จากความรู้ที่มี ปัญหาของชาวนาหลักๆ มี 3 ข้อคือ
1. พ่อค้าคนกลาง - รายได้ต่ำ
2. ทำนาโดยใช้สารเคมี - ต้นทุนสูง
3. ต้องกู้มาทำนา
จากการศึกษาข้อมูลมาจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศ ญี่ปุ่นและกลุ่ม EU พบว่าทุกประเทศก็มีปัญหานี้ทั้งหมด แต่วิธีทางแก้ไขที่มีการทดลองแล้วได้ผลเมื่อนำมารวมกันจะได้เป็น Solution หลักๆ คือ
1. จับชาวนากับผู้บริโภค - แก้ปัญหาพ่อค้าคนกลาง
2. ทำนาโดยใช้วิธีเกษตรอินทรีย์ - แก้ปัญหาต้นทุนสูง
3. ขายสินค้าล่วงหน้า (จองซื้อ) - แก้ปัญหาต้องกูมาทำนา
ตามปกติในภาคของชาวนา มันมีมูลนิธิ และหน่วยงานหลายหน่วยในประเทศช่วยกันอยู่แล้ว แต่มันยังไม่ครบวงจรไปจนถึงผู้บริโภค
เมื่อนำวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดมาวางเป็นโครงการเดียวกันจะได้ดังนี้
== ระยะที่ 1 ==
1. สร้างระบบในการจับคู่ระหว่างชาวนา (ที่คัดเลือกมาแล้ว) กับผู้บริโภค
2. ผู้บริโภคจ่ายเงินล่วงหน้าในลักษณะต่อพื้นที่ เช่น 2,000 บาทต่อ 100 ตารางวา ต่อฤดูการ (ตัวเลขสมมุติ) (วิธีหารเฉลี่ย)
3. เมื่อชาวนาปลูกข้าวได้เท่าไหร่ ผู้บริโภคก็จะได้ข้าวไปตามจำนวนที่ปลูกได้ต่อพื้นที่ที่จอง ณ ฤดูการที่จองไว้
4. การจ่ายเงินให้ชาวนาจะจ่ายเป็น 3 ส่วนคือ
- ส่วนแรกจ่ายแค่ให้พอกับต้นทุนที่ต้องใช้ในการเริ่มทำนา (เพื่อจะได้ไม่ต้องกู้มาทำนา)
- ส่วนต่อมาจ่ายแค่ให้พอกับค่ากินอยู่ของชาวนา (จะได้ไม่อดตาย)
- ส่วนสุดท้ายจ่ายตามผลงานที่เกิดจากนานั้น เช่น ปลูกได้ผลดีก็ได้เงินเยอะ ได้ผลไม่ดีได้เงินน้อย (จะได้ตั้งใจปลูก)
5. กรณีเงินเหลือ คืนเงินให้ผู้บริโภค
6. ผู้บริโภคร่วมกันรับความเสี่ยงกับชาวนา เช่น ถ้าฝนแล้ง, น้ำท่วม ชาวนาก็ยังได้เงินบางส่วนอยู่ ไม่ถึงกับต้องขายบ้าน ขายลูก
7. มีระบบตรวจสอบเช่น มีการไปถ่ายรูป, ตรวจคุณภาพ, QA ทุกเดือน แล้วรายงานไปยัง Web Site ซึ่งผู้ใช้สามารถ Logic มาดูที่นาของตัวเองได้
8. ผู้บริโภค สามารถเลือกได้ว่าจะจองที่นาจากชาวนาคนไหนบ้าง สามารถไปเยี่ยมชมที่นา และ ชาวนาที่ตัวเองจองไว้ได้
9. บังคับให้ชาวนาทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ (ตามสถิติต้นทุนจาก 6,000 บาท/ไร่ เหลือ 2,000 - 4,000 ต่อไร่)
ประโยชน์ในระยะที่ 1
1.ลดพ่อค้าคนกลางไปได้ ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น
2. เมื่อเปลี่ยนเป็นทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ก็จะทำให้ไม่ต้องซื้อสารเคมีเช่น ปุ๋ยเคมี, ยาฆ่าแมลง ซึ่งแพงมาก ทำให้ลดต้นทุนได้มาก และชาวนาก็จะสุขภาพดีขึ้น (ชาวนาป่วยเพราะสารเคมีเยอะมาก)
3. ผู้บริโภคก็จะได้ข้าวที่เป็น Organic ปลอดภัยจากสารเคมี
4. ชาวนาไม่ต้องกู้หนี้มาทำนา
5. ชาวนาไม่ต้องรับความเสี่ยงคนเดียว เพราะผู้บริโภคช่วยรับความเสี่ยง
== ระยะที่ 2 ==
1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำนา เช่น ปลูกพืชหมุนเวียนในนาข้าว เช่น ถั่วเขียว นอกจากจะทำให้ศัตรูข้าวลดลง ยังเพิ่มปุ๋ยในดินด้วย
2. ผู้ที่จองเป็นรายปี ก็ได้พืชหมุนเวียนไปในช่วงที่ไม่ได้ปลูกข้าวไปด้วย
3. สนับสนุนให้เลี้ยงปลา, เลี้ยงเป็ดในนา (เนื่องจากไม่ใช้สารเคมีแล้ว ทำให้เลี้ยงปลา, เป็ดในที่นาได้เลย) นอกจากนี้ ปลาและเป็ดก็ช่วย กำจัดศัตรูพืชด้วย
4. ปลาที่เลี้ยง, ไข่เป็ดที่ได้ ก็สามารถนำไปเป็นอาหารของชาวนาได้ด้วย
5. สนับสนุนให้ปลูกข้าวพันธืพิเศษ เช่น Rice Berry, หอมมะลินิล หรือพันธุ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ตามพื้นที่นั้น
ประโยชน์ระยะที่ 2
1. การทำนามีประสิทธิภาพขึ้น รายได้เพิ่ม รายจ่ายลด 2. เกษตรพึ่งพาตนเองด้านอาหารได้ 3. เปิดตลาดเฉพาะ (Niche Market)
== ระยะที่ 3 == ปรับความคิด
1. สร้างค่านิยมให้ผู้บริโภค เช่นคนในเมืองว่า การสนับสนุนให้ชาวนาปลูกข้าวเป็นเรื่องที่จำเป็น เป็นเรื่องที่ดี
2. ประชาสัมพันธ์ให้เห็นประโยชน์ของการทำนา ซึ่งเป็น อู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ และของโลก
3. ปรับวิธีคิดของชาวนาที่ต้อง ใช้สารเคมีมากๆ มาเป็นเกษตรอินทรีย์
4. ร่วมมือกับ หน่วยงานและมูลนิธิ ต่างๆ ทั่วประเทศ ในการให้ความรู้
5. ขอความช่วยเหลือจาก โครงการพระราชดำริต่างๆ เอามาเป็นแนวทางต้นแบบ
== ระยะที่ 4 == พัฒนาชุมชน
1. สนับสนุนให้ผู้บริโภค หรือ คนในเมือง ได้มีโอกาสรู้จัก ทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือกัน
2. พัฒนาชุมชน และ ตำบลนั้น ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว Homestay, Resort ชนบท
3. ให้ความรู้คนในชุมชน ให้ช่วยกันผลิต Product ที่หลากหลาย เพื่อให้เป็นที่น่าสนใจ
4. ผู้บริโภคที่ได้จองที่นาตัวเองไว้ เสาร์-อาทิตย์ อาจจะอยากเที่ยวพักผ่อน ก็มาเที่ยวที่น่าตัวเองได้
5. สร้างกิจกรรมให้ผู้บริโภค ได้มีส่วนร่วมในการทำนา ให้เด็กรุ่นใหม่รู้จักการทำนา
6. ให้ผู้บริโภค และ ผู้ผลิตช่วยเหลือกัน เช่น ถ้านาที่ตัวเองจองไว้มีปัญหา ผู้ที่จองไว้ก็จะได้มาช่วยกันแก้ปัญหา
7. ชาวนา และ คนในเมือง ได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น ลดความขัดแย้งทางสังคม เห็นอกเห็นใจกัน
== ระยะที่ 5 ==ขยาย Product
1. แปรรูปผลิตภัณฑ์
2. สร้าง Brand
3. ขยายไปสู่สินค้าอื่นๆ เช่น แอปเปิล ก็ใช้วิธีจองต้นไปเลย
4. ผักก็ใช้วิธี แล้วแต่ว่าฤดูการนั้นปลูกอะไรได้ ก็ได้ผักนั้นไป ซึ่งปกติจะได้ผักไปหลายชนิด เนื่องจากปลูกแบบผสม
5. เพิ่ม Package ให้เลือกหลายอย่างเช่น - เหมาทั้งนา หารเฉลี่ยตามกลุ่ม
- สีเอง, ข้าวกล้อง, ขัดขาว
- ผสมหลายพันธุ์
== ระยะที่ 6 == สิทธิประโยชน์
1. เพิ่มสิทธิประโยชน์
- ลดหย่อนภาษี
- บัตรประชาชนของผู้ที่สนับสนุนเยอะ มีลักษณะพิเศษ เช่น สีเขียวกรอบทอง
- มีมอบโล่ มอบเหรียญ แบบสภากาชาดไทย
2. สะสมแต้ม, ส่วนลด สินค้าบริการต่างๆ
3. ชาวนาที่ผลงานดี ได้รับรางวัล
4. มีกิจกรรม ท่องเที่ยวฟรี
5. จัดตั้งกองทุน/สหกรณ์ เพื่อสนับสนุนเครื่องมือ เครื่องใช้ในการทำนา ให้สมาชิกผลัดกันยืมใช้เช่น รถหว่ายปุ๋ย/ รถหว่านพันธ์ข้าว
== ระยะที่ 7 == ระดับชาติ
1. ให้ อสม. ทั่วประเทศเป็น Sales Man เนื่องจากข้าวและผักผลไม้ต้องกินกันอยู่แล้ว ถ้า อสม. ขายได้กำไร ด้วยก็ยิ่งดี
2. ให้ไปรษณีย์ไทยเป็น Logistic
3. ให้หน่วยงานราชการอื่นๆ มา ร่วมทำ
4. จัดตั้งหน่วยงานรับรอง ออแกนิค
== ระยะที่ 8 == Go Inter
1. ขยายไปต่างประเทศ
2. ชาวต่างชาติ สามารถสั่งข้าวจากชาวนาได้โดยตรงจากต่างประเทศ
3. ชาวต่างชาติ มาเที่ยวพักผ่อนตามชุมชน หรือ ที่นาที่ตัวเองจองได้
4. พัฒนาเป็นธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศ
5. สร้าง Brand ระดับโลก ด้วยแนวคิดว่า ข้าวไทยตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน รู้แหล่งผลิต ดูการปลูกได้แบบ RealTime
6. สนับสนุนให้ร้านอาหารไทยในต่างแดน นำไปเป็นจุดขาย เช่น Web Cam ดูวัตถุดิบได้เลย
== ระยะที่ 9 ==
1. วาระแห่งชาติ
2. บรรเทาปัญหาขาดแขนอาหารโลก
3. สร้างสังคมที่ช่วยเหลือกัน สังคมสีเขียว
สรุป
วัตถุประสงค์หลักของโครงการ
1. ชาวนามีชีวิตดีขึ้น
2. ผู้บริโภคได้ข้าวคุณภาพดี
3. ผู้ผลิตผู้บริโภค ทำงานร่วมกัน เห็นใจกัน ช่วยเหลือกัน
รายละเอียดยังมีอีกเยอะ ถ้าสงสัยประการใด มาพูดคุยกันได้
ผมยินดีวางระบบและพัฒนาระบบให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ และผมไม่สงวนลิขสิทธิ ถ้าจะเอาแนวคิดไปใช้ในบริษัทไหน, พรรคไหน ก็นำไปใช้ได้เลย แต่ขอให้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน, ประเทศ อย่าได้โกงกันสักโครงการหนึ่ง ถ้าใครนำความคิดนี้ไปใช้แล้วนำไปโกง ไปเอาเปรียบ ผมขอสาบแช่งให้เวรกรรมลงโทษด้วย
ถ้าวิธีนี้มีประโยชน์ และช่วยบรรเทาปัญหาของเกษตรกรทั่วประเทศได้ ขอให้เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ ดลใจคนที่สามารถทำได้มาเอาไปทำด้วย สาธุ
ธีระ พิรุณรัตน์
089-112-8988
== Acknowledge ==
Pises Tungittipokai
- เพิ่มหน่วยงานออกใบรับรองออแกนิค
- เพิ่ม Package ซื้อไปสีเอง, สีข้าวกล้อง, ขัดขาว
- เพิ่ม คำอธิบาย วิธีหารเฉลี่ย
- สร้าง Brand ระดับโลก ด้วยแนวคิดว่า ข้าวไทยตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน รู้แหล่งผลิต ดูการปลูกได้แบบ RealTime
- สนับสนุนให้ร้านอาหารไทยในต่างแดน นำไปเป็นจุดขาย เช่น Web Cam ดูวัตถุดิบได้เลย (เช่น ฟูจิฟาร์ม)
ปุ๊ เด็ทเทนฮัมเมอร์
- จัดตั้งกองทุน/สหกรณ์ เพื่อสนับสนุนเครื่องมือ เครื่องใช้ในการทำนา ให้สมาชิกผลัดกันยืมใช้เช่น รถหว่ายปุ๋ย/ รถหว่านพันธ์ข้าว
== ปัญหาอื่นๆ ==
ManagerOnline
1. ที่ดิน: ไม่มีที่ดิน ต้องเช่าทำนา ที่ดินขายให้นายทุน ถูก ธกส.ยึด ฯลฯ
2. น้ำ: น้ำท่วม-น้ำแล้ง ขาดระบบชลประทาน ผังเมืองล้มเหลว เช่น
- คลองรังสิต ขุดสมัยรัชกาลที่ 5 ให้เป็นคลองชลประทาน แถวรังสิตกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร
- พระนครศรีอยุธยา กลายเป็นนิคุมอุตสาหกรรม
3. ระบบสหกรณ์การเกษตร ถูกทำลายโดยระบบทุนนิยม:
- ทั้งการกู้ยืม ดบ.ต่ำ, การร่วมกันลงแรงดำนา-เกี่ยวข้าว,
- การใช้อุปกรณ์การเกษตรร่วมกัน เช่น รถไถ เครื่องสูบน้ำ โรงสี โกดัง ฯลฯ
- กลายเป็นกู้ ธกส. ค้ำด้วยโฉนด แล้ว ธกส. ก็บังคับซื้อปุ๋ยเคมี/ยาฆ่าหญ้า, ซื้อ/จ้าง/เช่า รถไถ รถขุด รถเกี่ยวข้าว, โรงสีรวมก็ไม่เหลือ ต้องขายโรงสี ทุกอย่างใช้แต่เงิน
****** ตัวอย่างเเนวทาง หากคิดจะช่วยชาวนา อย่างเเท้จริง / เเบบเเจกเงินไร่ละ 1000 เด็กอนุบาล มันก้ทำได้ **** (อินทรีเเดง)
1. พ่อค้าคนกลาง - รายได้ต่ำ
2. ทำนาโดยใช้สารเคมี - ต้นทุนสูง
3. ต้องกู้มาทำนา
จากการศึกษาข้อมูลมาจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศ ญี่ปุ่นและกลุ่ม EU พบว่าทุกประเทศก็มีปัญหานี้ทั้งหมด แต่วิธีทางแก้ไขที่มีการทดลองแล้วได้ผลเมื่อนำมารวมกันจะได้เป็น Solution หลักๆ คือ
1. จับชาวนากับผู้บริโภค - แก้ปัญหาพ่อค้าคนกลาง
2. ทำนาโดยใช้วิธีเกษตรอินทรีย์ - แก้ปัญหาต้นทุนสูง
3. ขายสินค้าล่วงหน้า (จองซื้อ) - แก้ปัญหาต้องกูมาทำนา
ตามปกติในภาคของชาวนา มันมีมูลนิธิ และหน่วยงานหลายหน่วยในประเทศช่วยกันอยู่แล้ว แต่มันยังไม่ครบวงจรไปจนถึงผู้บริโภค
เมื่อนำวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดมาวางเป็นโครงการเดียวกันจะได้ดังนี้
== ระยะที่ 1 ==
1. สร้างระบบในการจับคู่ระหว่างชาวนา (ที่คัดเลือกมาแล้ว) กับผู้บริโภค
2. ผู้บริโภคจ่ายเงินล่วงหน้าในลักษณะต่อพื้นที่ เช่น 2,000 บาทต่อ 100 ตารางวา ต่อฤดูการ (ตัวเลขสมมุติ) (วิธีหารเฉลี่ย)
3. เมื่อชาวนาปลูกข้าวได้เท่าไหร่ ผู้บริโภคก็จะได้ข้าวไปตามจำนวนที่ปลูกได้ต่อพื้นที่ที่จอง ณ ฤดูการที่จองไว้
4. การจ่ายเงินให้ชาวนาจะจ่ายเป็น 3 ส่วนคือ
- ส่วนแรกจ่ายแค่ให้พอกับต้นทุนที่ต้องใช้ในการเริ่มทำนา (เพื่อจะได้ไม่ต้องกู้มาทำนา)
- ส่วนต่อมาจ่ายแค่ให้พอกับค่ากินอยู่ของชาวนา (จะได้ไม่อดตาย)
- ส่วนสุดท้ายจ่ายตามผลงานที่เกิดจากนานั้น เช่น ปลูกได้ผลดีก็ได้เงินเยอะ ได้ผลไม่ดีได้เงินน้อย (จะได้ตั้งใจปลูก)
5. กรณีเงินเหลือ คืนเงินให้ผู้บริโภค
6. ผู้บริโภคร่วมกันรับความเสี่ยงกับชาวนา เช่น ถ้าฝนแล้ง, น้ำท่วม ชาวนาก็ยังได้เงินบางส่วนอยู่ ไม่ถึงกับต้องขายบ้าน ขายลูก
7. มีระบบตรวจสอบเช่น มีการไปถ่ายรูป, ตรวจคุณภาพ, QA ทุกเดือน แล้วรายงานไปยัง Web Site ซึ่งผู้ใช้สามารถ Logic มาดูที่นาของตัวเองได้
8. ผู้บริโภค สามารถเลือกได้ว่าจะจองที่นาจากชาวนาคนไหนบ้าง สามารถไปเยี่ยมชมที่นา และ ชาวนาที่ตัวเองจองไว้ได้
9. บังคับให้ชาวนาทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ (ตามสถิติต้นทุนจาก 6,000 บาท/ไร่ เหลือ 2,000 - 4,000 ต่อไร่)
ประโยชน์ในระยะที่ 1
1.ลดพ่อค้าคนกลางไปได้ ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น
2. เมื่อเปลี่ยนเป็นทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ก็จะทำให้ไม่ต้องซื้อสารเคมีเช่น ปุ๋ยเคมี, ยาฆ่าแมลง ซึ่งแพงมาก ทำให้ลดต้นทุนได้มาก และชาวนาก็จะสุขภาพดีขึ้น (ชาวนาป่วยเพราะสารเคมีเยอะมาก)
3. ผู้บริโภคก็จะได้ข้าวที่เป็น Organic ปลอดภัยจากสารเคมี
4. ชาวนาไม่ต้องกู้หนี้มาทำนา
5. ชาวนาไม่ต้องรับความเสี่ยงคนเดียว เพราะผู้บริโภคช่วยรับความเสี่ยง
== ระยะที่ 2 ==
1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำนา เช่น ปลูกพืชหมุนเวียนในนาข้าว เช่น ถั่วเขียว นอกจากจะทำให้ศัตรูข้าวลดลง ยังเพิ่มปุ๋ยในดินด้วย
2. ผู้ที่จองเป็นรายปี ก็ได้พืชหมุนเวียนไปในช่วงที่ไม่ได้ปลูกข้าวไปด้วย
3. สนับสนุนให้เลี้ยงปลา, เลี้ยงเป็ดในนา (เนื่องจากไม่ใช้สารเคมีแล้ว ทำให้เลี้ยงปลา, เป็ดในที่นาได้เลย) นอกจากนี้ ปลาและเป็ดก็ช่วย กำจัดศัตรูพืชด้วย
4. ปลาที่เลี้ยง, ไข่เป็ดที่ได้ ก็สามารถนำไปเป็นอาหารของชาวนาได้ด้วย
5. สนับสนุนให้ปลูกข้าวพันธืพิเศษ เช่น Rice Berry, หอมมะลินิล หรือพันธุ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ตามพื้นที่นั้น
ประโยชน์ระยะที่ 2
1. การทำนามีประสิทธิภาพขึ้น รายได้เพิ่ม รายจ่ายลด 2. เกษตรพึ่งพาตนเองด้านอาหารได้ 3. เปิดตลาดเฉพาะ (Niche Market)
== ระยะที่ 3 == ปรับความคิด
1. สร้างค่านิยมให้ผู้บริโภค เช่นคนในเมืองว่า การสนับสนุนให้ชาวนาปลูกข้าวเป็นเรื่องที่จำเป็น เป็นเรื่องที่ดี
2. ประชาสัมพันธ์ให้เห็นประโยชน์ของการทำนา ซึ่งเป็น อู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ และของโลก
3. ปรับวิธีคิดของชาวนาที่ต้อง ใช้สารเคมีมากๆ มาเป็นเกษตรอินทรีย์
4. ร่วมมือกับ หน่วยงานและมูลนิธิ ต่างๆ ทั่วประเทศ ในการให้ความรู้
5. ขอความช่วยเหลือจาก โครงการพระราชดำริต่างๆ เอามาเป็นแนวทางต้นแบบ
== ระยะที่ 4 == พัฒนาชุมชน
1. สนับสนุนให้ผู้บริโภค หรือ คนในเมือง ได้มีโอกาสรู้จัก ทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือกัน
2. พัฒนาชุมชน และ ตำบลนั้น ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว Homestay, Resort ชนบท
3. ให้ความรู้คนในชุมชน ให้ช่วยกันผลิต Product ที่หลากหลาย เพื่อให้เป็นที่น่าสนใจ
4. ผู้บริโภคที่ได้จองที่นาตัวเองไว้ เสาร์-อาทิตย์ อาจจะอยากเที่ยวพักผ่อน ก็มาเที่ยวที่น่าตัวเองได้
5. สร้างกิจกรรมให้ผู้บริโภค ได้มีส่วนร่วมในการทำนา ให้เด็กรุ่นใหม่รู้จักการทำนา
6. ให้ผู้บริโภค และ ผู้ผลิตช่วยเหลือกัน เช่น ถ้านาที่ตัวเองจองไว้มีปัญหา ผู้ที่จองไว้ก็จะได้มาช่วยกันแก้ปัญหา
7. ชาวนา และ คนในเมือง ได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น ลดความขัดแย้งทางสังคม เห็นอกเห็นใจกัน
== ระยะที่ 5 ==ขยาย Product
1. แปรรูปผลิตภัณฑ์
2. สร้าง Brand
3. ขยายไปสู่สินค้าอื่นๆ เช่น แอปเปิล ก็ใช้วิธีจองต้นไปเลย
4. ผักก็ใช้วิธี แล้วแต่ว่าฤดูการนั้นปลูกอะไรได้ ก็ได้ผักนั้นไป ซึ่งปกติจะได้ผักไปหลายชนิด เนื่องจากปลูกแบบผสม
5. เพิ่ม Package ให้เลือกหลายอย่างเช่น - เหมาทั้งนา หารเฉลี่ยตามกลุ่ม
- สีเอง, ข้าวกล้อง, ขัดขาว
- ผสมหลายพันธุ์
== ระยะที่ 6 == สิทธิประโยชน์
1. เพิ่มสิทธิประโยชน์
- ลดหย่อนภาษี
- บัตรประชาชนของผู้ที่สนับสนุนเยอะ มีลักษณะพิเศษ เช่น สีเขียวกรอบทอง
- มีมอบโล่ มอบเหรียญ แบบสภากาชาดไทย
2. สะสมแต้ม, ส่วนลด สินค้าบริการต่างๆ
3. ชาวนาที่ผลงานดี ได้รับรางวัล
4. มีกิจกรรม ท่องเที่ยวฟรี
5. จัดตั้งกองทุน/สหกรณ์ เพื่อสนับสนุนเครื่องมือ เครื่องใช้ในการทำนา ให้สมาชิกผลัดกันยืมใช้เช่น รถหว่ายปุ๋ย/ รถหว่านพันธ์ข้าว
== ระยะที่ 7 == ระดับชาติ
1. ให้ อสม. ทั่วประเทศเป็น Sales Man เนื่องจากข้าวและผักผลไม้ต้องกินกันอยู่แล้ว ถ้า อสม. ขายได้กำไร ด้วยก็ยิ่งดี
2. ให้ไปรษณีย์ไทยเป็น Logistic
3. ให้หน่วยงานราชการอื่นๆ มา ร่วมทำ
4. จัดตั้งหน่วยงานรับรอง ออแกนิค
== ระยะที่ 8 == Go Inter
1. ขยายไปต่างประเทศ
2. ชาวต่างชาติ สามารถสั่งข้าวจากชาวนาได้โดยตรงจากต่างประเทศ
3. ชาวต่างชาติ มาเที่ยวพักผ่อนตามชุมชน หรือ ที่นาที่ตัวเองจองได้
4. พัฒนาเป็นธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศ
5. สร้าง Brand ระดับโลก ด้วยแนวคิดว่า ข้าวไทยตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน รู้แหล่งผลิต ดูการปลูกได้แบบ RealTime
6. สนับสนุนให้ร้านอาหารไทยในต่างแดน นำไปเป็นจุดขาย เช่น Web Cam ดูวัตถุดิบได้เลย
== ระยะที่ 9 ==
1. วาระแห่งชาติ
2. บรรเทาปัญหาขาดแขนอาหารโลก
3. สร้างสังคมที่ช่วยเหลือกัน สังคมสีเขียว
สรุป
วัตถุประสงค์หลักของโครงการ
1. ชาวนามีชีวิตดีขึ้น
2. ผู้บริโภคได้ข้าวคุณภาพดี
3. ผู้ผลิตผู้บริโภค ทำงานร่วมกัน เห็นใจกัน ช่วยเหลือกัน
รายละเอียดยังมีอีกเยอะ ถ้าสงสัยประการใด มาพูดคุยกันได้
ผมยินดีวางระบบและพัฒนาระบบให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ และผมไม่สงวนลิขสิทธิ ถ้าจะเอาแนวคิดไปใช้ในบริษัทไหน, พรรคไหน ก็นำไปใช้ได้เลย แต่ขอให้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน, ประเทศ อย่าได้โกงกันสักโครงการหนึ่ง ถ้าใครนำความคิดนี้ไปใช้แล้วนำไปโกง ไปเอาเปรียบ ผมขอสาบแช่งให้เวรกรรมลงโทษด้วย
ถ้าวิธีนี้มีประโยชน์ และช่วยบรรเทาปัญหาของเกษตรกรทั่วประเทศได้ ขอให้เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ ดลใจคนที่สามารถทำได้มาเอาไปทำด้วย สาธุ
ธีระ พิรุณรัตน์
089-112-8988
== Acknowledge ==
Pises Tungittipokai
- เพิ่มหน่วยงานออกใบรับรองออแกนิค
- เพิ่ม Package ซื้อไปสีเอง, สีข้าวกล้อง, ขัดขาว
- เพิ่ม คำอธิบาย วิธีหารเฉลี่ย
- สร้าง Brand ระดับโลก ด้วยแนวคิดว่า ข้าวไทยตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน รู้แหล่งผลิต ดูการปลูกได้แบบ RealTime
- สนับสนุนให้ร้านอาหารไทยในต่างแดน นำไปเป็นจุดขาย เช่น Web Cam ดูวัตถุดิบได้เลย (เช่น ฟูจิฟาร์ม)
ปุ๊ เด็ทเทนฮัมเมอร์
- จัดตั้งกองทุน/สหกรณ์ เพื่อสนับสนุนเครื่องมือ เครื่องใช้ในการทำนา ให้สมาชิกผลัดกันยืมใช้เช่น รถหว่ายปุ๋ย/ รถหว่านพันธ์ข้าว
== ปัญหาอื่นๆ ==
ManagerOnline
1. ที่ดิน: ไม่มีที่ดิน ต้องเช่าทำนา ที่ดินขายให้นายทุน ถูก ธกส.ยึด ฯลฯ
2. น้ำ: น้ำท่วม-น้ำแล้ง ขาดระบบชลประทาน ผังเมืองล้มเหลว เช่น
- คลองรังสิต ขุดสมัยรัชกาลที่ 5 ให้เป็นคลองชลประทาน แถวรังสิตกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร
- พระนครศรีอยุธยา กลายเป็นนิคุมอุตสาหกรรม
3. ระบบสหกรณ์การเกษตร ถูกทำลายโดยระบบทุนนิยม:
- ทั้งการกู้ยืม ดบ.ต่ำ, การร่วมกันลงแรงดำนา-เกี่ยวข้าว,
- การใช้อุปกรณ์การเกษตรร่วมกัน เช่น รถไถ เครื่องสูบน้ำ โรงสี โกดัง ฯลฯ
- กลายเป็นกู้ ธกส. ค้ำด้วยโฉนด แล้ว ธกส. ก็บังคับซื้อปุ๋ยเคมี/ยาฆ่าหญ้า, ซื้อ/จ้าง/เช่า รถไถ รถขุด รถเกี่ยวข้าว, โรงสีรวมก็ไม่เหลือ ต้องขายโรงสี ทุกอย่างใช้แต่เงิน