คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
การมีกองทุนหุ้นหลายๆกองท้ายที่สุดคุณก็จะเสมือนถือหุ้นทั้งตลาด ประหนึ่งถือ SET Index
ผลตอบแทนก็จะไม่สูงกว่าตลาดหุ้น และจะต่ำกว่าด้วยซ้ำ เพราะค่าธรรมเนียมบริหารต่อปีจะซ้ำเติมลงไปอีก
มีกองทุนหุ้น 3-4 กองเวลาหุ้นตกก็ กองทุนก็เกือบจะตกทั้งหมดครับ ไม่เรียกกระจายความเสี่ยงอะไร
ถ้าจะเอาว่าจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงก็ควรแบ่งเงินเป็นสัดส่วนมากกว่า แล้วลงทุนตามนั้น
เช่น กองทุนหุ้นไทย 1 กอง , กองทุนตลาดเงิน 1 กอง กองทุนตราสารหนี้ 1กอง , กองทุนหุ้นตปท. 1 กอง
สี่กองทุนนี้ผมก็ว่าเยอะล่ะ พอได้มาก็จัดเงินเอาว่าจะลงทุนกองไหนกี่% แล้วใช้วินัยลงทุนระยะยาวไปเรื่อยๆ
น่าจะเป็นแผนที่โอเคกว่ามาก ไม่ต้องมานั่งกังวลด้วย ว่าหุ้นจะตกจะขึ้น เพราะสัดส่วนเงินถูกแบ่งเรียบร้อยแล้วครับ
ผลตอบแทนก็จะไม่สูงกว่าตลาดหุ้น และจะต่ำกว่าด้วยซ้ำ เพราะค่าธรรมเนียมบริหารต่อปีจะซ้ำเติมลงไปอีก
มีกองทุนหุ้น 3-4 กองเวลาหุ้นตกก็ กองทุนก็เกือบจะตกทั้งหมดครับ ไม่เรียกกระจายความเสี่ยงอะไร
ถ้าจะเอาว่าจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงก็ควรแบ่งเงินเป็นสัดส่วนมากกว่า แล้วลงทุนตามนั้น
เช่น กองทุนหุ้นไทย 1 กอง , กองทุนตลาดเงิน 1 กอง กองทุนตราสารหนี้ 1กอง , กองทุนหุ้นตปท. 1 กอง
สี่กองทุนนี้ผมก็ว่าเยอะล่ะ พอได้มาก็จัดเงินเอาว่าจะลงทุนกองไหนกี่% แล้วใช้วินัยลงทุนระยะยาวไปเรื่อยๆ
น่าจะเป็นแผนที่โอเคกว่ามาก ไม่ต้องมานั่งกังวลด้วย ว่าหุ้นจะตกจะขึ้น เพราะสัดส่วนเงินถูกแบ่งเรียบร้อยแล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำยังไง ซื้อไว้หลายกองทุนแต่เงินลงทุนต่อเดือนจำกัด
อายุ 40 เริ่มซื้อกองทุนมาไม่ถึงสองปีโดยแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากเงินเก็บมาซื้อ ตอนนี้เพิ่งเคลียร์หนี้สินหมด เลยจะมีเงินเย็นเริ่มต้นลงทุนเต็มที่ 2000 บาทต่อเดือนเพื่อเตรียมเกษียณโดยตั้งใจจะทำให้เป็นวินัย ส่วนปีต่อๆ ไปจะเอาเงินเดือนส่วนต่างที่เค้าขึ้นเงินเดือนให้มาลงทุนเพิ่ม
กองทุนประมาณ 5 กองแรกที่ซื้อสารภาพตามตรงว่า ซื้อเพราะเพื่อนบอก / จนท.ธนาคารแนะนำ / เค้าว่าดี สรุป: ไม่ได้คิดเอง แค่รู้นิดหน่อยว่าเค้าเอาเงินเราไปทำอะไร
กองทุนที่มีแล้ว คือ
-บัวหลวงทศพล มีเยอะสุด ซื้อตอน NAVเกิน 37กว่า ไปแล้ว ปีที่แล้วตอนกองทุนเป็นขาลงหนัก ๆ ก็หยุดลงทุนไปเลยเพราะกลัว ตอนนี้กลับมาเสียดายเพราะดันไม่กล้าซื้อต่อ
-KTAM Trigger8x มีเยอะเป็นอันดับสอง พอครบกำหนดลงทุน ปรากฏขาดทุนไป 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ จริงๆ ก็ไม่ได้ขาดทุนเกินที่ตั้งไว้ แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น พอเห็นเงินเกือบห้าพันหายไป เกิดฝ่อขึ้นมาเลยเอาเงินออกมาแล้วใช้ไปกับอะไรที่เราเองก็จำไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกแย่สุด ๆ ค่ะ
-ENY ของ KTAM มีจำนวนเป็นอันดับสาม จนท ธนาคารเค้าบอกว่าซื้อขายเหมือนหุ้น ตอนนั้นประกาศขาย IPO แต่เราอยากลอง และอีกใจก็คิดว่าคงซื้อไม่ได้หรอกเพราะต้องลงชื่อจองไว้ ปรากฏว่าได้มาค่ะ ถือมาตั้งแต่บัดนั้นเพราะตอนนี้ราคาขายคืนน้อยกว่า IPO อีก สองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากออกเลย อีกใจก็บอกว่ารอก่อน จนกว่าได้ทุนคืนแล้วค่อยออก เลยรอมาจนถึงตอนนี่
-บัวหลวงสิริฯ มีรองลงมาเป็นอันอับสี่ จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แต่ราคาปันผลรวมแล้วประมาณ 3 บาทกว่า ๆ
-บัวแก้ว2 ย้ายไปบัวสิริฯ หมดแล้ว
-บัวหลวงเฮลธ์แคร์ (BCARE) เพิ่งซื้อขั้นต่ำไป กะว่าจะ (ค่อย ๆ) ซื้อเพิ่ม แต่ดูราคาลำบาก ราคาล่าสุดย้อนหลังไปประมาณสามวัน
-TMB set50 ปันผล เพิ่งซื้อขั้นต่ำ อันนี้ซื้อเองเพราะหลัง ๆ เริ่มสนใจกองที่มีปันผล ตัวนี้จ่ายปันผลย้อนหลังบ่อย จ่ายมารวม ๆ ประมาณ 12 บาท
-กรุงศรีหุ้นปันผล เพิ่งซื้อขั้นต่ำ อันนี้ซื้อเอง เพราะจ่ายปันผลย้อนหลังบ่อยกว่า จ่ายเยอะกว่าตัวTMB (แต่ก็แค่นิดหน่อย)
คำถาม
1.จะเลือกซื้อกองทุนเดียวไปเลยเดือนละพันบาท (คิดว่าจะใส่ใน Set 50ปันผล) ส่วนอีกหนึ่งพันบาท/เดือนเก็บไว้อีกบัญชีเอาไว้ซื้อตอนราคาตกแรง ๆ ดีไม๊คะ (อาจซื้อกรุงศรีหุ้นปันผล บัวสิริฯ หรือทศพล )
2.ถ้าจะแบ่งเงินเก็บไว้ในอีกบัญชีหนึ่ง(เมื่อมีเงินเหลือเพิ่มหรืออื่น ๆ) ควรลงที่ไหนดีเงินฝาก(เงินต้นไม่หายแน่) หรือกองทุนตราสารหนี้(เงืนต้นอาจได้ไม่ครบ) ดีคะ (ทุกตัวด้านล่างนี่เรามีเงินอยู่หมดเลย กระจายกันไป แต่มันไม่เป็นก้อนเดียวกันค่ะ)
-ME (TMB) ดอกเบี้ยประมาณ 2.7%
-NoFixed (TMB) ดอกเบี้ยประมาณ 2%
-eSaver (Standard Charter) ดอกเบี้ยประมาณ 2.5%
-กองทุน TMB ThanaPlus, กรุงศรีมีอีกตัวทีเป็นตราสารหนี้แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว
ปล เราไม่เสียภาษีค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำนำคะ