สวัสดีค่ะ ครั้งนี้เป็นกระทู้แรกที่เขียนรีวิวแบบจริงๆจังๆ ยังไงก็ขอฝากด้วยนะคะ
เริ่มเลยละกัน ^^
เมื่อกลางเดือนกันยาที่ผ่านมาดิฉันได้มีโอกาสเดินทางไปโตเกียวมาค่ะ ตั๋วเครื่องบินครั้งนี้เป็นตั๋วโปรโมชั่นบินตรงดอนเมือง-นาริตะ จาก Thai AirAsia X สนนราคาที่ซื้อมาอยู่ที่ 6,833 บาทจ่ายผ่านทางเคาท์เตอร์เซอร์วิสค่ะ ตอนแรกเราซื้อแบบไม่เอาอะไรเลย แล้วมาซื้อน้ำหนักกระเป๋ากับอาหารขากลับก่อนบินแค่ 5 วันค่ะ ราคารวมของตั๋วเครื่องบินของเราจึงรวมทั้งหมดอยู่ที่ 7,763 บาท ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เราคิดว่าหลังจากนี้จะมีโปรของ NokScoot ที่จะออกมาช่วงพ.ย. ลองติดตามกันดูนะคะ ^^
เราออกเดินทางจากไทยเวลา 01.00 น. วันพุธที่ 10 กันยาค่ะ เราเลยมาแสตนด์บายรอตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มของ วันที่ 9
เรารู้สึกเลยว่า เนี่ยนะรูทนี้ไม่ได้มีแต่คนไทยที่ตื่นเต้นไปรอกันเท่านั้นนะ คนญี่ปุ่นก็มีเพียบเลย รู้สึกเหมือนอยู่กลางดงคนญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ดอนเมืองเลยหรอเนี่ย!?
เคาท์เตอร์เช็คอิน เปิดตั้งแต่ 4 ทุ่ม หรือ 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกค่ะ คนต่อแถวยาวเลย แต่คนที่ทำเว็บเช็คอินมาแล้วและมีหมายเลขที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะเรียกไปเช็คอินอีกอีกช่องค่ะ สะดวกสบายเร็วปรู๊ดปร๊าดเหมือนเช็คอินเคาท์เตอร์ Business Class เลยค่า
หน้าตาของ Boarding Pass ฝั่งไทยนะจ๊ะ ประหยัดเลิศ
ขออนุญาตบรรยายตรงนี้เป็นการเขียนนิดนึงก่อนขึ้นเครื่องนะคะ เพราะเราไม่มีรูป TT
ดิฉันไม่เรื่องมาก ไม่เลือกที่นั่ง ไม่เอาอาหารเพราะตรูจะนอน ไม่โหลดกระเป๋า เพราะใบแค่ 18 นิ้วใบเดียว+เป้สะพายหลัง+กระเป๋ากล้อง > < วันนั้นเป็นผู้หญิงพะรุงพะรังระดับ 1 เลยล่ะค่ะ
(ที่เคาท์เตอร์ให้เราช่างน้ำหนักกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องด้วยค่ะ เพราะว่าเผื่อหน้าเกทจะเรียกให้ชั่ง แล้วปรากฏว่าน้ำหนักเกินมาเป็น 7.5 ก.ก. จาก 7 ก.ก. ที่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่อง จนท.แนะนำให้เราเอาของที่สามารถถือได้ออกจากกระเป๋าแล้วถือขึ้นเครื่องหรือใส่ไว้ในเป้แทนค่ะ ณ จุดนั้นเราจึงกลายเป็นผู้หญิงพะรุงพะรังระดับ 2 โดยปริยายเพราะเอาเสื้อกันหนาว(ทั้งๆที่ช่วงนั้นไม่ค่อยหนาว)ออกมาผูกไว้ที่เอวค่ะ > <)
เอาล่ะค่ะ พูดไปพูดมาตอนนี้เรามาถึงเกท 15 แล้วค่ะ ^^
ตรงนี้เราต้องเดินเข้าไปด้านในประตูนะคะ แต่ต้องรอเกทเปิดก่อน ณ จุดจุดนี้ พอเกทเปิดแล้วเราก็จะมาตรวจ boarding pass และเข้ามาภายในเกทค่ะ
เข้าเกทมาแล้วค่ะ
หลังจากนั้นไม่นานใกล้ตี 1 อู้ว แม่เจ้า คนมาเพียบเลยค่ะ เต็มเกทเลยค่ะ ทั้งไทยทั้งญี่ปุ่น อิฉันจะเป็นลม ผู้ชายญี่ปุ่นหล่อมานั่งข้างๆ แค่ในเกทก็ยังดี แต่ถ้าบุญวาสนาเรามีต่อกัน เราคงได้นั่งข้างกันบนเครื่องนะโกโบริ..
เบรกเรื่องผู้ชายและกลับมาสู่รีวิวต่อค่ะ
ที่นี่จะขึ้นเครื่องโดยการเทียบงวงค่ะ (ไม่รู้ใช้ศัพท์ถูกหรือเปล่านะคะ^^) เดินเข้าไปเลยสบายปรื๋อ พอมาถึงเครื่องก็จะเจอคุณแอร์ฯและคุณสจ๊วตยืนต้อนรับอยู่บนเครื่องและบอกทางไปยังที่นั่งค่ะ
บนเครื่องจะพูดทั้งหมด 3 ภาษาคือ ไทย อังกฤษ และญี่ปุ่นค่ะ
รู้สึกว่าจะมีแถวที่นั่งจนถึงหมายเลข 50 เพราะฉะนั้น ที่นั่งของเราก็จะอยู่เกือบท้ายเครื่องเลยค่ะ จะบอกว่า ที่นั่งด้านหน้าจนถึงแถวเราจะเป็นแบบ 3-3-3 แต่ตั้งแต่หมายเลข 44 ลงไปจะเป็นแบบ 2-3-2 ค่ะ ดิฉันจึงสามารถปรับเอนเบาะหลังจากเครื่องปรับระดับได้แล้วโดยไม่ต้องหันไปเซย์เฮลโลวกับใครค่ะ
บนเครื่องก็จะมีคู่หนุ่มสาวญี่ปุ่นนั่งข้างๆอิฉันค่ะ สองนางก็กระหนุงกระหนิงกันตั้งแต่เครื่องออก แท็กซี่ ยันเทคออฟ นางก็ยังกระหนุงกระหนิงกันอยู่ พักนึงหลังจากเครื่องขึ้นมาได้สักพักพวกนางเริ่มทะเลาะกันแล้วค่ะ จนนางเลิกคุยกัน... อืม ดี หนวกหู ตูจะนอน TT
หลังจากนั้นคุณแอร์ฯก็จะมาแจกใบตม.กับใบดีแคลร์ให้ค่ะ อิฉันก็ถ่างตาตื่นไว้ กลัวคุณแอร์มาแล้วนึกว่าเป็นคนญี่ปุ่น เดี๋ยวให้ผิดใบ (ถถถถถถ) เพราะคนญี่ปุ่นจะได้คนละแบบกับเราค่ะ
ย้อนกลับไปนิดนึง (มัวแต่เม้าท์ ขอประทานอภัย) ความกว้างของที่นั่งค่ะ
สำหรับคนไม่สูงมากอยากดิฉัน (ประมาณ 154 cm T_T) ถือว่าโอเค หยวนๆได้ แต่ก็อยากนั่งสบายกว่านี้อะ เพราะขาอิฉันใหญ่ จะยกขา จะขยับตัวก็ลำบาก แถมต้องนั่งอย่างนั้นตลอดด้วย ฮรืออออออออ
หลังจากผ่านไป 6 ชั่วโมง 15 นาที ก็ยินดีต้อนรับสู่สนามบินนานาชาติโตเกียวนาริตะค่า ^^
อยู่ดอนเมืองเราไปอย่างราชา.... ผ่านไปไม่กี่เพลา เราต้องมานั่งบัสที่นาริตะค่า
พอมาถึงแล้วเราต้องนั่งบัสเพื่อไปที่เกทค่ะ (อยู่ในตม.ไม่ต้องกลัวหลง ตามคนในไฟลท์ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ได้ออกค่ะ แต่ดูด้วยนะคะว่าคนที่ตามเป็นคนไทย คนญี่ปุ่น หรือฝรั่ง เพราะเวลาตรวจพาสปอร์ตจะแยกเลนกันค่ะ)
ถ้าให้แนะนำเรื่องตม. เราไม่รู้จะแนะนำยังไงเลยค่ะ เขาจะถามเราแค่ว่ามากับใคร หรือมาคนเดียวแค่นั้นเองค่ะ ตอนเราไปครั้งแรกเราเตรียมเอกสารไปเยอะมากทั้งใบรับรองการเป็นนักศึกษา ตั๋วรถบัส บลาๆๆ สุดท้ายไม่ดูเลย รอบนี้ก็เช่นกันค่ะ ไม่ดูอะไรเลย แต่อย่าประมาทน่าจะดีกว่า เพราะรอบนี้เราเตรียมแผนที่มาด้วย แต่ใส่ไว้ในกระเป๋าใหญ่ และเตรียม Itinerary ของสายการบิน ใบจองโรงแรม และแผนการเดินทางของเราไว้ในกระเป๋าเป้ค่ะ แตก็ไม่ดูนั่นแหละเนอะ ^^
หลังจากผ่านตม. เราก็จะเจอป้ายนี้ค่ะ
ยังค่ะ มันยังไม่จบค่ะ
เราจะมาเจอศุลกากรค่ะ คราวที่แล้วเรามาเจอเป็นผู้หญิงน่ารักเชียว ขอเปิดกระเป๋าเราค่า T/////T ขวัญเสียเลยค่ะตอนนั้น แต่มาคราวนี้ไม่เปิดค่ะ ปล่อยผ่านง่ายมาก งงเลยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็จะมาสู่โซน Arrival กันแล้วค่ะ
หลังจากนี้เราจะมาตามหาตั๋ว Tokyo Subway Ticket กันค่ะ
เราต้องไปหาตั๋วนี้ที่ Keisei Bus Tickets Counter แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปเคาท์เตอร์มา TT เราถ่ายมาแต่ประตูที่อยู่ข้างๆ เคาท์เตอร์มา
เคาท์เตอร์จะอยู่ข้างๆทางออกรถบัสกับแท็กซี่นะคะ เราไม่แน่ใจว่าเขาดูพาสปอร์ตหรือเปล่า เพราะตอนที่เราซื้อเรามั่วแต่นับเศษเหรียญที่เหลือมาคราวที่แล้วให้ครบราคาและวางพาสปอร์ตไว้บนเคาท์เตอร์ค่ะ
บอกก่อนว่าต้องซื้อที่เคาท์เตอร์ keisei bus เท่านั้นนะคะ ถ้าลงไปซื้อที่เคาท์เตอร์รถไฟจะถูกไล่ตะเพิดให้มาซื้อที่นี่อย่างอิฉัน
หลังจากที่ซื้อเสร็จแล้วเราก็มาที่ชั้นใต้ดินเพื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองค่ะ
อันที่จริงแล้วเราสามารถเข้าเมืองด้วยบัสราคาถูกได้ค่ะ ซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์บัสเมื่อสักครู่นี้ได้เลย ราคา 1000 เยน ขึ้นทางด่วนไปส่งเราที่สถานีโตเกียวเลยค่ะ
แต่เรามีจุดประสงค์แฝงที่ขึ้นรถไฟค่ะ
ครั้งนี้ดิฉันใช้บริการของ Keisei Ltd. Express ค่ะ (จริงๆก็ทุกครั้ง) ราคาตั๋วเข้าเมืองแค่ 1,030 เยน (ถ้าใช้ IC CARD จะเหลือแค่ 1,025 เยนค่ะ ซึ่งดิฉันเก็บไว้ตั้งแต่มาคราวก่อน คราวนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ค่ะ เงินในบัตรเหลือเท่าเดิมที่เหลือไว้เลยค่ะ) เราต้องแตะ(เสียบสำหรับตั๋วเที่ยวเดียวที่ซื้อจากเคาท์เตอร์หรือตู้ขายค่ะ)บัตรไปสองรอบค่ะ รอบแรกคือประตูของ keisei อีกรอบคือประตูของรถที่เราจะขึ้น ประตูแรกคือของ Skyliner ราคาประมาณ 2,4xx เยน ซึ่งแพงไปนิดสำหรับนักศึกษาอย่างเรา เพราะฉะนั้นเราจึงไป Ltd. Express อย่างที่บอกค่ะ
และแล้วตอนนี้เราก็มายืนรออยู่ที่ชานชาลาเพื่อรอขึ้นรถไฟค่ะ
นี่คือหนึ่งในเป้าหมายซึ่งอิฉันยอมขึ้นรถไฟเพื่อสิ่งนี้ค่ะ จริงๆบนบัสก็อาจจะมีค่ะ แต่ไม่หลากหลายและเป็นของแท้เท่าบนรถไฟค่ะ (จริงๆสองคนนี้ก็ไม่ใช่คนญี่ปุ่นค่ะ > <)
ที่นี่เรื่องเวลาจะเป๊ะมากค่ะ จะบอกเสมอแทบทุกสถานีเลยว่ารถไฟจะมาเมื่อไหร่
(รถไฟสายนี้จะมาทุก 30 นาทีและใช้เวลาประมาณ 80 นาทีถึงสถานีนิปโปริค่ะ)
ตรงนี้จะเป็นเลขตู้ของรถไฟค่ะ จอดทีไรประตูตรงป้ายนี้เป๊ะตลอดเลย > <
รถไฟมาแล้ววววว
แต่ไม่ใช่ที่เราจะขึ้นค่ะ T_T
รถขบวนนี้เป็นของ Skyliner ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 36 นาทีในการนำคุณสู่สถานีนิปโปริค่ะ (ราคาและเวลามันต่างกันจริงๆนะ)
ที่เราจะขึ้นคือขบวนนี้ค่ะ หน้าตาต่างกันมาก = =;
และตอนนี้เราก็มาอยู่บนรถเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^
นี่คือเหตุผลหนึ่งซึ่งเราเลือกที่จะนั่งรถไฟค่ะ สองข้างทางของทางรถไฟหลังจากออกมาจากสถานีสนามบินนาริตะจะเป็นแบบนี้ค่ะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นซึ่งแม้ว่าจะมีสนามบินมาอยู่ใกล้เพียงไร ความสะดวกสบายจะเข้ามาขนาดไหน แต่ธรรมชาติก็ยังคงอยู่กับวิถีชีวิตที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปของชาวญี่ปุ่นค่ะ
ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปสถานีนิปโปริ ขออนุญาตคั่นด้วยรีวิวฉบับย่อยของ Tokyo Subway Ticket 3 Days ที่ซื้อมาค่ะ
หน้าตาของซองใส่ตั๋วเป็นแบบนี้ค่ะ
ลูกศรชี้ไปไม่ใช่อะไรค่ะ ผู้ชายหล่อ อยากถ่ายหน้า แต่ไม่กล้า เดี๋ยวโดนต่อยค่ะ (เรายังรักษาความเป็นส่วนตัวของชาวญี่ปุ่นบ้างนะคะ ฮี่ๆ แต่กับผู้ชายเราไม่ค่อยค่ะ ใช้สายตาทะลุทะลวงตลอดเวลา)
ด้านหลังจะมีวันหมดอายุค่ะ
เปิดออกมา ท๊าด่านนนนน...
คู่มือการใช้ค่ะ
ใบนี้จะเสียบมากับตั๋วค่ะ บอกวิธีการคืนตั๋วหากไม่ได้ใช้งานค่ะ
ด้านหน้า
ด้านหลังค่ะ
ตรงช่องว่างๆจะพิมพ์วันที่หลังจากที่เราเสียบเข้ากับตู้เสียบตั๋วครั้งแรกค่ะ
และแล้ว..
ในที่สุดเราก็มาถึงนิปโปริค่ะ หลังจากนี้เราจะต้องไปต่อ Joban Line เพื่อไปสถานีมินามิเซ็นจูอันเป็นศูนย์รวมของโรงแรมราคาถูกค่ะ
ตอนนี้เรามาอยู่ชานชาลาที่จะไปมินามิเซ็นจูแล้ว ><
และแล้ว... มันก็มาถึงจุดพีคที่สุดในชีวิตอีกครั้ง....
หลงค่ะ มาถูกทางขนาดนี้แล้วยังหลงอีกค่ะ
จริงๆเรามาขึ้นถูกชานชาลาแล้วแต่ว่ารถไฟสายนี้จะมี 2 ประเภทที่ทำให้เราสับสนคือ Special Rapid และ Rapid ค่ะ ซึ่งเราดันไปขึ้น Special Rapid
และหลังจากเราขึ้นรถไปมาได้ 20 นาทีรถไฟก็มาจอดครั้งแรกที่สถานีนี้ค่ะ
พระเจ้า! นี่มันส่วนไหนของญี่ปุ่น T_____________T
ตามรูปเลยค่ะ นี่เรานั่งผิดหรอเนี่ย ไม่นะ TT
ความคิดแรกคือต้องนั่งรถย้อนกลับไป
เมื่อลงจากรถได้นั้น อิฉันจึงรีบกระโดดขึ้นรถไฟที่จอดตรงชานชาลาข้างๆทันที
และเมื่อรถไฟออกนั้น อิฉันจึงได้รู้ว่า...
รถไฟมันไปทางเดียวกัน !!
อะไรเนี่ย T__________T
อิฉันจึงนั่งต่อไปอีกสิบนาทีและมาลงสถานีนี้ค่ะ
[CR] รีวิว สายการบิน Thai AirAsia X ไฟลท์ กรุงเทพฯ-นาริตะ และการเข้าเมืองโดย Keisei Limited Expess
เริ่มเลยละกัน ^^
เมื่อกลางเดือนกันยาที่ผ่านมาดิฉันได้มีโอกาสเดินทางไปโตเกียวมาค่ะ ตั๋วเครื่องบินครั้งนี้เป็นตั๋วโปรโมชั่นบินตรงดอนเมือง-นาริตะ จาก Thai AirAsia X สนนราคาที่ซื้อมาอยู่ที่ 6,833 บาทจ่ายผ่านทางเคาท์เตอร์เซอร์วิสค่ะ ตอนแรกเราซื้อแบบไม่เอาอะไรเลย แล้วมาซื้อน้ำหนักกระเป๋ากับอาหารขากลับก่อนบินแค่ 5 วันค่ะ ราคารวมของตั๋วเครื่องบินของเราจึงรวมทั้งหมดอยู่ที่ 7,763 บาท ค่ะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราออกเดินทางจากไทยเวลา 01.00 น. วันพุธที่ 10 กันยาค่ะ เราเลยมาแสตนด์บายรอตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มของ วันที่ 9
เรารู้สึกเลยว่า เนี่ยนะรูทนี้ไม่ได้มีแต่คนไทยที่ตื่นเต้นไปรอกันเท่านั้นนะ คนญี่ปุ่นก็มีเพียบเลย รู้สึกเหมือนอยู่กลางดงคนญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ดอนเมืองเลยหรอเนี่ย!?
เคาท์เตอร์เช็คอิน เปิดตั้งแต่ 4 ทุ่ม หรือ 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกค่ะ คนต่อแถวยาวเลย แต่คนที่ทำเว็บเช็คอินมาแล้วและมีหมายเลขที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะเรียกไปเช็คอินอีกอีกช่องค่ะ สะดวกสบายเร็วปรู๊ดปร๊าดเหมือนเช็คอินเคาท์เตอร์ Business Class เลยค่า
หน้าตาของ Boarding Pass ฝั่งไทยนะจ๊ะ ประหยัดเลิศ
ขออนุญาตบรรยายตรงนี้เป็นการเขียนนิดนึงก่อนขึ้นเครื่องนะคะ เพราะเราไม่มีรูป TT
ดิฉันไม่เรื่องมาก ไม่เลือกที่นั่ง ไม่เอาอาหารเพราะตรูจะนอน ไม่โหลดกระเป๋า เพราะใบแค่ 18 นิ้วใบเดียว+เป้สะพายหลัง+กระเป๋ากล้อง > < วันนั้นเป็นผู้หญิงพะรุงพะรังระดับ 1 เลยล่ะค่ะ
(ที่เคาท์เตอร์ให้เราช่างน้ำหนักกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องด้วยค่ะ เพราะว่าเผื่อหน้าเกทจะเรียกให้ชั่ง แล้วปรากฏว่าน้ำหนักเกินมาเป็น 7.5 ก.ก. จาก 7 ก.ก. ที่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่อง จนท.แนะนำให้เราเอาของที่สามารถถือได้ออกจากกระเป๋าแล้วถือขึ้นเครื่องหรือใส่ไว้ในเป้แทนค่ะ ณ จุดนั้นเราจึงกลายเป็นผู้หญิงพะรุงพะรังระดับ 2 โดยปริยายเพราะเอาเสื้อกันหนาว(ทั้งๆที่ช่วงนั้นไม่ค่อยหนาว)ออกมาผูกไว้ที่เอวค่ะ > <)
เอาล่ะค่ะ พูดไปพูดมาตอนนี้เรามาถึงเกท 15 แล้วค่ะ ^^
ตรงนี้เราต้องเดินเข้าไปด้านในประตูนะคะ แต่ต้องรอเกทเปิดก่อน ณ จุดจุดนี้ พอเกทเปิดแล้วเราก็จะมาตรวจ boarding pass และเข้ามาภายในเกทค่ะ
เข้าเกทมาแล้วค่ะ
หลังจากนั้นไม่นานใกล้ตี 1 อู้ว แม่เจ้า คนมาเพียบเลยค่ะ เต็มเกทเลยค่ะ ทั้งไทยทั้งญี่ปุ่น อิฉันจะเป็นลม ผู้ชายญี่ปุ่นหล่อมานั่งข้างๆ แค่ในเกทก็ยังดี แต่ถ้าบุญวาสนาเรามีต่อกัน เราคงได้นั่งข้างกันบนเครื่องนะโกโบริ..
เบรกเรื่องผู้ชายและกลับมาสู่รีวิวต่อค่ะ
ที่นี่จะขึ้นเครื่องโดยการเทียบงวงค่ะ (ไม่รู้ใช้ศัพท์ถูกหรือเปล่านะคะ^^) เดินเข้าไปเลยสบายปรื๋อ พอมาถึงเครื่องก็จะเจอคุณแอร์ฯและคุณสจ๊วตยืนต้อนรับอยู่บนเครื่องและบอกทางไปยังที่นั่งค่ะ
บนเครื่องจะพูดทั้งหมด 3 ภาษาคือ ไทย อังกฤษ และญี่ปุ่นค่ะ
รู้สึกว่าจะมีแถวที่นั่งจนถึงหมายเลข 50 เพราะฉะนั้น ที่นั่งของเราก็จะอยู่เกือบท้ายเครื่องเลยค่ะ จะบอกว่า ที่นั่งด้านหน้าจนถึงแถวเราจะเป็นแบบ 3-3-3 แต่ตั้งแต่หมายเลข 44 ลงไปจะเป็นแบบ 2-3-2 ค่ะ ดิฉันจึงสามารถปรับเอนเบาะหลังจากเครื่องปรับระดับได้แล้วโดยไม่ต้องหันไปเซย์เฮลโลวกับใครค่ะ
บนเครื่องก็จะมีคู่หนุ่มสาวญี่ปุ่นนั่งข้างๆอิฉันค่ะ สองนางก็กระหนุงกระหนิงกันตั้งแต่เครื่องออก แท็กซี่ ยันเทคออฟ นางก็ยังกระหนุงกระหนิงกันอยู่ พักนึงหลังจากเครื่องขึ้นมาได้สักพักพวกนางเริ่มทะเลาะกันแล้วค่ะ จนนางเลิกคุยกัน... อืม ดี หนวกหู ตูจะนอน TT
หลังจากนั้นคุณแอร์ฯก็จะมาแจกใบตม.กับใบดีแคลร์ให้ค่ะ อิฉันก็ถ่างตาตื่นไว้ กลัวคุณแอร์มาแล้วนึกว่าเป็นคนญี่ปุ่น เดี๋ยวให้ผิดใบ (ถถถถถถ) เพราะคนญี่ปุ่นจะได้คนละแบบกับเราค่ะ
ย้อนกลับไปนิดนึง (มัวแต่เม้าท์ ขอประทานอภัย) ความกว้างของที่นั่งค่ะ
สำหรับคนไม่สูงมากอยากดิฉัน (ประมาณ 154 cm T_T) ถือว่าโอเค หยวนๆได้ แต่ก็อยากนั่งสบายกว่านี้อะ เพราะขาอิฉันใหญ่ จะยกขา จะขยับตัวก็ลำบาก แถมต้องนั่งอย่างนั้นตลอดด้วย ฮรืออออออออ
หลังจากผ่านไป 6 ชั่วโมง 15 นาที ก็ยินดีต้อนรับสู่สนามบินนานาชาติโตเกียวนาริตะค่า ^^
อยู่ดอนเมืองเราไปอย่างราชา.... ผ่านไปไม่กี่เพลา เราต้องมานั่งบัสที่นาริตะค่า
พอมาถึงแล้วเราต้องนั่งบัสเพื่อไปที่เกทค่ะ (อยู่ในตม.ไม่ต้องกลัวหลง ตามคนในไฟลท์ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ได้ออกค่ะ แต่ดูด้วยนะคะว่าคนที่ตามเป็นคนไทย คนญี่ปุ่น หรือฝรั่ง เพราะเวลาตรวจพาสปอร์ตจะแยกเลนกันค่ะ)
ถ้าให้แนะนำเรื่องตม. เราไม่รู้จะแนะนำยังไงเลยค่ะ เขาจะถามเราแค่ว่ามากับใคร หรือมาคนเดียวแค่นั้นเองค่ะ ตอนเราไปครั้งแรกเราเตรียมเอกสารไปเยอะมากทั้งใบรับรองการเป็นนักศึกษา ตั๋วรถบัส บลาๆๆ สุดท้ายไม่ดูเลย รอบนี้ก็เช่นกันค่ะ ไม่ดูอะไรเลย แต่อย่าประมาทน่าจะดีกว่า เพราะรอบนี้เราเตรียมแผนที่มาด้วย แต่ใส่ไว้ในกระเป๋าใหญ่ และเตรียม Itinerary ของสายการบิน ใบจองโรงแรม และแผนการเดินทางของเราไว้ในกระเป๋าเป้ค่ะ แตก็ไม่ดูนั่นแหละเนอะ ^^
หลังจากผ่านตม. เราก็จะเจอป้ายนี้ค่ะ
ยังค่ะ มันยังไม่จบค่ะ
เราจะมาเจอศุลกากรค่ะ คราวที่แล้วเรามาเจอเป็นผู้หญิงน่ารักเชียว ขอเปิดกระเป๋าเราค่า T/////T ขวัญเสียเลยค่ะตอนนั้น แต่มาคราวนี้ไม่เปิดค่ะ ปล่อยผ่านง่ายมาก งงเลยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็จะมาสู่โซน Arrival กันแล้วค่ะ
หลังจากนี้เราจะมาตามหาตั๋ว Tokyo Subway Ticket กันค่ะ
เราต้องไปหาตั๋วนี้ที่ Keisei Bus Tickets Counter แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปเคาท์เตอร์มา TT เราถ่ายมาแต่ประตูที่อยู่ข้างๆ เคาท์เตอร์มา
เคาท์เตอร์จะอยู่ข้างๆทางออกรถบัสกับแท็กซี่นะคะ เราไม่แน่ใจว่าเขาดูพาสปอร์ตหรือเปล่า เพราะตอนที่เราซื้อเรามั่วแต่นับเศษเหรียญที่เหลือมาคราวที่แล้วให้ครบราคาและวางพาสปอร์ตไว้บนเคาท์เตอร์ค่ะ
บอกก่อนว่าต้องซื้อที่เคาท์เตอร์ keisei bus เท่านั้นนะคะ ถ้าลงไปซื้อที่เคาท์เตอร์รถไฟจะถูกไล่ตะเพิดให้มาซื้อที่นี่อย่างอิฉัน
หลังจากที่ซื้อเสร็จแล้วเราก็มาที่ชั้นใต้ดินเพื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองค่ะ
อันที่จริงแล้วเราสามารถเข้าเมืองด้วยบัสราคาถูกได้ค่ะ ซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์บัสเมื่อสักครู่นี้ได้เลย ราคา 1000 เยน ขึ้นทางด่วนไปส่งเราที่สถานีโตเกียวเลยค่ะ
แต่เรามีจุดประสงค์แฝงที่ขึ้นรถไฟค่ะ
ครั้งนี้ดิฉันใช้บริการของ Keisei Ltd. Express ค่ะ (จริงๆก็ทุกครั้ง) ราคาตั๋วเข้าเมืองแค่ 1,030 เยน (ถ้าใช้ IC CARD จะเหลือแค่ 1,025 เยนค่ะ ซึ่งดิฉันเก็บไว้ตั้งแต่มาคราวก่อน คราวนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ค่ะ เงินในบัตรเหลือเท่าเดิมที่เหลือไว้เลยค่ะ) เราต้องแตะ(เสียบสำหรับตั๋วเที่ยวเดียวที่ซื้อจากเคาท์เตอร์หรือตู้ขายค่ะ)บัตรไปสองรอบค่ะ รอบแรกคือประตูของ keisei อีกรอบคือประตูของรถที่เราจะขึ้น ประตูแรกคือของ Skyliner ราคาประมาณ 2,4xx เยน ซึ่งแพงไปนิดสำหรับนักศึกษาอย่างเรา เพราะฉะนั้นเราจึงไป Ltd. Express อย่างที่บอกค่ะ
และแล้วตอนนี้เราก็มายืนรออยู่ที่ชานชาลาเพื่อรอขึ้นรถไฟค่ะ
นี่คือหนึ่งในเป้าหมายซึ่งอิฉันยอมขึ้นรถไฟเพื่อสิ่งนี้ค่ะ จริงๆบนบัสก็อาจจะมีค่ะ แต่ไม่หลากหลายและเป็นของแท้เท่าบนรถไฟค่ะ (จริงๆสองคนนี้ก็ไม่ใช่คนญี่ปุ่นค่ะ > <)
ที่นี่เรื่องเวลาจะเป๊ะมากค่ะ จะบอกเสมอแทบทุกสถานีเลยว่ารถไฟจะมาเมื่อไหร่
(รถไฟสายนี้จะมาทุก 30 นาทีและใช้เวลาประมาณ 80 นาทีถึงสถานีนิปโปริค่ะ)
ตรงนี้จะเป็นเลขตู้ของรถไฟค่ะ จอดทีไรประตูตรงป้ายนี้เป๊ะตลอดเลย > <
รถไฟมาแล้ววววว
แต่ไม่ใช่ที่เราจะขึ้นค่ะ T_T
รถขบวนนี้เป็นของ Skyliner ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 36 นาทีในการนำคุณสู่สถานีนิปโปริค่ะ (ราคาและเวลามันต่างกันจริงๆนะ)
ที่เราจะขึ้นคือขบวนนี้ค่ะ หน้าตาต่างกันมาก = =;
และตอนนี้เราก็มาอยู่บนรถเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^
นี่คือเหตุผลหนึ่งซึ่งเราเลือกที่จะนั่งรถไฟค่ะ สองข้างทางของทางรถไฟหลังจากออกมาจากสถานีสนามบินนาริตะจะเป็นแบบนี้ค่ะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นซึ่งแม้ว่าจะมีสนามบินมาอยู่ใกล้เพียงไร ความสะดวกสบายจะเข้ามาขนาดไหน แต่ธรรมชาติก็ยังคงอยู่กับวิถีชีวิตที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปของชาวญี่ปุ่นค่ะ
ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปสถานีนิปโปริ ขออนุญาตคั่นด้วยรีวิวฉบับย่อยของ Tokyo Subway Ticket 3 Days ที่ซื้อมาค่ะ
หน้าตาของซองใส่ตั๋วเป็นแบบนี้ค่ะ
ลูกศรชี้ไปไม่ใช่อะไรค่ะ ผู้ชายหล่อ อยากถ่ายหน้า แต่ไม่กล้า เดี๋ยวโดนต่อยค่ะ (เรายังรักษาความเป็นส่วนตัวของชาวญี่ปุ่นบ้างนะคะ ฮี่ๆ แต่กับผู้ชายเราไม่ค่อยค่ะ ใช้สายตาทะลุทะลวงตลอดเวลา)
ด้านหลังจะมีวันหมดอายุค่ะ
เปิดออกมา ท๊าด่านนนนน...
คู่มือการใช้ค่ะ
ใบนี้จะเสียบมากับตั๋วค่ะ บอกวิธีการคืนตั๋วหากไม่ได้ใช้งานค่ะ
ด้านหน้า
ด้านหลังค่ะ
ตรงช่องว่างๆจะพิมพ์วันที่หลังจากที่เราเสียบเข้ากับตู้เสียบตั๋วครั้งแรกค่ะ
และแล้ว..
ในที่สุดเราก็มาถึงนิปโปริค่ะ หลังจากนี้เราจะต้องไปต่อ Joban Line เพื่อไปสถานีมินามิเซ็นจูอันเป็นศูนย์รวมของโรงแรมราคาถูกค่ะ
ตอนนี้เรามาอยู่ชานชาลาที่จะไปมินามิเซ็นจูแล้ว ><
และแล้ว... มันก็มาถึงจุดพีคที่สุดในชีวิตอีกครั้ง....
หลงค่ะ มาถูกทางขนาดนี้แล้วยังหลงอีกค่ะ
จริงๆเรามาขึ้นถูกชานชาลาแล้วแต่ว่ารถไฟสายนี้จะมี 2 ประเภทที่ทำให้เราสับสนคือ Special Rapid และ Rapid ค่ะ ซึ่งเราดันไปขึ้น Special Rapid
และหลังจากเราขึ้นรถไปมาได้ 20 นาทีรถไฟก็มาจอดครั้งแรกที่สถานีนี้ค่ะ
พระเจ้า! นี่มันส่วนไหนของญี่ปุ่น T_____________T
ตามรูปเลยค่ะ นี่เรานั่งผิดหรอเนี่ย ไม่นะ TT
ความคิดแรกคือต้องนั่งรถย้อนกลับไป
เมื่อลงจากรถได้นั้น อิฉันจึงรีบกระโดดขึ้นรถไฟที่จอดตรงชานชาลาข้างๆทันที
และเมื่อรถไฟออกนั้น อิฉันจึงได้รู้ว่า...
รถไฟมันไปทางเดียวกัน !!
อะไรเนี่ย T__________T
อิฉันจึงนั่งต่อไปอีกสิบนาทีและมาลงสถานีนี้ค่ะ