวเมือง และแล้วก็ถึงเวลารถออก การเดินทางที่จะเปลี่ยนชีวิตผม จากวัยรุ่นตอนกลาง ที่ใช้ชีวิตสนุกสนานๆไปวันๆ ไปสู่การเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ที่ทุกการกระทำมีระเบียบวินัยเป็นตัวควบคุมอยู่