....อริยสัจจ์ข้อที่ 4 คือ หนทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์
หนทางสายนี้เรียกว่า "ทางสายกลาง " เพราะงดเว้นจากข้อปฏิบัติที่เอียงสุด 2 ประการ
.....ข้อปฎิบัติ
เอียงสุดอย่างแรก ได้แก่ การแสวงหาความสุขด้วยกามสุข
อันเป็นของต่ำทราม เป็นของธรรมดา ไม่เป็นประโยชน์ และเป็นทางปฏิบัติของสามัญชน
...ข้อปฎิบัติ
เอียงสุดอีกอย่างหนึ่ง คือการแสวงหาความสุขด้วยการทรมานตนเองให้เดือดร้อน
...ด้วยการบำเพ็ญทุกกรกิริยาในรูปแบบต่างๆ อันเป็นการทรมานร่างกาย เป็นสิ่งไม่มีค่า และเป็นสิ่งไม่มีประโยขน์
ในเบื้องแรกนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงทดลองปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เอียงสุดทั้งสองประการนี้มาแล้ว
ทรงพบว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ จึงได้ทรงค้นพบทางสายกลางนี้ด้วยประสบการณ์ของพระองค์เอง
ซึ่งเป็นทางที่ให้ทัศนะและปัญญาอันนำไปสู่ความสงบ ญาณ การตรัสรู้ และพระนิพพาน
...ทางสายกลางนี้โดยทั่วไปหมายถึง
ทางมีองค์แปดประการอันประเสริฐ
เพราะประกอบด้วยองค์ หรือส่วนประกอบ 8 ประการคือ
....1.
เห็นชอบ (สัมมาทิฏิฐิ) (ปัญญา) ได้แก่ ความรู้อริยสัจจ์ 4
หรือ เห็นไตรลักษณ์ โดยการเข้าใจชอบหรือเห็นชอบนั้นมีอยู่ 2 ประเภท
คือ 1.ความเข้าใจคือความรู้ ความมีสติปัญญา
สามารถรอบรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามข้อมูลที่ได้มา ความเข้าใจประเภทนี้เรียกว่า "ตามรู้"
เป็นความเข้าใจที่ยังไม่ลึกซึ้ง
2.ส่วนความเข้าใจที่ลึกซึ้งซึ่งเรียกว่า"การรู้แจ้งแทงตลอด"
หมายถึงมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามสภาวะที่แท้จริง โดยไม่คำนึงถึงชื่อ และป้ายชื่อยี่ห้อของสิ่งนั้น
การรู้แจ้งแทงตลอดนี้จะมีขึ้นได้ เมื่อจิตปราศจากอาสวะทั้งหลาย
และได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติสมาธิเท่านั้น
.....2.
ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) (ปัญญา) ได้แก่ ความตรึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดที่ดีงาม
(กุศลวิตก 3 ประกอบด้วย 1.ความตรึกปลอดจากกาม ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรนเปรอสนองความอยากของตน
2.ความตรึกปลอดจากพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเคือง หรือ เพ่งมองในแง่ร้าย
3.ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนด้วยกรุณาไม่คิดร้าย หรือมุ่งทำลาย)
....3.
เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) (ศิล) ได้แก่ วจีสุจริต 4 ประกอบด้วย
1.ไม่พูดเท็จ 2.ไม่พูดส่อเสียด 3.ไม่พูดหยาบ 4.ไม่พูดเพ้อเจ้อ
....4.
กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) (ศิล) ได้แก่ กายสุจริต 3 ประกอบด้วย
1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
....5.
เลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) (ศิล) ได้แก่ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชีพ
....6.
พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) (สมาธิ) ได้แก่ สัมมัปปธาน 4 ประกอบด้วย
1.เพียรระวัง หรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
2.เพียรละ หรือเพียรกำจัด คือเพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3.เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น
4. เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
...7.
ระลึกชอบ (สัมมาสติ) (สมาธิ) ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 ประกอบด้วย
1.การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย
2. การตั้งสติกำหนดพิจาณาเวทนา
3.การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต
4.การตั้งสติพิจารณาธรรม
....8.
ตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) (สมาธิ) ได้แก่ ฌาน 4 ประกอบด้วย
1.ปฐมฌาณ 2.ทุติยฌาน 3.ตติยฌาน 4.จตุตถฌาณ
...ในทางปฏิบัตินั้น คำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์ที่ทรงอุทิศ สั่งสอนในช่วงเวลา 45 ปีนั้น
มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางสายกลางนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พระองค์ทรงอธิบายทางสายนี้ โดยวิธิการ และใช้คำพูดที่แตกต่างกันไปตามความแตกต่างของบุคคล
โดยให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนา และศักยภาพในการเข้าใจ
และตามได้ทันของบุคคลเหล่านั้น
แต่สาระสำคัญของพระสูตรหลายพันสูตรที่กระจายอยู่ในคัมภัร์ต่างๆ ของพุทธศาสนา
ล้วนแต่มีเรื่องเกี่ยวกับมรรคซึ่งประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้ทั้งนั้น
(จะต้องไม่เข้าใจว่า องค์ หรือส่วนประกอบ 8 ประการของทางสายกลางนี้
ต้องนำไปปฏิบัติทีละข้อ โดยเรียงตามลำดับหมายเลขดังรายการที่ให้ไว้ข้างต้นนั้น )
...องค์ต่างๆ เหล่านั้นจะต้องพัฒนาให้มีขึ้น
พร้อมๆกันมากบ้าง น้อยบ้าง
ตามแต่ขีดความสามารถของแต่ละบุคคลที่จะให้เป็นไปได้
องค์เหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวโยงกัน และแต่ละองค์ก็ช่วยส่งเสริมองค์อื่นๆไปด้วย
...องค์ 8 ประการเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริม และทำให้หลักการ 3 อย่างของการฝึกอบรม
และการควบคุมตนเองของชาวพุทธมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือ
....1.ความประพฤติทางจริยศาสตร์ (ศิล)
....2.การควบคุมทางจิตใจ (สมาธิ)
....3.ปัญญา (ปัญญา)
...ดังนั้น คงจะช่วยให้ได้เข้าใจองค์ 8 ประการของทางสายกลางได้ดี และได้ใจความต่อเนื่องยิ่งขึ้น
หากเราจัดแบ่งกลุ่มอธิบายองค์ 8 ประการตาม 3หัวข้อนั้น
..ความประพฤติทางจริยศาสตร์ (ศิล) ถูกสร้างขึ้นมากจากความคิดอันกว้างไกล ที่ต้องการให้มีความเมตตาและกรุณา
โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานคำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นที่น่าเสียดายว่ามีนักปราชญ์หลายท่านลืมอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ในคำสอนของพระพุทธองค์นี้ไป
และพากันไปหมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องนอกประเด็นทางด้านปรัชญา
และอภิปรัชญาที่น่าเบื่อหน่ายเมื่อพูดและเขียนเกี่ยวกับพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ทรงประทานคำสอนของพระองค์ไว้ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก
เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก และเพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก
....เท่าที่ได้พรรณามรรคโดยย่นย่อมานี้
ก็คงจะเห็นได้ว่ามรรคเป็นวิถีชีวิตที่แต่ละบุคคลจะต้องนำไปประพฤติ
และพัฒนาเป็นการควบคุมตนเอง ทั้งกาย วาจา และใจ
เป็นการพัฒนาตนเองและเป็นการชำระ (จิต) ตนเองให้บริสุทธิ์
ไม่ได้เกี่ยวกับความเชื่อ การอ้อนวอน การบูชา หรือพิธีกรรมใดๆ
โดยนัยน์จึงไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คนนิยมเรียกกันว่า "ศาสนา"
เป็นทางที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งในอุดมสัจจ์ ความมีอิสระอย่างสมบูรณ์
ความสุขและสันติ โดยอาศัยการบำเพ็ญตาม ศีล สมาธิ และปัญญาอย่างสมบูรณ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้....ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาทั้งหลาย ยังมีประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนา
ที่ประกอบกันแบบง่ายๆ และสวยงามในโอกาสต่างๆ
..แต่ประเพณี และพิธีกรรมเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอริยมรรคนี้
มันมีคุณค่าก็แต่เพียงเป็นการสนองศรัทธา
และความต้องการบางอย่างของผู้ที่ได้รับการพัฒนามาน้อย
และช่วยให้คนเหล่านั้นได้ดำเนินไปสู่อริยมรรคนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น
...คุณสมบัติของ
คนสมบูรณ์แบบ
ในทางพระพุทธศาสนา การที่บุคคลจะเป็นคนสมบูรณ์ได้นั้น
จะต้องมีการพัฒนาคุณสมบัติ 2 ด้านให้เท่าเทียมกัน
คือ
ด้านกรุณา และด้านปัญญา
..กรุณาในที่นี้ หมายถึง ความรักความเอื้อเฟื้อแผ่ความเอื้ออารี ความอดทน
และคุณสมบัติอันประเสริฐทางด้านอารมณ์ หรือคุณสมบัติทางด้านจิตใจอย่างอื่นๆ
..ส่วนปัญญา หมายถึง ทางด้านพุทธปัญญา หรือคุณสมบัติทางด้านจิต
หากบุคคลใดพัฒนาเฉพาะด้านอารมณ์ ไม่ยอมพัฒนาทางด้านพุทธปัญญา
บุคคลนั้นอาจจะกลายเป็นคนโง่ แต่มีจิตใจดี
ส่วนผู้ใดพัฒนาเฉพาะด้านพุทธปัญญาแต่ไม่ยอมพัฒนาทางด้านอารมณ์
ผู้นั้นอาจจะกลายเป็นคนฉลาดแต่จิตใจกระด้าง ไม่มีน้ำใจกับผู้อื่น
เพราะฉะนั้น การที่จะให้เป็นคนสมบูรณ์แบบได้นั้น
จะต้องพัฒนาทั้งสองด้านให้เท่าเทียมกัน
นั่นคือจุดมุ่งหมายของวิถีชีวิตแบบพุทธ คือวิถีชีวิตที่มีปัญญา
และมีความกรุณาเชื่อมโยงไม่แยกออกจากัน
ที่มา : Buddha4u
.....มรรคมีองค์ 8 หรือทางสายกลาง
หนทางสายนี้เรียกว่า "ทางสายกลาง " เพราะงดเว้นจากข้อปฏิบัติที่เอียงสุด 2 ประการ
.....ข้อปฎิบัติเอียงสุดอย่างแรก ได้แก่ การแสวงหาความสุขด้วยกามสุข
อันเป็นของต่ำทราม เป็นของธรรมดา ไม่เป็นประโยชน์ และเป็นทางปฏิบัติของสามัญชน
...ข้อปฎิบัติเอียงสุดอีกอย่างหนึ่ง คือการแสวงหาความสุขด้วยการทรมานตนเองให้เดือดร้อน
...ด้วยการบำเพ็ญทุกกรกิริยาในรูปแบบต่างๆ อันเป็นการทรมานร่างกาย เป็นสิ่งไม่มีค่า และเป็นสิ่งไม่มีประโยขน์
ในเบื้องแรกนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงทดลองปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เอียงสุดทั้งสองประการนี้มาแล้ว
ทรงพบว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ จึงได้ทรงค้นพบทางสายกลางนี้ด้วยประสบการณ์ของพระองค์เอง
ซึ่งเป็นทางที่ให้ทัศนะและปัญญาอันนำไปสู่ความสงบ ญาณ การตรัสรู้ และพระนิพพาน
...ทางสายกลางนี้โดยทั่วไปหมายถึง ทางมีองค์แปดประการอันประเสริฐ
เพราะประกอบด้วยองค์ หรือส่วนประกอบ 8 ประการคือ
....1.เห็นชอบ (สัมมาทิฏิฐิ) (ปัญญา) ได้แก่ ความรู้อริยสัจจ์ 4
หรือ เห็นไตรลักษณ์ โดยการเข้าใจชอบหรือเห็นชอบนั้นมีอยู่ 2 ประเภท
คือ 1.ความเข้าใจคือความรู้ ความมีสติปัญญา
สามารถรอบรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามข้อมูลที่ได้มา ความเข้าใจประเภทนี้เรียกว่า "ตามรู้"
เป็นความเข้าใจที่ยังไม่ลึกซึ้ง
2.ส่วนความเข้าใจที่ลึกซึ้งซึ่งเรียกว่า"การรู้แจ้งแทงตลอด"
หมายถึงมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามสภาวะที่แท้จริง โดยไม่คำนึงถึงชื่อ และป้ายชื่อยี่ห้อของสิ่งนั้น
การรู้แจ้งแทงตลอดนี้จะมีขึ้นได้ เมื่อจิตปราศจากอาสวะทั้งหลาย
และได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติสมาธิเท่านั้น
.....2.ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) (ปัญญา) ได้แก่ ความตรึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดที่ดีงาม
(กุศลวิตก 3 ประกอบด้วย 1.ความตรึกปลอดจากกาม ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรนเปรอสนองความอยากของตน
2.ความตรึกปลอดจากพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเคือง หรือ เพ่งมองในแง่ร้าย
3.ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนด้วยกรุณาไม่คิดร้าย หรือมุ่งทำลาย)
....3.เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) (ศิล) ได้แก่ วจีสุจริต 4 ประกอบด้วย
1.ไม่พูดเท็จ 2.ไม่พูดส่อเสียด 3.ไม่พูดหยาบ 4.ไม่พูดเพ้อเจ้อ
....4.กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) (ศิล) ได้แก่ กายสุจริต 3 ประกอบด้วย
1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
....5.เลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) (ศิล) ได้แก่ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชีพ
....6.พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) (สมาธิ) ได้แก่ สัมมัปปธาน 4 ประกอบด้วย
1.เพียรระวัง หรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
2.เพียรละ หรือเพียรกำจัด คือเพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3.เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น
4. เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
...7.ระลึกชอบ (สัมมาสติ) (สมาธิ) ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 ประกอบด้วย
1.การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย
2. การตั้งสติกำหนดพิจาณาเวทนา
3.การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต
4.การตั้งสติพิจารณาธรรม
....8.ตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) (สมาธิ) ได้แก่ ฌาน 4 ประกอบด้วย
1.ปฐมฌาณ 2.ทุติยฌาน 3.ตติยฌาน 4.จตุตถฌาณ
...ในทางปฏิบัตินั้น คำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์ที่ทรงอุทิศ สั่งสอนในช่วงเวลา 45 ปีนั้น
มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางสายกลางนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พระองค์ทรงอธิบายทางสายนี้ โดยวิธิการ และใช้คำพูดที่แตกต่างกันไปตามความแตกต่างของบุคคล
โดยให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนา และศักยภาพในการเข้าใจ
และตามได้ทันของบุคคลเหล่านั้น
แต่สาระสำคัญของพระสูตรหลายพันสูตรที่กระจายอยู่ในคัมภัร์ต่างๆ ของพุทธศาสนา
ล้วนแต่มีเรื่องเกี่ยวกับมรรคซึ่งประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้ทั้งนั้น
(จะต้องไม่เข้าใจว่า องค์ หรือส่วนประกอบ 8 ประการของทางสายกลางนี้
ต้องนำไปปฏิบัติทีละข้อ โดยเรียงตามลำดับหมายเลขดังรายการที่ให้ไว้ข้างต้นนั้น )
...องค์ต่างๆ เหล่านั้นจะต้องพัฒนาให้มีขึ้นพร้อมๆกันมากบ้าง น้อยบ้าง
ตามแต่ขีดความสามารถของแต่ละบุคคลที่จะให้เป็นไปได้
องค์เหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวโยงกัน และแต่ละองค์ก็ช่วยส่งเสริมองค์อื่นๆไปด้วย
...องค์ 8 ประการเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริม และทำให้หลักการ 3 อย่างของการฝึกอบรม
และการควบคุมตนเองของชาวพุทธมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือ
....1.ความประพฤติทางจริยศาสตร์ (ศิล)
....2.การควบคุมทางจิตใจ (สมาธิ)
....3.ปัญญา (ปัญญา)
...ดังนั้น คงจะช่วยให้ได้เข้าใจองค์ 8 ประการของทางสายกลางได้ดี และได้ใจความต่อเนื่องยิ่งขึ้น
หากเราจัดแบ่งกลุ่มอธิบายองค์ 8 ประการตาม 3หัวข้อนั้น
..ความประพฤติทางจริยศาสตร์ (ศิล) ถูกสร้างขึ้นมากจากความคิดอันกว้างไกล ที่ต้องการให้มีความเมตตาและกรุณา
โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานคำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นที่น่าเสียดายว่ามีนักปราชญ์หลายท่านลืมอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ในคำสอนของพระพุทธองค์นี้ไป
และพากันไปหมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องนอกประเด็นทางด้านปรัชญา
และอภิปรัชญาที่น่าเบื่อหน่ายเมื่อพูดและเขียนเกี่ยวกับพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ทรงประทานคำสอนของพระองค์ไว้ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก
เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก และเพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก
....เท่าที่ได้พรรณามรรคโดยย่นย่อมานี้
ก็คงจะเห็นได้ว่ามรรคเป็นวิถีชีวิตที่แต่ละบุคคลจะต้องนำไปประพฤติ
และพัฒนาเป็นการควบคุมตนเอง ทั้งกาย วาจา และใจ
เป็นการพัฒนาตนเองและเป็นการชำระ (จิต) ตนเองให้บริสุทธิ์
ไม่ได้เกี่ยวกับความเชื่อ การอ้อนวอน การบูชา หรือพิธีกรรมใดๆ
โดยนัยน์จึงไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คนนิยมเรียกกันว่า "ศาสนา"
เป็นทางที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งในอุดมสัจจ์ ความมีอิสระอย่างสมบูรณ์
ความสุขและสันติ โดยอาศัยการบำเพ็ญตาม ศีล สมาธิ และปัญญาอย่างสมบูรณ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
...คุณสมบัติของคนสมบูรณ์แบบ
ในทางพระพุทธศาสนา การที่บุคคลจะเป็นคนสมบูรณ์ได้นั้น
จะต้องมีการพัฒนาคุณสมบัติ 2 ด้านให้เท่าเทียมกัน
คือ ด้านกรุณา และด้านปัญญา
..กรุณาในที่นี้ หมายถึง ความรักความเอื้อเฟื้อแผ่ความเอื้ออารี ความอดทน
และคุณสมบัติอันประเสริฐทางด้านอารมณ์ หรือคุณสมบัติทางด้านจิตใจอย่างอื่นๆ
..ส่วนปัญญา หมายถึง ทางด้านพุทธปัญญา หรือคุณสมบัติทางด้านจิต
หากบุคคลใดพัฒนาเฉพาะด้านอารมณ์ ไม่ยอมพัฒนาทางด้านพุทธปัญญา
บุคคลนั้นอาจจะกลายเป็นคนโง่ แต่มีจิตใจดี
ส่วนผู้ใดพัฒนาเฉพาะด้านพุทธปัญญาแต่ไม่ยอมพัฒนาทางด้านอารมณ์
ผู้นั้นอาจจะกลายเป็นคนฉลาดแต่จิตใจกระด้าง ไม่มีน้ำใจกับผู้อื่น
เพราะฉะนั้น การที่จะให้เป็นคนสมบูรณ์แบบได้นั้น
จะต้องพัฒนาทั้งสองด้านให้เท่าเทียมกัน
นั่นคือจุดมุ่งหมายของวิถีชีวิตแบบพุทธ คือวิถีชีวิตที่มีปัญญา
และมีความกรุณาเชื่อมโยงไม่แยกออกจากัน
ที่มา : Buddha4u