เมื่อได้อ่าน บทความของภิกษุรูปนี้ แม้เพียงแค่บทแรก ก็ได้แต่ "ส่ายหน้า"
ด้วยความเอือมระอา กับความไร้แก่นสาร ของภิกษุสาวกในสมัยนี้
เนื่องด้วย ภิกษุเจ้าของบทความดังกล่าว ได้ระบุข้อมูลเอาไว้ว่า เป็น เปรียญ ๙ ประโยค ปริญญาตรี เกียรตินิยม
จึงขอเรียกสั้นๆ ว่า ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม ก็แล้วกัน นะครับ !
*******************************************************************************
ผมมิอาจทราบได้จริงๆ ว่า บุคคลผู้นี้ จบปริญญาตรี เกียรตินิยม มาได้อย่างไร ?
หรือที่จริงผมควรกล่าวด้วยซ้ำไปว่า บุคคลผู้นี้ ยังสมควรเอาผ้าเหลืองพันกาย อยู่ในฐานะภิกษุในพระพุทธศาสนา ต่อไปได้อีกหรือไม่ ?
เพราะทั้งๆ ที่แสดงตนว่าเป็น ภิกษุ อยู่ในพระพุทธศาสนา แต่กลับแสดงกิริยาวาจา ไม่สำรวม ให้สมกับ "สมณเพศ"
ด้วยการ กล่าววาจา จาบจ้วง และ ใส่ความ "ฆราวาส" ด้วยข้อกล่าวหา "เพ้อเจ้อ" ที่ "ปั้นแต่ง" ขึ้นมาเอง ด้วยอาการ "ฟุ้งซ่าน"
ในทำนองว่า มีชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง กำลังทำร้าย ทำลาย สังฆรัตนะ ให้หมดไปจาก พระพุทธศาสนา !
ขอประทานโทษ นะครับ
การศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม ของ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม มันล้มเหลวเสียจนทำให้ ท่านไม่ทราบเชียวหรือว่า
"สังฆรัตนะ" ที่ท่านกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ มีความหมายว่าอะไร ?
ข้อความทั้งจากพระไตรปิฎก และ อรรถกถา ล้วนกล่าวอย่างสอดคล้องต้องกันว่า สังฆรัตนะ หมายถึง
ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญของโลก !
ถามว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างไร ?
ตอบว่า ครั้งบวชแล้ว ก็สำรวมในทวารหก เป็นผู้มรสติสัมปชัญญะ เจริญสันโดษด้วยปัจจัย ๔ ละนิวรณ์ บริกรรมฌาน
และอภิญญา กรรมฐาน ๓๘ ประการ จนถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะโดยเอกเทศ ฯลฯ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ สังฆรัตนะ หมายถึง บุคคล ๘ พวก ๔ คู่ คือ อริยบุคคล นั่นเอง
*******************************************************************************
ประเด็นปัญหา คืออะไร ?
ประเด็นปัญหา มันก็อยู่ที่ว่า ทั้งๆ ที่ชาวพุทธโดยทั่วไป ย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า สังฆรัตนะ จะมีอยู่หรือ ขาดหายไป
ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตน ของบรรดาเจ้ากูทั้งหลายนั่นเองว่า ยังเห็น การบำเพ็ญสมณธรรม เป็นกิจของตนอยู่หรือไม่ ?
แต่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กลับมิได้มีความสำนึกในกิจของตน และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ
นอกจากจะไม่สำนึกในภาระหน้าที่ ที่แท้จริงของตนในฐานะ ภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว
ท่านกลับแสดงให้เห็นถึง ความไร้สติ ไร้ปัญญา จนถึงขนาดกล่าวร้ายป้ายสี ชาวบ้าน อย่างไร้จิตสำนึก
ว่าเป็นสาเหตุของการขาดหายไปของ สังฆรัตนะ ทั้งๆ ที่ไม่มีความเชื่อมโยงในทางตรรกะเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
.
.
.
(๑) สติ (๒) ปัญญา (๓) ตรรกะ และ (๔) เหตุผล ของ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กำลังมีปัญหาอย่างหนักแล้วนะครับ !
.
.
.
ขอให้ชาวพุทธทั้งหลาย พึงพิจารณา ด้วยวิจารณญาน ดังนี้ว่า
ประการแรก
สังฆรัตนะ หมายถึง ภิกษุ ผู้เป็นอริยสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งความมีอยู่ หรือ ดับสูญไปของสังฆรัตนะ
ย่อมขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญสมณธรรม อันเป็นกิจของภิกษุสาวกนั้นเอง หาได้เกี่ยวข้องกับ การจัดพิมพ์ พระพุทธวจน ของผู้อื่น แต่อย่างใดไม่
ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม สามารถอธิบายได้หรือไม่ว่า การจัดพิมพ์หนังสือ พุทธวจน
จักเป็นการขัดขวางการบำเพ็ญสมณธรรมของท่าน จนมิอาจบรรลุมรรคผล ได้ด้วยอาการอย่างไร ?
เพราะหากท่านไม่สามารถอธิบายความ ให้สิ้นสงสัยได้ มันย่อมหมายถึงว่า
ข้อกล่าวหาของท่าน ที่มีต่อผู้อื่น จักกลายเป็นการกล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่น ด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ
ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กำลังกล่าวเท็จ ทั้งที่รู้อยู่ หรือเปล่าครับ ?
เพราะถ้าพิจารณาตามที่ ท่านอวดอ้างว่า เป็นเปรียญ ๙ ประโยค เป็นบัณฑิตเกียรตินิยม
ชาวพุทธโดยทั่วไป ย่อมเข้าใจว่า ท่านเป็นผู้มีการศึกษาดี จะอ้างว่า พูดโดยไม่รู้ ไม่ได้
และเมื่อกล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่น ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสถึง คนแบบนี้ ว่าอย่างไรครับ ?
แต่ถ้าหาก ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม อ้างว่า กล่าวถ้อยคำลามกเหล่านั้น ด้วยความพลั้งเผลอ
ชาวพุทธโดยทั่วไป ย่อมเข้าใจว่า การศึกษาทั้งหมดของท่าน ที่แม้ว่าจะดูเหมือนใหญ่โต โอ่อ่า
แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันกลับไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้เลย นอกเสียจากจะใช้โอ้อวด คุยเขื่อง ตามหน้ากระดาษหนังสือสั่วๆ เท่านั้น
และผมยังสงสัยอยู่ว่า นักบวชไร้สติอย่างท่าน จะเอาอะไรไปอบรม "กรรมฐาน" ให้แก่ญาติโยม ได้เล่า ?
มันจะไม่ "กำมะลอ" ไปหน่อยรึท่าน ?
หรือว่านี่ก็คือตัวอย่าง "ความล้มเหลว" ของการศึกษาในคณะสงฆ์ไทย ที่สมควรได้รับการปฏิรูปเสียที ?
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งชาวพุทธทั้งหลายด้วย ทั้ง ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยมด้วย
จักช่วยกันพิจารณา กรณีนี้ อย่างรอบคอบ และรอบด้าน ด้วยนะครับ
ประการที่ ๒
ดูเหมือนว่า จนป่านนี้ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม จะยังไม่สามารถทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่ว่า
การที่มีกลุ่มบุคคล จัดพิมพ์ พระไตรปิฎกพุทธวจน หรือ ตำราใดๆ ก็ตาม ที่เน้นเฉพาะข้อความที่เป็นพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า
นั้นย่อมสามารถกล่าวได้ว่า เป็นการกระทำที่เป็นบุญ เป็นกุศล และย่อมเกิดประโยชน์ ไม่มีโทษ ซึ่งชาวพุทธผู้มีสติปัญญาโดยทั่วไป
ย่อมสามารถพิจารณา กรณีนี้ ได้ด้วยหลักกาลามสูตร อย่างสมเหตุสมผล ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไปด้วย "อคติ" เหมือนดังที่ท่านเป็นอยู่ !
ขอให้ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม จงพิจารณาให้ดีๆ ว่า การที่ชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง กล่าวอย่างองอาจว่า จักศึกษาแต่เฉพาะพระพุทธดำรัสเท่านั้น
คนกลุ่มนี้ ย่อมมิใช่ ชาวพุทธที่น่าเป็นห่วง เป็นกังวลแต่อย่างใดเลย เพราะการศึกษาพระพุทธวจน นั้นย่อมไม่เกิดโทษ มีแต่ประโยชน์
แต่หากมีชาวพุทธอีกกลุ่มหนึ่ง ประกาศอย่างอหังการว่า เขาจักศึกษาเฉพาะแต่สาวกพจน์เท่านั้น อย่างนี้สิ จึงอาจกล่าวได้ว่า "น่าเป็นห่วง"
เพราะการเลือกศึกษาแต่สาวกพจน์ ย่อมปิดทางในการสอบสวนเทียบเคียงข้อเท็จจริงจากพระสูตรพระวินัย ตามหลักมหาปเทส ๔
อีกทั้ง คำสอนนอกแนว(ทุกข์ และ ความดับทุกข์) ของภิกษุสาวกที่นิยม เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก ฯลฯ ก็คงเติบใหญ่ ไร้การตรวจสอบ
ขอถาม ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม ว่า คนกลุ่มไหน ที่นับได้ว่า น่าเป็นห่วงมากกว่ากันครับ ?
อีกประเด็นหนึ่งที่พึงพิจารณา ก็คือ การที่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม เที่ยวไปกล่าวร้ายป้ายสี ผู้อื่นว่า
การจัดพิมพ์ พระพุทธวจน ของเขาเหล่านั้น จักทำให้ สังฆรัตนะ ขาดสูญไปนั้น ย่อมเป็นคำพูดที่ โง่เขลาเบาปัญญา เป็นอย่างยิ่ง
โง่ประการที่ ๑ ก็คือ หากแม้ว่าท่านต้องการ อวดสติปัญญา ให้เป็นที่ประจักษ์ ก็ควรกล่าวอ้าง อย่างมีเหตุผลบ้างว่า
การละเว้น ไม่พิมพ์ข้อความที่เป็นสาวกพจน์นั้น อาจนำมาซึ่งความไม่สมบูรณ์ของ "พระธรรมรัตนะ"
ซึ่งแม้ว่า การอ้างเหตุผลแบบนี้ จะดูเหมือนเป็นการ "แถกแถ" ข้างๆ คูๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังพอที่จะ "ฝืนทน" รับฟังไปได้อยู่
แต่การ "ใส่ร้าย" ผู้อื่นด้วยการอ้างความดับสูญของ สังฆรัตนะ ซึ่งแท้ที่จริงย่อมขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญสมณธรรมของตนเองแท้ๆ
ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง ความโง่เขลาเบาปัญญา และความเชื่อถือไม่ได้ ของนักบวชชั้นสาวก ในสมัยนี้ ว่าเป็นเรื่องจริง !
โง่ประการที่ ๒ ก็คือ การพยายาม "ยัดเยียด" ข้อหาให้กับสาธุชน ผู้มีใจศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า โดยกลับถูกเป็นผิด ด้วย "อคติ"
ให้กลายเป็นว่า การพิมพ์หนังสือ พุทธวจน เป็นความผิดร้าย เป็นการกระทำชั่ว เป็นภัยต่อพระศาสนา ฯลฯ
คำถาม ก็คือ การจัดพิมพ์พระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า จักถือว่าเป็นความชั่ว หรือ ความผิดร้ายได้อย่างไร ?
จะเป็นไปได้หรือว่า การพิมพ์พระพุทธวจน ดังกล่าวนี้ ย่อมมีผลทำให้ สาวกพจน์ ในกุฎิของท่าน หมดสิ้นสูญหายไป
จะเป็นไปได้หรือว่า การพิมพ์พระพุทธวจน ดังกล่าวนี้ ย่อมมีผลทำให้ พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย หมดสิ้นสูญหายไป
หรือแท้ที่จริง การพิมพ์พระพุทธวจน ก็ย่อมมีผล อย่างสมเหตุว่า ในโลกนี้ จะได้มีตำราพระพุทธวจน เพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่ง เท่านั้นเอง
และหากแม้ว่า ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม เป็นห่วงเป็นใยใน สาวกพจน์ เสียเหลือเกิน สิ่งที่ท่านพึงกระทำ ก็คือ ควรรวบรวมทรัพย์สิน
ที่ท่านสะสมไว้(ทั้งๆ ที่อยู่ในเพศบรรพชิต) จัดพิมพ์ตำรา สาวกพจน์ ให้เทียบเท่ากับ ตำราพุทธวจน(ที่ผู้อื่นจัดพิมพ์) จะไม่เป็นการสมควรกว่า ละหรือ ?
ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม แน่แก่ใจแล้วหรือว่า การกล่าวประณาม และยัดเยียดข้อกล่าวหา อย่างไม่เป็นธรรม ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ
แก่ชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาต่อพระพุทธดำรัส จักเป็นการกระทำที่เป็นบุญ เป็นประโยชน์ และเป็นกุศล ต่อตัวของท่านเองจริงๆ ?
เพราะถ้าหาก พิจารณาด้วยสติ และ จิตใจที่เป็นธรรม แม้เพียงสักนิด ก็ย่อมเห็นข้อเท็จจริงได้โดยไม่ยากว่า
สิ่งที่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กระทำลงไปนี้ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นกุศล แต่จักเป็นบาปมากด้วย
อีกทั้ง ข้อกล่าวหา ที่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม ยัดเยียดให้กับชาวพุทธผู้มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้านั้น
กลับยิ่งส่อแสดงให้เห็นถึง ความบกพร่องทาง สติปัญญา และการศึกษา ของตัวท่านเอง
ซึ่งพฤติกรรมอันน่าหดหู่ของท่าน นั่นแหละ ที่กลับไปตอกย้ำความเชื่อของชาวพุทธอีกฝ่ายว่า
ถ้อยคำของภิกษุชั้นสาวก(โดยเฉพาะในสมัยนี้) มันเชื่อถือไม่ได้ จริงๆ
สวัสดี
สังฆรัตนะ กับ ตรรกะบกพร่อง ของ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม !
ด้วยความเอือมระอา กับความไร้แก่นสาร ของภิกษุสาวกในสมัยนี้
เนื่องด้วย ภิกษุเจ้าของบทความดังกล่าว ได้ระบุข้อมูลเอาไว้ว่า เป็น เปรียญ ๙ ประโยค ปริญญาตรี เกียรตินิยม
จึงขอเรียกสั้นๆ ว่า ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม ก็แล้วกัน นะครับ !
*******************************************************************************
ผมมิอาจทราบได้จริงๆ ว่า บุคคลผู้นี้ จบปริญญาตรี เกียรตินิยม มาได้อย่างไร ?
หรือที่จริงผมควรกล่าวด้วยซ้ำไปว่า บุคคลผู้นี้ ยังสมควรเอาผ้าเหลืองพันกาย อยู่ในฐานะภิกษุในพระพุทธศาสนา ต่อไปได้อีกหรือไม่ ?
เพราะทั้งๆ ที่แสดงตนว่าเป็น ภิกษุ อยู่ในพระพุทธศาสนา แต่กลับแสดงกิริยาวาจา ไม่สำรวม ให้สมกับ "สมณเพศ"
ด้วยการ กล่าววาจา จาบจ้วง และ ใส่ความ "ฆราวาส" ด้วยข้อกล่าวหา "เพ้อเจ้อ" ที่ "ปั้นแต่ง" ขึ้นมาเอง ด้วยอาการ "ฟุ้งซ่าน"
ในทำนองว่า มีชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง กำลังทำร้าย ทำลาย สังฆรัตนะ ให้หมดไปจาก พระพุทธศาสนา !
ขอประทานโทษ นะครับ
การศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม ของ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม มันล้มเหลวเสียจนทำให้ ท่านไม่ทราบเชียวหรือว่า
"สังฆรัตนะ" ที่ท่านกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ มีความหมายว่าอะไร ?
ข้อความทั้งจากพระไตรปิฎก และ อรรถกถา ล้วนกล่าวอย่างสอดคล้องต้องกันว่า สังฆรัตนะ หมายถึง
ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญของโลก !
ถามว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างไร ?
ตอบว่า ครั้งบวชแล้ว ก็สำรวมในทวารหก เป็นผู้มรสติสัมปชัญญะ เจริญสันโดษด้วยปัจจัย ๔ ละนิวรณ์ บริกรรมฌาน
และอภิญญา กรรมฐาน ๓๘ ประการ จนถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะโดยเอกเทศ ฯลฯ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ สังฆรัตนะ หมายถึง บุคคล ๘ พวก ๔ คู่ คือ อริยบุคคล นั่นเอง
*******************************************************************************
ประเด็นปัญหา คืออะไร ?
ประเด็นปัญหา มันก็อยู่ที่ว่า ทั้งๆ ที่ชาวพุทธโดยทั่วไป ย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า สังฆรัตนะ จะมีอยู่หรือ ขาดหายไป
ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตน ของบรรดาเจ้ากูทั้งหลายนั่นเองว่า ยังเห็น การบำเพ็ญสมณธรรม เป็นกิจของตนอยู่หรือไม่ ?
แต่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กลับมิได้มีความสำนึกในกิจของตน และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ
นอกจากจะไม่สำนึกในภาระหน้าที่ ที่แท้จริงของตนในฐานะ ภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว
ท่านกลับแสดงให้เห็นถึง ความไร้สติ ไร้ปัญญา จนถึงขนาดกล่าวร้ายป้ายสี ชาวบ้าน อย่างไร้จิตสำนึก
ว่าเป็นสาเหตุของการขาดหายไปของ สังฆรัตนะ ทั้งๆ ที่ไม่มีความเชื่อมโยงในทางตรรกะเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
.
.
.
(๑) สติ (๒) ปัญญา (๓) ตรรกะ และ (๔) เหตุผล ของ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กำลังมีปัญหาอย่างหนักแล้วนะครับ !
.
.
.
ขอให้ชาวพุทธทั้งหลาย พึงพิจารณา ด้วยวิจารณญาน ดังนี้ว่า
ประการแรก
สังฆรัตนะ หมายถึง ภิกษุ ผู้เป็นอริยสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งความมีอยู่ หรือ ดับสูญไปของสังฆรัตนะ
ย่อมขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญสมณธรรม อันเป็นกิจของภิกษุสาวกนั้นเอง หาได้เกี่ยวข้องกับ การจัดพิมพ์ พระพุทธวจน ของผู้อื่น แต่อย่างใดไม่
ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม สามารถอธิบายได้หรือไม่ว่า การจัดพิมพ์หนังสือ พุทธวจน
จักเป็นการขัดขวางการบำเพ็ญสมณธรรมของท่าน จนมิอาจบรรลุมรรคผล ได้ด้วยอาการอย่างไร ?
เพราะหากท่านไม่สามารถอธิบายความ ให้สิ้นสงสัยได้ มันย่อมหมายถึงว่า
ข้อกล่าวหาของท่าน ที่มีต่อผู้อื่น จักกลายเป็นการกล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่น ด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ
ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กำลังกล่าวเท็จ ทั้งที่รู้อยู่ หรือเปล่าครับ ?
เพราะถ้าพิจารณาตามที่ ท่านอวดอ้างว่า เป็นเปรียญ ๙ ประโยค เป็นบัณฑิตเกียรตินิยม
ชาวพุทธโดยทั่วไป ย่อมเข้าใจว่า ท่านเป็นผู้มีการศึกษาดี จะอ้างว่า พูดโดยไม่รู้ ไม่ได้
และเมื่อกล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่น ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสถึง คนแบบนี้ ว่าอย่างไรครับ ?
แต่ถ้าหาก ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม อ้างว่า กล่าวถ้อยคำลามกเหล่านั้น ด้วยความพลั้งเผลอ
ชาวพุทธโดยทั่วไป ย่อมเข้าใจว่า การศึกษาทั้งหมดของท่าน ที่แม้ว่าจะดูเหมือนใหญ่โต โอ่อ่า
แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันกลับไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้เลย นอกเสียจากจะใช้โอ้อวด คุยเขื่อง ตามหน้ากระดาษหนังสือสั่วๆ เท่านั้น
และผมยังสงสัยอยู่ว่า นักบวชไร้สติอย่างท่าน จะเอาอะไรไปอบรม "กรรมฐาน" ให้แก่ญาติโยม ได้เล่า ?
มันจะไม่ "กำมะลอ" ไปหน่อยรึท่าน ?
หรือว่านี่ก็คือตัวอย่าง "ความล้มเหลว" ของการศึกษาในคณะสงฆ์ไทย ที่สมควรได้รับการปฏิรูปเสียที ?
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งชาวพุทธทั้งหลายด้วย ทั้ง ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยมด้วย
จักช่วยกันพิจารณา กรณีนี้ อย่างรอบคอบ และรอบด้าน ด้วยนะครับ
ประการที่ ๒
ดูเหมือนว่า จนป่านนี้ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม จะยังไม่สามารถทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่ว่า
การที่มีกลุ่มบุคคล จัดพิมพ์ พระไตรปิฎกพุทธวจน หรือ ตำราใดๆ ก็ตาม ที่เน้นเฉพาะข้อความที่เป็นพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า
นั้นย่อมสามารถกล่าวได้ว่า เป็นการกระทำที่เป็นบุญ เป็นกุศล และย่อมเกิดประโยชน์ ไม่มีโทษ ซึ่งชาวพุทธผู้มีสติปัญญาโดยทั่วไป
ย่อมสามารถพิจารณา กรณีนี้ ได้ด้วยหลักกาลามสูตร อย่างสมเหตุสมผล ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไปด้วย "อคติ" เหมือนดังที่ท่านเป็นอยู่ !
ขอให้ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม จงพิจารณาให้ดีๆ ว่า การที่ชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง กล่าวอย่างองอาจว่า จักศึกษาแต่เฉพาะพระพุทธดำรัสเท่านั้น
คนกลุ่มนี้ ย่อมมิใช่ ชาวพุทธที่น่าเป็นห่วง เป็นกังวลแต่อย่างใดเลย เพราะการศึกษาพระพุทธวจน นั้นย่อมไม่เกิดโทษ มีแต่ประโยชน์
แต่หากมีชาวพุทธอีกกลุ่มหนึ่ง ประกาศอย่างอหังการว่า เขาจักศึกษาเฉพาะแต่สาวกพจน์เท่านั้น อย่างนี้สิ จึงอาจกล่าวได้ว่า "น่าเป็นห่วง"
เพราะการเลือกศึกษาแต่สาวกพจน์ ย่อมปิดทางในการสอบสวนเทียบเคียงข้อเท็จจริงจากพระสูตรพระวินัย ตามหลักมหาปเทส ๔
อีกทั้ง คำสอนนอกแนว(ทุกข์ และ ความดับทุกข์) ของภิกษุสาวกที่นิยม เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก ฯลฯ ก็คงเติบใหญ่ ไร้การตรวจสอบ
ขอถาม ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม ว่า คนกลุ่มไหน ที่นับได้ว่า น่าเป็นห่วงมากกว่ากันครับ ?
อีกประเด็นหนึ่งที่พึงพิจารณา ก็คือ การที่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม เที่ยวไปกล่าวร้ายป้ายสี ผู้อื่นว่า
การจัดพิมพ์ พระพุทธวจน ของเขาเหล่านั้น จักทำให้ สังฆรัตนะ ขาดสูญไปนั้น ย่อมเป็นคำพูดที่ โง่เขลาเบาปัญญา เป็นอย่างยิ่ง
โง่ประการที่ ๑ ก็คือ หากแม้ว่าท่านต้องการ อวดสติปัญญา ให้เป็นที่ประจักษ์ ก็ควรกล่าวอ้าง อย่างมีเหตุผลบ้างว่า
การละเว้น ไม่พิมพ์ข้อความที่เป็นสาวกพจน์นั้น อาจนำมาซึ่งความไม่สมบูรณ์ของ "พระธรรมรัตนะ"
ซึ่งแม้ว่า การอ้างเหตุผลแบบนี้ จะดูเหมือนเป็นการ "แถกแถ" ข้างๆ คูๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังพอที่จะ "ฝืนทน" รับฟังไปได้อยู่
แต่การ "ใส่ร้าย" ผู้อื่นด้วยการอ้างความดับสูญของ สังฆรัตนะ ซึ่งแท้ที่จริงย่อมขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญสมณธรรมของตนเองแท้ๆ
ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง ความโง่เขลาเบาปัญญา และความเชื่อถือไม่ได้ ของนักบวชชั้นสาวก ในสมัยนี้ ว่าเป็นเรื่องจริง !
โง่ประการที่ ๒ ก็คือ การพยายาม "ยัดเยียด" ข้อหาให้กับสาธุชน ผู้มีใจศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า โดยกลับถูกเป็นผิด ด้วย "อคติ"
ให้กลายเป็นว่า การพิมพ์หนังสือ พุทธวจน เป็นความผิดร้าย เป็นการกระทำชั่ว เป็นภัยต่อพระศาสนา ฯลฯ
คำถาม ก็คือ การจัดพิมพ์พระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า จักถือว่าเป็นความชั่ว หรือ ความผิดร้ายได้อย่างไร ?
จะเป็นไปได้หรือว่า การพิมพ์พระพุทธวจน ดังกล่าวนี้ ย่อมมีผลทำให้ สาวกพจน์ ในกุฎิของท่าน หมดสิ้นสูญหายไป
จะเป็นไปได้หรือว่า การพิมพ์พระพุทธวจน ดังกล่าวนี้ ย่อมมีผลทำให้ พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย หมดสิ้นสูญหายไป
หรือแท้ที่จริง การพิมพ์พระพุทธวจน ก็ย่อมมีผล อย่างสมเหตุว่า ในโลกนี้ จะได้มีตำราพระพุทธวจน เพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่ง เท่านั้นเอง
และหากแม้ว่า ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม เป็นห่วงเป็นใยใน สาวกพจน์ เสียเหลือเกิน สิ่งที่ท่านพึงกระทำ ก็คือ ควรรวบรวมทรัพย์สิน
ที่ท่านสะสมไว้(ทั้งๆ ที่อยู่ในเพศบรรพชิต) จัดพิมพ์ตำรา สาวกพจน์ ให้เทียบเท่ากับ ตำราพุทธวจน(ที่ผู้อื่นจัดพิมพ์) จะไม่เป็นการสมควรกว่า ละหรือ ?
ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม แน่แก่ใจแล้วหรือว่า การกล่าวประณาม และยัดเยียดข้อกล่าวหา อย่างไม่เป็นธรรม ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ
แก่ชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาต่อพระพุทธดำรัส จักเป็นการกระทำที่เป็นบุญ เป็นประโยชน์ และเป็นกุศล ต่อตัวของท่านเองจริงๆ ?
เพราะถ้าหาก พิจารณาด้วยสติ และ จิตใจที่เป็นธรรม แม้เพียงสักนิด ก็ย่อมเห็นข้อเท็จจริงได้โดยไม่ยากว่า
สิ่งที่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม กระทำลงไปนี้ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นกุศล แต่จักเป็นบาปมากด้วย
อีกทั้ง ข้อกล่าวหา ที่ ท่านพระมหาฯ เกียรตินิยม ยัดเยียดให้กับชาวพุทธผู้มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้านั้น
กลับยิ่งส่อแสดงให้เห็นถึง ความบกพร่องทาง สติปัญญา และการศึกษา ของตัวท่านเอง
ซึ่งพฤติกรรมอันน่าหดหู่ของท่าน นั่นแหละ ที่กลับไปตอกย้ำความเชื่อของชาวพุทธอีกฝ่ายว่า
ถ้อยคำของภิกษุชั้นสาวก(โดยเฉพาะในสมัยนี้) มันเชื่อถือไม่ได้ จริงๆ
สวัสดี