ถ้าความดีเปรียบเหมือนความส่วาง และ ความบาปเปรียบเหมือนความมืด เราจะพบสัจจะหรือความจริงได้ว่าในความสว่างนั้นไม่มีความมืด
และจะมีไม่ได้เลย แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม ที่ใดที่มีความสว่างก็ปราศจากความมืด และมีแต่ความสว่างเท่านั้นที่จะอยู่ท่ามกลางความส่วางได้
ถ้าในโลกความจริงยังเป็นเช่นนี้ แล้วในสวรรค์ที่เต็มไปด้วยแสงแห่งความสว่าง ความบาปและความมืดจะอยู่ที่นั่นได้อย่างไรเล่า อย่าให้ใครหลอกท่าน
ทั้งหลายในเรื่องนี้เลย เพราะความมืดแม้เพียงเล็กน้อยจะอยู่ท่ามกลางความสว่างไม่ได้ฉันใด คนบาปแม้จะมีบาปเพียงเล็กน้อยก็จะเข้าไปหรืออยู่ในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้ฉันนั้น
ถ้าอย่างนั้นใครจะไปสวรรค์ได้เล่า เพราะว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นคนบาปด้วยกันทั้งนั้น และจะไม่สามารถเข้าสู่ความสว่างได้ตราบที่เรายังเป็นความมืดอยู่
นอกเสียจากว่าเราจะกลับกลายเป็นความสว่างเสียก่อน
ในอีกมุมมองหนึ่ง พระคัมภีร์ให้ภาพที่ชัดเจนแก่เราว่าเมื่อเราทำบาปนั้น เราได้ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า และเราได้ทำบาปต่อพระองค์ เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นเราสามารถมองได้ว่าการทำบาป เปรียบเหมือนการเป็นหนึ้ เราทราบกันดีอยู่ว่าเมื่อเราเป็นหนึ้ เราก็ต้องใช้หนี้ มิฉะนั้นหนี้ก็จะติดตัวเราไปจนกว่าจะตาย แต่ความบาปต่างออกไป เพราะวิญญาณเราเป็นอมตะ ดังนั้นแล้วความบาปก็จะติดตามเราไปชั่วนิรันดร์ด้วย เหมือนเรื่องเปรียบเทียบจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ว่า ...
... กษัตริย์องค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับผู้รับใช้ของท่าน เมื่อตั้งต้นทำการนั้น เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์มาเฝ้า เจ้านายของเขาจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งภรรยาและลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ ผู้รับใช้ลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงนมัสการท่านว่า `ข้าแต่ท่าน ขอโปรดอดทนต่อข้าพเจ้าเถิด แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น' เจ้านายของผู้รับใช้ผู้นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป แต่ผู้รับใช้ผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นบีบคอว่า `จงใช้หนี้ให้ข้า' เพื่อนผู้รับใช้ผู้นั้นได้กราบลงแทบเท้าอ้อนวอนว่า `ขอโปรดอดทนต่อข้าพเจ้าเถิด แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น' แต่เขาไม่ยอม จึงนำผู้รับใช้ลูกหนี้นั้นไปขังคุกไว้ จนกว่าจะใช้เงินนั้น
คำถามก็คือว่า "เมื่อผู้รับใช้ลูกหนี้มาขอให้กษัตริย์ยกหนี้ให้นั้น แล้วกษัตริย์มีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป" ราคาของหนี้ที่ต้องชดใช้นั้น ใครเป็นผู้แบกรับไว้ ?
เมื่อกษัตริย์โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไปแล้ว ผู้รับใช้ลูกหนี้ก็ไม่ต้องใช้หนี้นี้อีกต่อไป แต่หนึ้นั้นมันไม่ได้หายไปเปล่าๆ ... หนี้ของผู้รับใช้ลูกหนี้ที่ได้รับการยกหนี้ให้นั้น บัดนี้ตกเป็นหนี้ ความสูญเสีย และความรับผิดชอบของกษัตริย์ ... นี้เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เพราะเรามักจะมองแบบมนุษย์ ไม่ได้มองแบบพระเจ้า แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลพยายามอธิบายสิ่งนี้ให้เราเข้าใจมาแล้วหลายพันปีแล้วว่า หนี้ที่เจ้าหนี้ยกให้ลูกหนี้ เจ้าหนี้ต้องเป็นผู้แบกรับหนี้ไว้ฉันใด ความบาปทุกอย่างที่พระเจ้าทรงอภัยบาปให้เรา พระองค์ก็ทรงเป็นผู้รับบาปไว้ และชดใช้โทษแห่งความบาป คือความตายให้เราฉันนั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่พระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์คือพระเยซูคริสต์ เพราะว่าทหารโรมันคงทรมาน และตรึงพระเจ้าบนกางเขนไม่ได้ แต่พวกเขาทำแบบนั้นกับพระเยซูได้ และเมื่อพระเยซูรับความบาปผิดแทนเราไปแล้ว เราก็ไม่มีความบาปผิดอีกต่อไป
แต่มีหลายคนที่ไม่เชื่อถึงพระเยซู ว่าเป็นพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชดให้หนี้บาปแทนเรา พวกเขาเหมือนคนที่เชื่อว่า ลูกหนี้สามารถไปขอยกหนี้ต่อเจ้าหนี้แล้ว เมื่อเจ้าหนี้พูดว่ายกหนี้ให้ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น หนี้ทั้งหลายจะหายไปได้เองอย่างอัศจรรย์ โดยที่เจ้าหนี้ไม่ต้องสูญเสีย ชดใช้ หรือทำอะไรเลย
แม้แต่นิดเดียว แต่ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าเจ้าหนี้ไม่รับความสูญเสียและหนี้นั้นไว้เองแล้ว รวมถึงการที่ต้องชดใช้หนี้นั้นแล้ว หนี้และความสูญเสียนั้นก็ยังคงตกอยู่กับลูกหนี้ และลูกหนี้คนนั้นต้องชดใช้หนี้ดังกล่าวด้วยตัวของเขาเอง
บาป และ การอภัยบาป
และจะมีไม่ได้เลย แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม ที่ใดที่มีความสว่างก็ปราศจากความมืด และมีแต่ความสว่างเท่านั้นที่จะอยู่ท่ามกลางความส่วางได้
ถ้าในโลกความจริงยังเป็นเช่นนี้ แล้วในสวรรค์ที่เต็มไปด้วยแสงแห่งความสว่าง ความบาปและความมืดจะอยู่ที่นั่นได้อย่างไรเล่า อย่าให้ใครหลอกท่าน
ทั้งหลายในเรื่องนี้เลย เพราะความมืดแม้เพียงเล็กน้อยจะอยู่ท่ามกลางความสว่างไม่ได้ฉันใด คนบาปแม้จะมีบาปเพียงเล็กน้อยก็จะเข้าไปหรืออยู่ในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้ฉันนั้น
ถ้าอย่างนั้นใครจะไปสวรรค์ได้เล่า เพราะว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นคนบาปด้วยกันทั้งนั้น และจะไม่สามารถเข้าสู่ความสว่างได้ตราบที่เรายังเป็นความมืดอยู่
นอกเสียจากว่าเราจะกลับกลายเป็นความสว่างเสียก่อน
ในอีกมุมมองหนึ่ง พระคัมภีร์ให้ภาพที่ชัดเจนแก่เราว่าเมื่อเราทำบาปนั้น เราได้ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า และเราได้ทำบาปต่อพระองค์ เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นเราสามารถมองได้ว่าการทำบาป เปรียบเหมือนการเป็นหนึ้ เราทราบกันดีอยู่ว่าเมื่อเราเป็นหนึ้ เราก็ต้องใช้หนี้ มิฉะนั้นหนี้ก็จะติดตัวเราไปจนกว่าจะตาย แต่ความบาปต่างออกไป เพราะวิญญาณเราเป็นอมตะ ดังนั้นแล้วความบาปก็จะติดตามเราไปชั่วนิรันดร์ด้วย เหมือนเรื่องเปรียบเทียบจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ว่า ...
... กษัตริย์องค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับผู้รับใช้ของท่าน เมื่อตั้งต้นทำการนั้น เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์มาเฝ้า เจ้านายของเขาจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งภรรยาและลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ ผู้รับใช้ลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงนมัสการท่านว่า `ข้าแต่ท่าน ขอโปรดอดทนต่อข้าพเจ้าเถิด แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น' เจ้านายของผู้รับใช้ผู้นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป แต่ผู้รับใช้ผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นบีบคอว่า `จงใช้หนี้ให้ข้า' เพื่อนผู้รับใช้ผู้นั้นได้กราบลงแทบเท้าอ้อนวอนว่า `ขอโปรดอดทนต่อข้าพเจ้าเถิด แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น' แต่เขาไม่ยอม จึงนำผู้รับใช้ลูกหนี้นั้นไปขังคุกไว้ จนกว่าจะใช้เงินนั้น
คำถามก็คือว่า "เมื่อผู้รับใช้ลูกหนี้มาขอให้กษัตริย์ยกหนี้ให้นั้น แล้วกษัตริย์มีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป" ราคาของหนี้ที่ต้องชดใช้นั้น ใครเป็นผู้แบกรับไว้ ?
เมื่อกษัตริย์โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไปแล้ว ผู้รับใช้ลูกหนี้ก็ไม่ต้องใช้หนี้นี้อีกต่อไป แต่หนึ้นั้นมันไม่ได้หายไปเปล่าๆ ... หนี้ของผู้รับใช้ลูกหนี้ที่ได้รับการยกหนี้ให้นั้น บัดนี้ตกเป็นหนี้ ความสูญเสีย และความรับผิดชอบของกษัตริย์ ... นี้เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เพราะเรามักจะมองแบบมนุษย์ ไม่ได้มองแบบพระเจ้า แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลพยายามอธิบายสิ่งนี้ให้เราเข้าใจมาแล้วหลายพันปีแล้วว่า หนี้ที่เจ้าหนี้ยกให้ลูกหนี้ เจ้าหนี้ต้องเป็นผู้แบกรับหนี้ไว้ฉันใด ความบาปทุกอย่างที่พระเจ้าทรงอภัยบาปให้เรา พระองค์ก็ทรงเป็นผู้รับบาปไว้ และชดใช้โทษแห่งความบาป คือความตายให้เราฉันนั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่พระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์คือพระเยซูคริสต์ เพราะว่าทหารโรมันคงทรมาน และตรึงพระเจ้าบนกางเขนไม่ได้ แต่พวกเขาทำแบบนั้นกับพระเยซูได้ และเมื่อพระเยซูรับความบาปผิดแทนเราไปแล้ว เราก็ไม่มีความบาปผิดอีกต่อไป
แต่มีหลายคนที่ไม่เชื่อถึงพระเยซู ว่าเป็นพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชดให้หนี้บาปแทนเรา พวกเขาเหมือนคนที่เชื่อว่า ลูกหนี้สามารถไปขอยกหนี้ต่อเจ้าหนี้แล้ว เมื่อเจ้าหนี้พูดว่ายกหนี้ให้ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น หนี้ทั้งหลายจะหายไปได้เองอย่างอัศจรรย์ โดยที่เจ้าหนี้ไม่ต้องสูญเสีย ชดใช้ หรือทำอะไรเลย
แม้แต่นิดเดียว แต่ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าเจ้าหนี้ไม่รับความสูญเสียและหนี้นั้นไว้เองแล้ว รวมถึงการที่ต้องชดใช้หนี้นั้นแล้ว หนี้และความสูญเสียนั้นก็ยังคงตกอยู่กับลูกหนี้ และลูกหนี้คนนั้นต้องชดใช้หนี้ดังกล่าวด้วยตัวของเขาเอง