ฝากประสบการณ์ของเพื่อนเราค่ะ (เสียเวลาอ่านดูสักนิดนะค่ะ)

ขอแชร์ประสบการณ์หน่อยครับทุกท่าน

((ลุกสาวผม))  
       น้องนอนอยู่ห้องไอซียู วันที่ 24 ก.ย.57 ที่ผ่านมา ภาพที่ 2 ถ่าย วันที่ 10 ต.ค.57ตอนประมาณ 10โมงกว่าๆ เธอคือลูกสาวของผมเองครับ
เข้าเรื่องเลยดีกว่านะครับ

      เรื่องมีอยู่ว่าตอนเช้า ของวันอังคารที่ 23 ก.ย.57   วันนั้นแม่ของผม ได้ไปทำบุญที่วัดแถวบ้านโดยได้พาลูกสาวของผมไปด้วย แล้วสักพักลูกสาวของผมก็มีอาการไอ แล้วก็เหนื่อย แม่จึงโทรบอกผมว่าไม่ต้องเข้าไปหาแม่ที่บ้านนะ แม่พาหลานไปโรงพยาบาล ให้ผมแวะเข้าไปที่โรงพยาบาลเลย ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ผมจะกลับบ้านพอดี(ตัวผมทำงานอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ห่างจากบ้านแม่ประมาณ 120 ก.ม.) แล้วผมก็เดินทางจนไปถึงโรงพยาบาลแถวบ้านแม่ ก็เห็นลูกของผมนอนพ่นยาขยายหลอดลม ผมก็รู้สึกอุ่นใจมาก เพราะทุกครั้งที่น้องมีอาการอย่างนี้พาไปพ่นยาก็จะหาย แต่สักพักแพทย์เจ้าของไข้ เดินมาหาผมแล้วถามผมว่าเป็นพ่อเด็กใช่ไหม แล้ว คุณรู้ไหมว่าเด็กเป็นอะไร ผมตอบว่าไม่รู้ครับ ผมเพิ่งมาถึงโรงพยาบาล เขาก็บอกผมว่าลูกผมเป็นปอดติดเชื้อ ผมรู้สึกกังวลทันที ที่ได้ยินแพทย์บอก ตอนนั้นเป็นเวลา บ่ายสองโมง แต่ปากผมมันเป็นอะไรไม่รู้ไม่ยอมถามกลับไปว่าลูกเป็นหนักไหม หรือผมต้องทำไง สักพักมีพยาบาลท่านหนึ่งเดินมาพ่นยาให้ลูกสาวผมอีกครั้ง ผมจึงถามว่า ปอดติดเชื้อนี่มันเป็นยังไงครับ
          เขาก็ตอบผมว่า ปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบ ปอดบวม คืออาการเดียวกัน เด็กอาจจะได้รับเชื้อ จากอากาศ จากเพื่อนที่ป่วย พอผมได้ฟังก็พอใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะตอนเด็กๆ ผมก็เคยปอดบวม แล้วก็หายเพียงแค่ฉีดยา หลังจากคุยกับพยาบาล พอคลายกังวล จนเมื่อถึงเวลา สี่โมงเย็นผมยิ้มได้เพราะลูกสาวของร้องเพลงให้ผมฟัง นอนเล่นมือถือของผมอย่างสบายใจ จนผมคิดว่าเอาน่า นอนโรงพยาบาลสักคืนพรุ่งนี้คงกลับบ้านได้ แต่สักพักประมาณสี่โมงกว่าๆ ลูกสาวก็บอกผมว่าง่วงนอน แล้วก็คืนโทรศัพท์ให้ผม แล้วก็หลับไป จนหัวค่ำหมอก็พาไปเอ็กซเรย์ปอด เขาบอกว่ายังไม่ดีขึ้นจิตใจผมกับแม่ตอนนั้นแย่มากๆ ผมนับได้ตั้งแต่เวลา บ่ายสองโมง ถึงประมาณสี่ทุ่ม น้องต้องฉีดยาทั้งหมด 6 เข็ม พ่นยาเกือบ 10ครั้ง เอ็กซเรย์ไม่ต่ำกว่า3ครั้ง และแล้วเวลาบีบคั้นหัวใจที่สุดก็มาถึง...
        เวลาเที่ยงคืน แพทย์ได้มาตรวจอาการลูกสาวผมอีกครั้ง เธอหายใจช้ามาก แพทย์ พยาบาล แม่และผม ทุกคนแตกตื่น คุณหมอรีบนำตัวไปเอ็กซเรย์ทันที ผลปรากฏว่า ลูกสาวผมปอดติดเชื้อขั้นรุนแรง ต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลในตัวจังหวัดโดยด่วน แล้วสิ่งที่แย่กว่านั้นคือน้องต้องเข้า I.C.U. ผมคิดว่าลูกสาวผมทำไมถึงเป็นหนักขนาดนั้น คุณหมอรีบทำการโทรติดต่อประสานงานกับโรงพยาบาลในตัวจังหวัดทันที แต่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดห้อง I.C.U. มีผู้ป่วยเต็ม จึงต้องประสานงานไปที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งห่างออกไปอีกจากตัวเมืองประมาณ 30 กว่า ก.ม. ซึ่งมีเตียงผู้ป่วยI.C.U. ว่างอีกหนึ่งเตียงพอดี ทางโรงพยาบาลจึงรับไว้ เมื่อประสานงานเสร็จทีมแพทย์ที่ส่งตัวบอกกับผมว่า ต้องใส่อุปกรณ์การช่วยหายใจให้น้อง อยากให้พ่อกับย่าออกไปก่อน เพราะเกรงว่าถ้าเห็นแล้วอาจจะกลัวทำใจไม่ได้ ผมก็ได้แต่กันแม่ผมออกไป เพราะผมรู้ว่าแม่กลัวแน่ๆ แต่ผมก็ยืนยันที่จะอยู่ในห้องกับทีมคุณหมอ และผมยังเฝ้ามองลูกอยู่ตลอด แม้จะกลัวก็ตามที อุปกรณ์การแพทย์นี่มันน่ากลัวจริงๆนะครับ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะ) การใส่ไอ้สายนี่มันต้องใส่เข้าปากน่ะครับ ตอนนั้นลูกสาวผม ยังมีสติ เธอร้องโวยวาย เรียกผมกับย่าให้ช่วย พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยด้วย เธอก็คงกลัวเพราะหมอกับพยาบาลรุมกันจับตัวเกือบสิบคน ไหนจะจับขา จับแขน ถือสายน้ำเกลือ เข็นถังอ๊อกซิเจน เตรียมอุปกรณ์ มันดูชุลมุนมาก ผมรีบวิ่งออกไปกันแม่ เพราะแม่ได้ยินเสียงหลานร้อง แล้วแม่ก็วิ่งเข้ามา น้ำตาแม่อาบแก้ม ผมก็ได้แต่บอกแม่ว่าไม่เป็นไรไม่น่ากลัวอย่างแม่คิด ผมแกล้งปลอบใจแม่ ทั้งๆที่ขาผมสั่น ..กว่าจะใส่อุปกรณ์เสร็จได้ จากการพยายามของแพทย์กว่า4ครั้ง จากเวลาเที่ยงคืนกว่า จนเกือบตีสาม เพราะลูกสาวผมดิ้นมาก เธอต่อต้านไม่ยอม ร้องไห้เสียงดัง อาเจียน หลายหนจนทีมแพทย์เหนื่อยไปตามๆกัน
         ทีมรถฉุกเฉินและพยาบาลพร้อมอยู่บนรถ พาลูกสาวผมขึ้นรถ ออกจากโรงพยาบาลแถวบ้านเวลา 03:15 นาที จนมาถึงโรงพยาบาลที่รับตัวน้อง เวลา 04:45 เป็นช่วงเวลาที่ผมพูดได้เลยว่าทรมานใจสุดๆ พอถึงทีมแพทย์พาเข้าห้องฉุกเฉิน โดยที่ผมกับแม่ รออยู่ข้างนอก สักพักแพทย์เวรออกมาถามอาการลูกสาวผมว่า เด็กเป็นอะไรมา ผมก็ตอบว่าปอดติดเชื้อ แล้วก็ถามผมอีกว่าเป็นมากี่วัน ผมก็พูดไปตามความจริงว่า เมื่อตอนเช้าน้องไอ แล้วก็เหนื่อย ก็พาไปโรงพยาบาลเลย โดยที่ย่าของน้องเป็นคนพาไป คุณหมอก็บอกว่าแต่อาการของน้องไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบปุ๊บปั๊บนะ อย่างน้อยต้องเป็นมา 2-3วัน ไม่งั้นอาการไม่หนักขนาดนี้ แล้วทำไมปล่อยให้เด็กเป็นขนาดนี้ ผมพูดอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเถียงหมอยังไง และจะเถียงเพื่ออะไร จนหมอและพยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน พาลูกสาวผมไปเข้า I.C.U. ผมก็ได้แต่เฝ้ารอจนเช้าของอีกวัน แล้วหมอใหญ่ก็เรียกไปพบ ท่านบอกว่าอาการของน้อง 70/30 มีโอกาสเสียชีวิต แล้วก็มีภาวะเลือดออกในกระเพาะแทรกซ้อน แล้วน้องก็เหนื่อยมาก หัวใจเต้น 170 ครั้งต่อนาที ให้ทำใจไว้บ้าง ผมก็อยากจะร้อง แต่ร้องไม่ออก ได้แต่ภาวนา ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างให้ช่วยคุ้มครองลูกสาวผมที หลังจากนอนห้อง I.C.U.
        วันที่สอง หมอบอกผมว่าอาการดีขึ้นนิดหน่อย แต่ยังไม่พ้นขีดอันตราย ผมบอกตรงๆเลยว่าคำว่านิดหน่อยของหมอผมแทบไม่อยากได้ยิน พอวันที่สาม หมอบอกอาการดีขึ้น 80% แต่ยังมีภาวะเลือดออกในกระเพาะอยู่ วันที่สี่ และห้า คุณหมอไม่ได้เข้ามาบอกอาการ มันช่างเป็นเวลาสองวันที่นานมากสำหรับผมเลยทีเดียว จนวันต่อๆมา ลูกสาวผมดีขึ้นไม่มีภาวะเลือดออกในกระเพาะ การหายใจเริ่มเข้าสู่ภาวะปรกติ หมอจะลดการใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้น้องหายใจเองได้ แต่แล้วอีกวันหนึ่งเธออาเจียนมาก จนท่อที่ใส่ไว้หลุดออกมา หมอจึงทดลองให้ลูกสาวผมหายใจเอง แต่ปรากฏว่าหายใจเองได้เพียงแค่ 1ชั่วโมง ก็ต้องกลับมาใส่เครื่องใหม่ มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากๆ แต่หลังจากนั้นก็อาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ ลูกสาวผมสามารถหายใจเองได้ในที่สุด จนคุณหมอบอกว่าจะถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้วนะ แต่ยังต้องเฝ้าดูอาการก่อน ผมดีใจมาก และมั่นใจว่าไม่ต้องกลับไปใส่เครื่องช่วยหายใจอีกแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างผมคิด น้องอาการดีขึ้นจนได้ย้ายขึ้นไปรักษาตัวที่ตึกกุมารเวชกรรม
           ก่อนกลับบ้าน พยาบาลแนะนำผมว่าให้จำไว้เลยว่าเด็กที่เป็นโรคแบบนี้ ถ้าเป็นไข้มีน้ำมูก ถ้าคุณพาเขาไปโรงพยาบาลให้แจ้งทุกครั้งว่าเคยเป็นหอบ เขาจะได้ไม่จ่ายยาลดน้ำมูกให้ เพราะยาลดน้ำมูกมันจะทำให้เสมหะในปอดแห้ง แล้ว มันจะอุดตันอยู่ในช่องว่างของปอด ก่อนออกจากบ้านควรให้ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะร่างกายของเด็กปรับสภาพได้ช้า ไม่เหมือนผู้ใหญ่ ควรใส่หมวก ถุงเท้า ถุงมือ เวลาอากาศเย็นเพื่อปกป้องปลายประสาทของเด็ก งดการเล่นกับสัตว์ที่มีขนฟุ้งกระจาย เช่นหมาและแมว เป็นต้น เอาล่ะครับ ผมถือว่าตัวผมโชคดีมาก ที่ได้ลูกกลับคืนมา และสิ่งที่ผมอยากจะฝากทิ้งท้ายไว้ก็คือ เรื่องโรคนี่แหละครับ อย่าคิดว่าเด็กจะหายเหมือนกับเรา เพราะเชื้อโรคสมัยนี้ อากาศทุกวันนี้ มันมีสิ่งกระตุ้นมากมาย ถ้าลูกหลานเป็นอะไรโรงพยาบาลเลยครับ อย่านิ่งนอนใจ ผมคิดว่าเรื่องของลูกสาวผมคงจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ ผมขอกราบขอบพระคุณ คุณหมอและพยาบาลทุกท่าน รวมถึงเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ขอบคุณ พ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อนๆ พี่น้อง ที่คอยให้กำลังใจผมตลอดมา ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่