กระทรวงพลังงานเตรียมปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี ครัวเรือนขึ้นอีก 5 บาท 22 สตางค์ต่อกิโลกรัม ขนส่งขึ้นอีก 5บาท 85 สตางค์/กิโลกรัม โดยใช้วิธีทยอยปรับภายใน 1 ปี และยังมีแผนจะยกเลิกจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ด้วย
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ กระทรวงจะนำเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างราคาแก๊สแอลพีจีในกรอบใหญ่ ต่อนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ความเห็นชอบ ในการปรับราคาแก๊สแอลพีจีให้สะท้อนต้นทุนการจัดหาที่ 27.85 บาทต่อกิโลกรัม โดยแอลพีจีขนส่งปัจจุบันอยู่ที่ 22 บาทต่อ กิโลกรัม จะต้องปรับขึ้น 5.85 บาทต่อ กิโลกรัม และแอลพีจีภาคครัวเรือน ปัจจุบันอยู่ที่ 22.63 บาทต่อ กิโลกรัม จะต้องปรับขึ้นอีก 5.22 บาทต่อ กิโลกรัม. โดยจะทยอยปรับขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อ กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 12 เดือน
อย่างไรก็ตาม มาตรการช่วยเหลือที่มีอยู่ยังดำเนินการเหมือนเดิม คือ ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รัฐกำหนดให้ใช้ราคาเดิม ในปริมาณไม่เกิน 15 กิโลกรัม.ต่อ 3 เดือน และร้านค้าหาบเร่ แผงลอยอาหารไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งทั้งหมดมีประมาณ 7 ล้าน 7 แสนครัวเรือน ขณะที่แท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีจะส่งเสริมให้ปรับมาใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวีแทน
สำหรับผลกระทบต่อราคาอาหารนั้น จากการคำนวนแล้วพบว่าการปรับขึ้นแอลพีจีครัวเรือน 1 บาทต่อกิโลกรัมหรือ 15 บาทต่อถังขนาด 15 กก. จะส่งผลให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 5 สตางค์ต่อจาน และหากปรับขึ้นให้สะท้อนต้นทุนอีก 5.22 บาทต่อ กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 78.30 บาทต่อถัง จะทำให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 30 สตางค์ต่อจานเท่านั้น ส่วนแอลพีจีขนส่งที่สะท้อนต้นทุนการจัดหาอยู่ที่ประมาณ 27.85 บาทต่อ กิโลกรัม หรือประมาณ 16 บาทต่อลิตร ซึ่งคิดเป็นค่าเชื้อเพลิงของรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1บาท 44 สตางค์ต่อ กิโลเมตร เมื่อเทียบกับผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แล้ว ก็ ถูกกว่ามาก
ขณะเดียวกันทางด้าน นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ตอนนี้สนพ.อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน เกี่ยวกับการจะยกเลิกการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งหากมีการยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 จะส่งผลให้การพัฒนาพลังงานทดแทนทำได้มากขึ้น เนื่องจากจะทำให้หัวจ่ายน้ำมันในสถานีบริการว่าง และสามารถจำหน่ายน้ำมัน อี85 ซึ่งปัจจุบันมีหัวจ่ายน้อยได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ก็พร้อมสนับสนุนการใช้น้ำมันดีเซล บี10 ที่มีมาตรฐานสูง โดยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ให้ผลิตรถยนต์ที่สามารถรองรับน้ำมันชนิดนี้ได้ ซึ่งตามแผนเดิมประเทศไทยจะมีการใช้น้ำมัน บี10 ในปี 2564.
http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1412810554
เตรียมอ่วมอีก!พลังงาน จ่อขึ้น LPG"บ้าน-รถ"อีกกก.ละ 6 บาท ทยอยปรับใน1ปี -เล็งเลิก"โซฮอล์91"
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ กระทรวงจะนำเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างราคาแก๊สแอลพีจีในกรอบใหญ่ ต่อนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ความเห็นชอบ ในการปรับราคาแก๊สแอลพีจีให้สะท้อนต้นทุนการจัดหาที่ 27.85 บาทต่อกิโลกรัม โดยแอลพีจีขนส่งปัจจุบันอยู่ที่ 22 บาทต่อ กิโลกรัม จะต้องปรับขึ้น 5.85 บาทต่อ กิโลกรัม และแอลพีจีภาคครัวเรือน ปัจจุบันอยู่ที่ 22.63 บาทต่อ กิโลกรัม จะต้องปรับขึ้นอีก 5.22 บาทต่อ กิโลกรัม. โดยจะทยอยปรับขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อ กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 12 เดือน
อย่างไรก็ตาม มาตรการช่วยเหลือที่มีอยู่ยังดำเนินการเหมือนเดิม คือ ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รัฐกำหนดให้ใช้ราคาเดิม ในปริมาณไม่เกิน 15 กิโลกรัม.ต่อ 3 เดือน และร้านค้าหาบเร่ แผงลอยอาหารไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งทั้งหมดมีประมาณ 7 ล้าน 7 แสนครัวเรือน ขณะที่แท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีจะส่งเสริมให้ปรับมาใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวีแทน
สำหรับผลกระทบต่อราคาอาหารนั้น จากการคำนวนแล้วพบว่าการปรับขึ้นแอลพีจีครัวเรือน 1 บาทต่อกิโลกรัมหรือ 15 บาทต่อถังขนาด 15 กก. จะส่งผลให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 5 สตางค์ต่อจาน และหากปรับขึ้นให้สะท้อนต้นทุนอีก 5.22 บาทต่อ กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 78.30 บาทต่อถัง จะทำให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 30 สตางค์ต่อจานเท่านั้น ส่วนแอลพีจีขนส่งที่สะท้อนต้นทุนการจัดหาอยู่ที่ประมาณ 27.85 บาทต่อ กิโลกรัม หรือประมาณ 16 บาทต่อลิตร ซึ่งคิดเป็นค่าเชื้อเพลิงของรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1บาท 44 สตางค์ต่อ กิโลเมตร เมื่อเทียบกับผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แล้ว ก็ ถูกกว่ามาก
ขณะเดียวกันทางด้าน นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ตอนนี้สนพ.อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน เกี่ยวกับการจะยกเลิกการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งหากมีการยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 จะส่งผลให้การพัฒนาพลังงานทดแทนทำได้มากขึ้น เนื่องจากจะทำให้หัวจ่ายน้ำมันในสถานีบริการว่าง และสามารถจำหน่ายน้ำมัน อี85 ซึ่งปัจจุบันมีหัวจ่ายน้อยได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ก็พร้อมสนับสนุนการใช้น้ำมันดีเซล บี10 ที่มีมาตรฐานสูง โดยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ให้ผลิตรถยนต์ที่สามารถรองรับน้ำมันชนิดนี้ได้ ซึ่งตามแผนเดิมประเทศไทยจะมีการใช้น้ำมัน บี10 ในปี 2564.
http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1412810554