ทำไมหมอหลายคนยังคงประกอบอาชีพหมอกันอยู่?????
เป็นกระทู้นำเสนอสิ่งดีๆให้เป็นกำลังใจกับคนที่เป็นหมอและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกันบ้าง และอย่างน้อยก็บอกถึงสิ่งเล็กๆสิ่งดีๆที่หมอและเจ้าหน้าทางสาธารณสุขหลายๆคนต้องใจทำกันอยู่ทุกวัน ให้หลายๆคนได้เข้าใจ หรือได้รับรู้บ้าง ( หลังจากเจอกระทู้ที่ทำให้พวกเราหมดกำลังใจกัน อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้หลายๆคน ที่ยังคงตั้งใจดูแลคนไข้อย่างเต็มความสามารถที่ตัวเองสามารถที่ทำได้ภายใต้ขีดจำกัดมากมายที่หลายคนไม่เข้าใจอยู่ในปัจจุบัน )
1) ยังรู้สึกดีเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนไข้:- แม้จะเหนื่อยอดหลับอดนอน จะเจอเคสหนัก ต้องทำหัตถการมากมาย ต้องโทรปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญด้านอื่น ส่ง line( film ผลเลือด รูปภาพต่างๆ ) ,FB ( อันนี้เคยปรึกษาถึง professor ที่ต่างประเทศเลย แต่ก็แปลกหลายท่านก็ตอบกลับทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเลย และขอบคุณที่พยายามตั้งใจอ่านภาษาอังกฤษที่อ่อนแอของเรา ให้แนวคิดเกี่ยวกับการรักษามาช่วยเราวางแผนการรักษาคนไข้ ) ,Skype (อันนี้เคยตอนปรึกษาอาจารย์แพทย์ ตอนที่อาจารย์ไปดูงานและเรียนต่อที่ต่างประเทศ) คุยกันแบบ online แม้ว่าบางครั้งต้องโดนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดุ โดนว่า แต่พอคนไข้ดีขึ้น คนไข้เปลี่ยนจากหนักเป็นเบา คนไข้รอด ไม่รู้ทำไมมันอดยิ้มคนเดียวไม่ได้ ทำไมความรู้สึกเหนื่อย อดหลับอดนอน มันหายไปซะยังงั้น ทำให้รู้สึกว่าคุ้มยังไงไม่รู้ที่เราทนสู้พร้อมคนไข้
2) ยังรู้สึกดีใจที่ได้ยินคำขอบคุณ:- ซึ่งมาจากตัวคนไข้เอง หรือ จากญาติคนไข้ที่พาคนไข้มารักษา หลายครั้งตอนเรียนเวลาออกตรวจคู่กับอาจารย์แพทย์ เห็นคนไข้พูดขอบคุณอาจารย์แพทย์ หรือ การที่คนไข้หรือญาตินำผลไม้หรือของเล็กๆน้อยมาฝาก แล้วอาจารย์พูดทุกครั้งว่า"คราวหลังมาแค่ตรวจเฉยๆก็พอ ไม่ต้องลำบากซื้อของมาให้หรอกครับ แค่เห็นคุณมาแข็งแรง มาตรวจตามนัดผมก็ดีใจแล้ว" ตอนนั้นก็ยังคิดว่าดีจังคนไข้กับญาติคงรักอาจารย์มาก คนเราถ้าไม่นับถือ หรือ รักกันจริงคงไม่กล่าวคำขอบคุณจากใจจริง นำของมาฝาก นำของมาให้
หลังจากจบมาหลายปีเจอคนไข้ที่หายป่วย หรือ ที่อาการดีขึ้น มาตรวจตามนัด แค่คนไข้พูดว่า"ขอบคุณ" เราก็รู้สึกว่าฮึมหายเหนื่อยว่ะ ( มีเคสเหลืออีกซักยี่สิบเคสไหมจะตรวจต่อ ข้าวเที่ยงอิ่มแล้ว ไม่ต้องพักละ...5555)
แล้วทำไมเราต้องบอกคนไข้เหมือนอาจารย์เราเลย"คราวหลังไม่ต้องลำบากนำของมานะครับ แค่ดูแลตัวเองดีๆตามที่หมอแนะนำ มาตรวจตามนัดหมอก็ดีใจแล้ว"
3) ยังรู้สึกดีที่ได้รับไหว้คนไข้ ( แม้แต่เวลาจริงๆเราจะรีบยกมือไหว้คุณลุงคุณป้าก่อน)
:- เวลาที่มีคนมาไหว้เราด้วยความรัก ความจริงใจ เหมือนเวลาที่เราไหว้พ่อแม่เราเอง ไหว้ครูอาจารย์ที่เราเคารพรัก มันรู้สึกดีมีความภูมิใจอิ่มใจ ซึ่งทุกวันที่เจอก็เป็นกำลังใจล่อเลี้ยงให้เรายังอยากทำอาชีพหมอต่อ อยากดูแลคนไข้ต่อไปแม้จะเหนื่อยเพิ่มขึ้นกับเจอปัญหามากขึ้นในทุกๆวัน
4) ยังรู้สึกดีที่ไม่ใช่เราอยู่ตัวคนเดียว เหนื่อยคนเดียว:- ทุกครั้งที่เราดูคนไข้หนึ่งคน ไม่ใช่เราทำอยู่คนเดียว ช่วยอยู่คนเดียวแต่ทุกอย่างเราทำเป็นทีม แม้หลายครั้งหลายคนจะเหมือนจะทำงานปิดทองหลังพระแต่ถ้าไม่มีพวกเค้าการรักษาหรือดูแลผู้ป่วยคงเกิดขึ้นไม่ได้
ยกตัวอย่าง :-มีเคสฉุกเฉินเข้ามา ต้องเริ่มตั้งแต่คนขับรถพยาบาลไปรับคนไข้ พยาบาลหรือหมอที่ติดรถฉุกเฉินไปรับคนไข้ด้วย เจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานคอยวอบอกตำแหน่งผู้ป่วย แจ้งการจราจร หรือ ประสานงานตำรวจ พอถึง ร.พ. ก็เจ้าหน้าที่เวรเปล นำรถเขน หรือ เปลมารับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ห้องบัตรประสานงานเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล ออกบัตรและเลขที่ผู้ป่วย เพื่อให้หมอสามารถสั่งการรักษาและเบิกยากับเวชภัณฑ์ในการรักษาได้
พยาบาลในห้องฉุกเฉินในการเตรียมให้น้ำสารน้ำ หรือเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจตามที่หมอสั่งการรักษา หรือช่วยเตรียมอุปกรณ์ในการทำหัตถการในการช่วยชีวิตต่าง พี่ๆหรือน้องๆผู้ช่วยพยาบาลคอยเดินเรื่องยาหรือเวชภัณฑ์ที่เร่งด่วนต้องใช้ไปห้องยาหรือห้อง lab แม่บ้านคอยมาเช็คถูหรือเก็บกวาดกรณีที่มีที่พื้นเปื้อนหรือเก็บขยะติดเชื้อเพื่อให้ห้องฉุกเฉินสะอาด และทำให้ไม่เกิดอันตรายลื่นล้มแก่เจ้าหน้าที่และคนไข้กับญาติ
เจ้าหน้าที่ศูนย์เปลในการแจ้งประสาทเวรเปลเพื่อนำผู้ป่วยไปเอกเซย์ หรือไปadmit ที่ตึกผู้ป่วย
เจ้าหน้าห้องที่เอกเซย์ เจ้าหน้าที่ห้อง lab ทั้ง biochem และ microbiology เภสัชในการเบิกจ่ายยา เจ้าหน้าที่ประสาทงานผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ในกรณีที่ต้องนอน รพ. พยาบาลรับเวรในที่ต้องประสานเตรียมเตียงให้ผู้ป่วยในกรณีแพทย์พิจารณาให้นอนรับการรักษาตัวใน รพ. หมอและพยาบาลเวรในตึกที่ทำหน้าที่อยู่เวรในวันนั้น นักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ใช้ทุน(ในกรณีที่ รพ. นั้นมี) อาจารย์แพทย์แผนกต่างที่รับปรึกษาในเวรวันนั้น และเจ้าหน้าที่ธุรการและยังมีอีกหลายคนที่ทำหน้าที่เหมือนปิดทองหลังพระในการดูแลคนไข้
ซึ่งทั้งหมดทำให้เรามีกำลังใจในการดูแลคนไข้ รู้สึกเหมือนเราไม่ได้สู้คนเดียวเราสู้เป็นทีมในการดูแลคนไข้ ซึ่งอาชีพหมอไม่ได้ต้องการเก่งคนเดียวแต่เราต้องเก่งและประสานงานกันเป็นทีม
5) ยังรู้สึกดีที่ได้ให้ความรู้ต่อนักเรียนแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และคนไข้
:-ทุกครั้งที่ได้สอน เรากับกลายเป็นนักเรียนไม่ใช่อาจารย์ เพราะบางครั้งคำถามง่ายๆเราตอบไม่ได้ หรือ บางครั้งก็อดทึ้งไม่ได้ว่าคิดได้ไงคำถามแบบนี้ ทำให้เราไปหาความรู้เพิ่ม
และทำให้เรารู้สึกว่าทุกคนที่เข้ามาให้เราได้เจอ คือ คุณครู ที่จะให้ความรู้แก่เราทุกคน ช่วยต่อยอดความรู้ในการรักษาคนไข้รายต่อไป และบางครั้งเราก็มีทั้งครูที่ใจดี ครูฝ่ายปกครอง ดังนั้นเราต้องใจเย็นๆ ค่อยๆปรับตัวแก้ไปในเหมาะสมแต่ละคุณครู แล้วเราก็จะมีความสุขในอาชีพหมอแม้ว่าในปัจจุบันอาชีพหมออาจจะมีปัญหาร้อยแปดมากกว่าหมอในสมัยก่อนมากๆๆๆๆๆๆ
6) ยังรู้สึกว่าได้ฝึกจิต ( อันนี้ไม่ได้มีญาณทิพย์หรือมีจิตสัมผัสนะครับ มีแต่หย่อนยานลงตามกาลเวลา )
:- หลายครั้งการที่เราได้เจอคนเจ็บ คนป่วย คนตาย ทำให้เรารู้ว่าคนไม่ว่ารวย หรือ จนสุดท้ายก็เจ็บ ก็ป่วย ก็ตายไปตามกรรม ดังนั้นการทำปัจจุบันให้ดีสุดทำอะไรให้เราและคนรอบข้างเรามีความสุข นั้นน่าจะดีที่สุด การไปแคร์กับสิ่งต่างๆที่ทำให้เราหมดกำลังใจ แต่ถ้าเราว่าดีถูกต้องก็ทำไปเถอะ ให้คิดว่าขนาดพระพุทธรูป พระอรหันต์ ยังโดนคนตำหนิ นับอะไรกับเราที่เป็นคนธรรมดาและสุดท้ายก็ทำให้เราใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท
จริงๆก็มีอีกหลายข้อคงเขียนบรรยายไม่หมด แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งหลายอย่างที่หมอหลายๆคนได้ทำ
เป็นสิ่งล่อเลี้ยงให้ หมอหลายๆท่านยังคงประกอบอาชีพหมอในโลกปัจจุบันที่พวกเราทำงานลำบากมากขึ้น .......ยังจำได้เสมอที่อาจารย์ท่านหนึ่งสอน" หมอต้องสู้นะ เพราะถ้าหมอไม่สู้ คนไข้ที่เค้าต่อสู้กับโรคเองไม่ได้ เค้าต้องพึ่งเราอย่างเดียวจะรอดได้ยังไง จำไว้นะ ขนาดเราเอาเงินไปฝากที่ธนาคารได้แสดงว่าเราต้องหมั่นใจว่าเค้าดูแลทรัพย์สินให้กับเราได้ แต่เนี่ยะคนไข้ฝากชีวิตไว้กับเราแสดงว่าเค้าไว้ใจเรามากขนาดไหน " อย่างน้อยก็เขียนให้เป็นกำลังใจให้หมอและเจ้าหน้าที่ๆทุกคน ที่ทำงานต่อหน้า และ ปิดทองหลังพระในการดูแลผู้ป่วย และอย่างน้อยก็อยากให้คนอื่นๆที่ไม่ใช่หมอเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ทราบว่าพวกเราได้ทำงานอะไรกันบ้าง
ทำไมหมอหลายคนยังคงประกอบอาชีพหมออยู่ในปัจจุบัน????
เป็นกระทู้นำเสนอสิ่งดีๆให้เป็นกำลังใจกับคนที่เป็นหมอและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกันบ้าง และอย่างน้อยก็บอกถึงสิ่งเล็กๆสิ่งดีๆที่หมอและเจ้าหน้าทางสาธารณสุขหลายๆคนต้องใจทำกันอยู่ทุกวัน ให้หลายๆคนได้เข้าใจ หรือได้รับรู้บ้าง ( หลังจากเจอกระทู้ที่ทำให้พวกเราหมดกำลังใจกัน อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้หลายๆคน ที่ยังคงตั้งใจดูแลคนไข้อย่างเต็มความสามารถที่ตัวเองสามารถที่ทำได้ภายใต้ขีดจำกัดมากมายที่หลายคนไม่เข้าใจอยู่ในปัจจุบัน )
1) ยังรู้สึกดีเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนไข้:- แม้จะเหนื่อยอดหลับอดนอน จะเจอเคสหนัก ต้องทำหัตถการมากมาย ต้องโทรปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญด้านอื่น ส่ง line( film ผลเลือด รูปภาพต่างๆ ) ,FB ( อันนี้เคยปรึกษาถึง professor ที่ต่างประเทศเลย แต่ก็แปลกหลายท่านก็ตอบกลับทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเลย และขอบคุณที่พยายามตั้งใจอ่านภาษาอังกฤษที่อ่อนแอของเรา ให้แนวคิดเกี่ยวกับการรักษามาช่วยเราวางแผนการรักษาคนไข้ ) ,Skype (อันนี้เคยตอนปรึกษาอาจารย์แพทย์ ตอนที่อาจารย์ไปดูงานและเรียนต่อที่ต่างประเทศ) คุยกันแบบ online แม้ว่าบางครั้งต้องโดนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดุ โดนว่า แต่พอคนไข้ดีขึ้น คนไข้เปลี่ยนจากหนักเป็นเบา คนไข้รอด ไม่รู้ทำไมมันอดยิ้มคนเดียวไม่ได้ ทำไมความรู้สึกเหนื่อย อดหลับอดนอน มันหายไปซะยังงั้น ทำให้รู้สึกว่าคุ้มยังไงไม่รู้ที่เราทนสู้พร้อมคนไข้
2) ยังรู้สึกดีใจที่ได้ยินคำขอบคุณ:- ซึ่งมาจากตัวคนไข้เอง หรือ จากญาติคนไข้ที่พาคนไข้มารักษา หลายครั้งตอนเรียนเวลาออกตรวจคู่กับอาจารย์แพทย์ เห็นคนไข้พูดขอบคุณอาจารย์แพทย์ หรือ การที่คนไข้หรือญาตินำผลไม้หรือของเล็กๆน้อยมาฝาก แล้วอาจารย์พูดทุกครั้งว่า"คราวหลังมาแค่ตรวจเฉยๆก็พอ ไม่ต้องลำบากซื้อของมาให้หรอกครับ แค่เห็นคุณมาแข็งแรง มาตรวจตามนัดผมก็ดีใจแล้ว" ตอนนั้นก็ยังคิดว่าดีจังคนไข้กับญาติคงรักอาจารย์มาก คนเราถ้าไม่นับถือ หรือ รักกันจริงคงไม่กล่าวคำขอบคุณจากใจจริง นำของมาฝาก นำของมาให้
หลังจากจบมาหลายปีเจอคนไข้ที่หายป่วย หรือ ที่อาการดีขึ้น มาตรวจตามนัด แค่คนไข้พูดว่า"ขอบคุณ" เราก็รู้สึกว่าฮึมหายเหนื่อยว่ะ ( มีเคสเหลืออีกซักยี่สิบเคสไหมจะตรวจต่อ ข้าวเที่ยงอิ่มแล้ว ไม่ต้องพักละ...5555)
แล้วทำไมเราต้องบอกคนไข้เหมือนอาจารย์เราเลย"คราวหลังไม่ต้องลำบากนำของมานะครับ แค่ดูแลตัวเองดีๆตามที่หมอแนะนำ มาตรวจตามนัดหมอก็ดีใจแล้ว"
3) ยังรู้สึกดีที่ได้รับไหว้คนไข้ ( แม้แต่เวลาจริงๆเราจะรีบยกมือไหว้คุณลุงคุณป้าก่อน)
:- เวลาที่มีคนมาไหว้เราด้วยความรัก ความจริงใจ เหมือนเวลาที่เราไหว้พ่อแม่เราเอง ไหว้ครูอาจารย์ที่เราเคารพรัก มันรู้สึกดีมีความภูมิใจอิ่มใจ ซึ่งทุกวันที่เจอก็เป็นกำลังใจล่อเลี้ยงให้เรายังอยากทำอาชีพหมอต่อ อยากดูแลคนไข้ต่อไปแม้จะเหนื่อยเพิ่มขึ้นกับเจอปัญหามากขึ้นในทุกๆวัน
4) ยังรู้สึกดีที่ไม่ใช่เราอยู่ตัวคนเดียว เหนื่อยคนเดียว:- ทุกครั้งที่เราดูคนไข้หนึ่งคน ไม่ใช่เราทำอยู่คนเดียว ช่วยอยู่คนเดียวแต่ทุกอย่างเราทำเป็นทีม แม้หลายครั้งหลายคนจะเหมือนจะทำงานปิดทองหลังพระแต่ถ้าไม่มีพวกเค้าการรักษาหรือดูแลผู้ป่วยคงเกิดขึ้นไม่ได้
ยกตัวอย่าง :-มีเคสฉุกเฉินเข้ามา ต้องเริ่มตั้งแต่คนขับรถพยาบาลไปรับคนไข้ พยาบาลหรือหมอที่ติดรถฉุกเฉินไปรับคนไข้ด้วย เจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานคอยวอบอกตำแหน่งผู้ป่วย แจ้งการจราจร หรือ ประสานงานตำรวจ พอถึง ร.พ. ก็เจ้าหน้าที่เวรเปล นำรถเขน หรือ เปลมารับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ห้องบัตรประสานงานเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล ออกบัตรและเลขที่ผู้ป่วย เพื่อให้หมอสามารถสั่งการรักษาและเบิกยากับเวชภัณฑ์ในการรักษาได้
พยาบาลในห้องฉุกเฉินในการเตรียมให้น้ำสารน้ำ หรือเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจตามที่หมอสั่งการรักษา หรือช่วยเตรียมอุปกรณ์ในการทำหัตถการในการช่วยชีวิตต่าง พี่ๆหรือน้องๆผู้ช่วยพยาบาลคอยเดินเรื่องยาหรือเวชภัณฑ์ที่เร่งด่วนต้องใช้ไปห้องยาหรือห้อง lab แม่บ้านคอยมาเช็คถูหรือเก็บกวาดกรณีที่มีที่พื้นเปื้อนหรือเก็บขยะติดเชื้อเพื่อให้ห้องฉุกเฉินสะอาด และทำให้ไม่เกิดอันตรายลื่นล้มแก่เจ้าหน้าที่และคนไข้กับญาติ
เจ้าหน้าที่ศูนย์เปลในการแจ้งประสาทเวรเปลเพื่อนำผู้ป่วยไปเอกเซย์ หรือไปadmit ที่ตึกผู้ป่วย
เจ้าหน้าห้องที่เอกเซย์ เจ้าหน้าที่ห้อง lab ทั้ง biochem และ microbiology เภสัชในการเบิกจ่ายยา เจ้าหน้าที่ประสาทงานผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ในกรณีที่ต้องนอน รพ. พยาบาลรับเวรในที่ต้องประสานเตรียมเตียงให้ผู้ป่วยในกรณีแพทย์พิจารณาให้นอนรับการรักษาตัวใน รพ. หมอและพยาบาลเวรในตึกที่ทำหน้าที่อยู่เวรในวันนั้น นักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ใช้ทุน(ในกรณีที่ รพ. นั้นมี) อาจารย์แพทย์แผนกต่างที่รับปรึกษาในเวรวันนั้น และเจ้าหน้าที่ธุรการและยังมีอีกหลายคนที่ทำหน้าที่เหมือนปิดทองหลังพระในการดูแลคนไข้
ซึ่งทั้งหมดทำให้เรามีกำลังใจในการดูแลคนไข้ รู้สึกเหมือนเราไม่ได้สู้คนเดียวเราสู้เป็นทีมในการดูแลคนไข้ ซึ่งอาชีพหมอไม่ได้ต้องการเก่งคนเดียวแต่เราต้องเก่งและประสานงานกันเป็นทีม
5) ยังรู้สึกดีที่ได้ให้ความรู้ต่อนักเรียนแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และคนไข้
:-ทุกครั้งที่ได้สอน เรากับกลายเป็นนักเรียนไม่ใช่อาจารย์ เพราะบางครั้งคำถามง่ายๆเราตอบไม่ได้ หรือ บางครั้งก็อดทึ้งไม่ได้ว่าคิดได้ไงคำถามแบบนี้ ทำให้เราไปหาความรู้เพิ่ม
และทำให้เรารู้สึกว่าทุกคนที่เข้ามาให้เราได้เจอ คือ คุณครู ที่จะให้ความรู้แก่เราทุกคน ช่วยต่อยอดความรู้ในการรักษาคนไข้รายต่อไป และบางครั้งเราก็มีทั้งครูที่ใจดี ครูฝ่ายปกครอง ดังนั้นเราต้องใจเย็นๆ ค่อยๆปรับตัวแก้ไปในเหมาะสมแต่ละคุณครู แล้วเราก็จะมีความสุขในอาชีพหมอแม้ว่าในปัจจุบันอาชีพหมออาจจะมีปัญหาร้อยแปดมากกว่าหมอในสมัยก่อนมากๆๆๆๆๆๆ
6) ยังรู้สึกว่าได้ฝึกจิต ( อันนี้ไม่ได้มีญาณทิพย์หรือมีจิตสัมผัสนะครับ มีแต่หย่อนยานลงตามกาลเวลา )
:- หลายครั้งการที่เราได้เจอคนเจ็บ คนป่วย คนตาย ทำให้เรารู้ว่าคนไม่ว่ารวย หรือ จนสุดท้ายก็เจ็บ ก็ป่วย ก็ตายไปตามกรรม ดังนั้นการทำปัจจุบันให้ดีสุดทำอะไรให้เราและคนรอบข้างเรามีความสุข นั้นน่าจะดีที่สุด การไปแคร์กับสิ่งต่างๆที่ทำให้เราหมดกำลังใจ แต่ถ้าเราว่าดีถูกต้องก็ทำไปเถอะ ให้คิดว่าขนาดพระพุทธรูป พระอรหันต์ ยังโดนคนตำหนิ นับอะไรกับเราที่เป็นคนธรรมดาและสุดท้ายก็ทำให้เราใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท
จริงๆก็มีอีกหลายข้อคงเขียนบรรยายไม่หมด แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งหลายอย่างที่หมอหลายๆคนได้ทำ
เป็นสิ่งล่อเลี้ยงให้ หมอหลายๆท่านยังคงประกอบอาชีพหมอในโลกปัจจุบันที่พวกเราทำงานลำบากมากขึ้น .......ยังจำได้เสมอที่อาจารย์ท่านหนึ่งสอน" หมอต้องสู้นะ เพราะถ้าหมอไม่สู้ คนไข้ที่เค้าต่อสู้กับโรคเองไม่ได้ เค้าต้องพึ่งเราอย่างเดียวจะรอดได้ยังไง จำไว้นะ ขนาดเราเอาเงินไปฝากที่ธนาคารได้แสดงว่าเราต้องหมั่นใจว่าเค้าดูแลทรัพย์สินให้กับเราได้ แต่เนี่ยะคนไข้ฝากชีวิตไว้กับเราแสดงว่าเค้าไว้ใจเรามากขนาดไหน " อย่างน้อยก็เขียนให้เป็นกำลังใจให้หมอและเจ้าหน้าที่ๆทุกคน ที่ทำงานต่อหน้า และ ปิดทองหลังพระในการดูแลผู้ป่วย และอย่างน้อยก็อยากให้คนอื่นๆที่ไม่ใช่หมอเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ทราบว่าพวกเราได้ทำงานอะไรกันบ้าง