กระทู้นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "
การให้ทิปพนังงาน 3200 บาท ทั้งๆที่บริการได้สุดแย่...หมาไม่แดรกมาก"
เรื่องของเรื่อง คือ อ่านข้อความที่ Shared กันมาทาง Facebook อันหนึ่งแล้วสะเทือนใจ เลยอดเขียนกระทู้นี้ไม่ได้
ที่มา:
http://www.kiitdoo.com/ทิปหนัก-บริการแย่/
ภาคเนื้อหา
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา Makenzie และ Steven Schultz สามีภรรยาจากไอโอวา ตำหนิบริการที่แย่และช้ามากๆ ของร้าน Kazoku Sushi ใน Cedar Rapids, Iowa
ในเฟซบุ๊กของเธอ Makenzie เล่าว่า พนักงานเสิร์ฟใช้เวลานานกว่า 20 นาทีในการนำน้ำดื่มมาให้เธอ และอีก 40 นาที ในการนำอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้ และต้องรออีกกว่า 1 ชั่วโมง กว่าจะได้อาหารจานหลัก แต่แทนที่เธอและสามี จะทิปพนักงานคนนี้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เขาทิปพนักงานคนนี้ไป 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3,200 บาท กับมื้ออาหารที่ราคาเพียง 66 ดอลลาร์สหรัฐฯ
Makenzie ถ่ายภาพใบเสร็จของเธอลงเฟซบุ๊ก พร้อมเหตุผลที่ทำไมเธอจึงทิปพนักงานเสิร์ฟมากมายขนาดนั้น
โพสนี้ของเธอแพร่หลายมากในอินเทอร์เน็ต ด้วยคนกดไลค์มากกว่า 1 ล้านไลค์ และคนแชร์เรื่องนี้มากกว่า 150,000 ครั้งในเฟซบุ๊ก
เธอเล่าให้ฟังว่า เธอรู้ว่าพนักงานเสิร์ฟคนนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน เพราะเมื่อ 8 ปีก่อน เธอและสามีก็ต้องเจอเหมือนกัน เพราะเขาทั้งคู่เคยเป็นพนักงานเสิร์ฟมาก่อน ในร้านอาหาร Bubba Gump Shrimp Co.
เธอเล่าว่า เธอไม่มีเวลาที่จะบริการลูกค้าทุกคนดีเท่ากันหมด ทั้งๆ ที่เธอจะพยายามมากสุดๆ ในชีวิตแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้น แทนที่จะให้ทิปพนักงานเสิร์ฟคนนั้นแค่ 10% ของราคาอาหาร เธอและสามีตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงคืนๆ นั้นของพนักงานคนนั้น ให้เขาได้รู้สึกว่า ถึงแม้ว่า สิ่งต่างๆ จะไม่เพอร์เฟ็กอย่างที่เขาตั้งใจ แต่แค่เขาได้พยายาม ก็ดีที่สุดแล้ว และนี่คือผลตอบแทนความพยายามของเขา
ทั้งนี้ ผู้จัดการร้านดังกล่าว ยืนยันกับทาง BuzzFeed News ว่า ลูกจ้างของเขา “Kyle H.” คือคนที่ได้รับทิปก้อนนี้ไป และยังบอกอีกว่าพนักงานคนนี้เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาโดยตลอด แต่แค่วันนั้น เป็นวันที่ทางร้านคนเยอะมากจริงๆ และดวงมาตกที่พนักงานเสิร์ฟคนนี้พอดิบพอดี ซึ่งพอหลังจากเกิดเรื่อง พนักงานคนนี้ตกใจมากกับความใจดีของคู่สามีภรรยา และตกใจเช่นกันหลังจากที่ทราบว่าเรื่องนี้โด่งดังไปทั่วอินเทอร์เน็ต
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภาคบทวิเคราะห์
ก่อนอื่น ต้องออกตัวก่อนว่า ไม่เคยทำงานเสิร์ฟอาหารใดๆ (นอกจากกินกันที่บ้าน) แต่ชอบทานอาหารตามร้าน เลยได้สังเกตุสิ่งต่างๆเหล่านี้มาแชร์
การทำงานเป็น
เด็กเสิร์ฟ จริงๆแล้วก็คืองานบริการประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่ได้เจอกับลูกค้าโดยตรง ... มนุษย์เงินเดือนว่างั้นเถอะ
ถือเป็นงานที่มีความสำคัญ ไม่น้อยไปกว่าเชฟฝีมือระดับมิชลิน เลยก็พูดได้ ... เป็น Contact Channel ทางหนึ่ง
คนที่ไม่เคยทำงานบริการ หรือมี EQ ไม่สูงนัก มักจะตำหนิเด็กเสิร์ฟไปก่อน เมื่อตนเองไม่ได้รับการบริการตามที่คาดไว้ (หาที่ลง)
เช่น มาจดออเดอร์ช้า มาเสิร์ฟช้า เสิร์ฟผิดโต๊ะ ไม่มาเติมน้ำดื่ม อาหารไม่อร่อย มีเส้นผมในอาหาร ทำไมไม่เสิร์ฟข้าวก่อนว้า บลา บลา บลา
ทั้งที่แท้จริงแล้ว เด็กเสิร์ฟมีหน้าที่แค่ไปยกอาหารที่เชฟทำเสร็จ แล้วส่งตามโต๊ะ เท่านั้น (ไม่รู้ว่าวันหนึ่งเดินได้ระยะทางรวมกี่กิโลเมตร)
แต่บางที่ (ส่วนใหญ่ในไทย) ก็จะรวมหน้าที่พิเศษอื่นๆเข้าไปอีก เช่น การรับออเดอร์ การคอยเติมน้ำดื่มน้ำแข็ง การขอ
นู้น-นี่-นั่น เพิ่มเติม
การเก็บจานเก็บโต๊ะที่ทานเสร็จ การทำความสะอาดต่างๆ เป็นต้น
ผมเคยคุยกับเด็กเสิร์ฟ ว่าเงินเดือนเยอะไหม คำตอบที่ได้
ส่วนใหญ่คนไทยไม่ถึง 8,000 บาท ถ้าเป็นคนต่างด้าวก็ 5,000-6,000 บาท ที่อยู่ได้เพราะอาศัยทิปจากแขกเป็นหลัก
สิ่งที่เด็กเสิร์ฟต้องเจอประจำๆ ถึงไม่อยากแต่ก็ขาดไม่ได้ แบ่งได้เป็นข้อๆ ดังนี้
- ยกจานอาหารไปกลับหลายรอบ ทั้งโต๊ะใกล้และโต๊ะไกล ... พาไปลงแข่งเดินทนได้เลย
- บางจานใหญ่และหนัก อภิมหาจัมโบ้เซท (แล้วแต่ร้าน) ... เคยเห็นเด็กเสริฟงานโต๊ะจีน คนหนึ่งจะวางจานบนแขนได้ 4-6 จาน ต่อรอบ เก่งโคตร
- อาหารบางอย่างเป็นแบบหม้อไฟอีก กระทะร้อนอีก (โคตรร้อนบอกเลย) ... หลังๆเปลี่ยนมาเป็นก้อนแอลกอฮอล์ มาจุดที่โต๊ะแทน ค่อยดีขึ้นหน่อย
- พอยกมาเสิร์ฟช้า ลูกค้า
ก็ด่า (พ่อครัวอาจจะทำไม่ทัน หรือ ระบบจัดการภายในร้านไม่ดี)
- พอเสิร์ฟผิดโต๊ะ ลูกค้า
ก็ด่า (อาจจะจดผิดโต๊ะ ไม่จดชื่อโต๊ะแต่แรก หรือคนวางอาหารเขียนโต๊ะผิด เยอะแยะ)
- พอไม่มาเก็บโต๊ะ ลูกค้ายืนรอ ลูกค้า
ก็ด่า (เด็กเสิร์ฟอาจจะไปเสิร์ฟให้โต๊ะอื่นๆที่รับผิดชอบอยู่)
- ลูกค้าทำช้อนตก ทำตะเกียบหัก กินน้ำจิ้มหมด ข้าวหมด พอขอไป ก็จะต้องการแบบติดจรวด ต้องได้เดี๋ยวนี้ โดยพุ่งเป้าไปที่เด็กเสิร์ฟคนนั้น
- ถ้าเด็กเสิร์ฟไม่ยิ้มแย้ม พูดไม่เพราะหู ลูกค้า
ก็ด่า ... แต่ไม่เคยถามว่า น้องเครียดอะไร โดนใครด่ารึเปล่า อกหักรักคุดรึเปล่า พ่อป่วยแม่ไม่สบายไหม
นี่แค่ปัญหาที่คิดออกตอนนี้ จริงๆคงมีอีกเยอะ แต่พอแค่นี้ก่อน เพราะเริ่มหิวข้าว เดี๋ยวจะมาสรุปใน
ภาคบทสังเคราะห์
ว่าถึงจะเป็นวันที่เฮ็งซวยแค่ไหน เราก็ต้องทำงานของเราอย่างดีที่สุด เพราะอะไร ... ขอสุมาเตอะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภาคบทสังเคราะห์
จากการที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือ แม้นจะเป็นเจ้าของกิจการเองก็เถอะ
ถ้าเราเจอะเจอสถานการณ์ต่างๆ ที่แสนจะเฮ็งซวย เราต่างก็ต้องมีน้ำโหเป็นธรรมดา เพราะ เราเป็นปุถุชนคนธรรมดา
จงเปลี่ยนพลังงานเหล่านี้ เป็นแรงขับดับให้เราทำงานให้ดียิ่งกว่าทุกๆวันที่เคยทำ
จงก้าวผ่านบททดสอบของชีวิต แล้วจะออกแบบชีวิตที่เราต้องการจะให้มันเกิดขึ้น ด้วยความหมั่นและความเพียร
มีอยู่ สามสิ่ง ที่เราควรจะทำอย่างดีที่สุด อย่างตระหนักรู้ และอย่างใส่ใจกับมันเกิน 100%
1. ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้า
>>> เพราะเขาคือคนที่อยู่กับคุณ ณ ปัจจุบัณขณะ
>>> โลกนี้มีคนตั้งหลายล้านคน แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคุณเป็นหนึ่งในหลายล้านนั้น
>>> การพบเจอกับเขา...อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ดั้งนั้น ควรทำให้เป็นการพบกันที่แสนจะน่าจดจำที่สุด
>>> การให้เกียรติคู่สนทนาแบบนี้ ... เขาจะไม่มีทางเจ็บหรือเสียใจในการมาพบกับเราเลย
2. ให้ความสำคัญกับงานที่อยู่ตรงหน้า
>>> เพราะงานนั้นคืองาน ณ ปัจจุบัณขณะ
>>> งานบนโลกนี้มีตั้งมากมาย แต่งานที่คุณเลือกที่จะทำมีแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
>>> จงทำงานทุกชิ้น โดยถือว่ามันคืองานชิ้นสุดท้ายที่คุณจะฝากไว้บนโลกใบนี้ จงทำงานทุกชิ้นด้วยฝีมือทั้งหมดที่คุณมี
>>> ทำงานให้มีมูลค่าสูงสุด ให้มีค่ามากกว่า ค่าจ้างที่ลูกค้าของคุณ จ่ายให้คุณ ... ให้เขาอายไปเลยที่จ่ายคุณน้อย
3. ให้ความสำคัญกับเวลา ณ ปัจจุบันขณะ
>>> เวลาทุกๆวินาทีมันจะไหลผ่านเราไป และมันก็จะไม่สามารถไหลย้อนกลับได้
>>> ถึงคุณจะมีเงินเป็นแสนล้าน USD ก็ไม่สามารถซื้อเวลาที่ผ่านไปแล้ว...กลับมาได้หรอก
>>> เวลาเปรียบเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถ recycle ได้ ... คุณเสียดายไหม ที่ปล่อยให้เวลาที่แสนมีค่า เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
>>> "คืนวันที่ผ่านไป เธอทำอะไรอยู่" ... จงถามประโยคนี้ทุกวัน
เนื้อหาส่วนหนึ่ง นำมาจากคำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี เรื่อง ปาฏิหาริย์แห่งปัจจุบันขณะ
ที่มา:
http://www.youtube.com/watch?v=Zl-ItHh3_Ec&hd=1
จากใจ
โยโย หนุ่มคิดบวก
ถึงจะเป็นวันทีเฮ็งซวยแค่ไหน แต่ต้องทำงานของเราอย่างดีที่สุด
เรื่องของเรื่อง คือ อ่านข้อความที่ Shared กันมาทาง Facebook อันหนึ่งแล้วสะเทือนใจ เลยอดเขียนกระทู้นี้ไม่ได้
ที่มา: http://www.kiitdoo.com/ทิปหนัก-บริการแย่/
ภาคเนื้อหา
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา Makenzie และ Steven Schultz สามีภรรยาจากไอโอวา ตำหนิบริการที่แย่และช้ามากๆ ของร้าน Kazoku Sushi ใน Cedar Rapids, Iowa
ในเฟซบุ๊กของเธอ Makenzie เล่าว่า พนักงานเสิร์ฟใช้เวลานานกว่า 20 นาทีในการนำน้ำดื่มมาให้เธอ และอีก 40 นาที ในการนำอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้ และต้องรออีกกว่า 1 ชั่วโมง กว่าจะได้อาหารจานหลัก แต่แทนที่เธอและสามี จะทิปพนักงานคนนี้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เขาทิปพนักงานคนนี้ไป 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3,200 บาท กับมื้ออาหารที่ราคาเพียง 66 ดอลลาร์สหรัฐฯ
Makenzie ถ่ายภาพใบเสร็จของเธอลงเฟซบุ๊ก พร้อมเหตุผลที่ทำไมเธอจึงทิปพนักงานเสิร์ฟมากมายขนาดนั้น
โพสนี้ของเธอแพร่หลายมากในอินเทอร์เน็ต ด้วยคนกดไลค์มากกว่า 1 ล้านไลค์ และคนแชร์เรื่องนี้มากกว่า 150,000 ครั้งในเฟซบุ๊ก
เธอเล่าให้ฟังว่า เธอรู้ว่าพนักงานเสิร์ฟคนนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน เพราะเมื่อ 8 ปีก่อน เธอและสามีก็ต้องเจอเหมือนกัน เพราะเขาทั้งคู่เคยเป็นพนักงานเสิร์ฟมาก่อน ในร้านอาหาร Bubba Gump Shrimp Co.
เธอเล่าว่า เธอไม่มีเวลาที่จะบริการลูกค้าทุกคนดีเท่ากันหมด ทั้งๆ ที่เธอจะพยายามมากสุดๆ ในชีวิตแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้น แทนที่จะให้ทิปพนักงานเสิร์ฟคนนั้นแค่ 10% ของราคาอาหาร เธอและสามีตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงคืนๆ นั้นของพนักงานคนนั้น ให้เขาได้รู้สึกว่า ถึงแม้ว่า สิ่งต่างๆ จะไม่เพอร์เฟ็กอย่างที่เขาตั้งใจ แต่แค่เขาได้พยายาม ก็ดีที่สุดแล้ว และนี่คือผลตอบแทนความพยายามของเขา
ทั้งนี้ ผู้จัดการร้านดังกล่าว ยืนยันกับทาง BuzzFeed News ว่า ลูกจ้างของเขา “Kyle H.” คือคนที่ได้รับทิปก้อนนี้ไป และยังบอกอีกว่าพนักงานคนนี้เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาโดยตลอด แต่แค่วันนั้น เป็นวันที่ทางร้านคนเยอะมากจริงๆ และดวงมาตกที่พนักงานเสิร์ฟคนนี้พอดิบพอดี ซึ่งพอหลังจากเกิดเรื่อง พนักงานคนนี้ตกใจมากกับความใจดีของคู่สามีภรรยา และตกใจเช่นกันหลังจากที่ทราบว่าเรื่องนี้โด่งดังไปทั่วอินเทอร์เน็ต
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภาคบทวิเคราะห์
ก่อนอื่น ต้องออกตัวก่อนว่า ไม่เคยทำงานเสิร์ฟอาหารใดๆ (นอกจากกินกันที่บ้าน) แต่ชอบทานอาหารตามร้าน เลยได้สังเกตุสิ่งต่างๆเหล่านี้มาแชร์
การทำงานเป็น เด็กเสิร์ฟ จริงๆแล้วก็คืองานบริการประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่ได้เจอกับลูกค้าโดยตรง ... มนุษย์เงินเดือนว่างั้นเถอะ
ถือเป็นงานที่มีความสำคัญ ไม่น้อยไปกว่าเชฟฝีมือระดับมิชลิน เลยก็พูดได้ ... เป็น Contact Channel ทางหนึ่ง
คนที่ไม่เคยทำงานบริการ หรือมี EQ ไม่สูงนัก มักจะตำหนิเด็กเสิร์ฟไปก่อน เมื่อตนเองไม่ได้รับการบริการตามที่คาดไว้ (หาที่ลง)
เช่น มาจดออเดอร์ช้า มาเสิร์ฟช้า เสิร์ฟผิดโต๊ะ ไม่มาเติมน้ำดื่ม อาหารไม่อร่อย มีเส้นผมในอาหาร ทำไมไม่เสิร์ฟข้าวก่อนว้า บลา บลา บลา
ทั้งที่แท้จริงแล้ว เด็กเสิร์ฟมีหน้าที่แค่ไปยกอาหารที่เชฟทำเสร็จ แล้วส่งตามโต๊ะ เท่านั้น (ไม่รู้ว่าวันหนึ่งเดินได้ระยะทางรวมกี่กิโลเมตร)
แต่บางที่ (ส่วนใหญ่ในไทย) ก็จะรวมหน้าที่พิเศษอื่นๆเข้าไปอีก เช่น การรับออเดอร์ การคอยเติมน้ำดื่มน้ำแข็ง การขอ นู้น-นี่-นั่น เพิ่มเติม
การเก็บจานเก็บโต๊ะที่ทานเสร็จ การทำความสะอาดต่างๆ เป็นต้น
ผมเคยคุยกับเด็กเสิร์ฟ ว่าเงินเดือนเยอะไหม คำตอบที่ได้
ส่วนใหญ่คนไทยไม่ถึง 8,000 บาท ถ้าเป็นคนต่างด้าวก็ 5,000-6,000 บาท ที่อยู่ได้เพราะอาศัยทิปจากแขกเป็นหลัก
สิ่งที่เด็กเสิร์ฟต้องเจอประจำๆ ถึงไม่อยากแต่ก็ขาดไม่ได้ แบ่งได้เป็นข้อๆ ดังนี้
- ยกจานอาหารไปกลับหลายรอบ ทั้งโต๊ะใกล้และโต๊ะไกล ... พาไปลงแข่งเดินทนได้เลย
- บางจานใหญ่และหนัก อภิมหาจัมโบ้เซท (แล้วแต่ร้าน) ... เคยเห็นเด็กเสริฟงานโต๊ะจีน คนหนึ่งจะวางจานบนแขนได้ 4-6 จาน ต่อรอบ เก่งโคตร
- อาหารบางอย่างเป็นแบบหม้อไฟอีก กระทะร้อนอีก (โคตรร้อนบอกเลย) ... หลังๆเปลี่ยนมาเป็นก้อนแอลกอฮอล์ มาจุดที่โต๊ะแทน ค่อยดีขึ้นหน่อย
- พอยกมาเสิร์ฟช้า ลูกค้าก็ด่า (พ่อครัวอาจจะทำไม่ทัน หรือ ระบบจัดการภายในร้านไม่ดี)
- พอเสิร์ฟผิดโต๊ะ ลูกค้าก็ด่า (อาจจะจดผิดโต๊ะ ไม่จดชื่อโต๊ะแต่แรก หรือคนวางอาหารเขียนโต๊ะผิด เยอะแยะ)
- พอไม่มาเก็บโต๊ะ ลูกค้ายืนรอ ลูกค้าก็ด่า (เด็กเสิร์ฟอาจจะไปเสิร์ฟให้โต๊ะอื่นๆที่รับผิดชอบอยู่)
- ลูกค้าทำช้อนตก ทำตะเกียบหัก กินน้ำจิ้มหมด ข้าวหมด พอขอไป ก็จะต้องการแบบติดจรวด ต้องได้เดี๋ยวนี้ โดยพุ่งเป้าไปที่เด็กเสิร์ฟคนนั้น
- ถ้าเด็กเสิร์ฟไม่ยิ้มแย้ม พูดไม่เพราะหู ลูกค้าก็ด่า ... แต่ไม่เคยถามว่า น้องเครียดอะไร โดนใครด่ารึเปล่า อกหักรักคุดรึเปล่า พ่อป่วยแม่ไม่สบายไหม
นี่แค่ปัญหาที่คิดออกตอนนี้ จริงๆคงมีอีกเยอะ แต่พอแค่นี้ก่อน เพราะเริ่มหิวข้าว เดี๋ยวจะมาสรุปใน ภาคบทสังเคราะห์
ว่าถึงจะเป็นวันที่เฮ็งซวยแค่ไหน เราก็ต้องทำงานของเราอย่างดีที่สุด เพราะอะไร ... ขอสุมาเตอะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภาคบทสังเคราะห์
จากการที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือ แม้นจะเป็นเจ้าของกิจการเองก็เถอะ
ถ้าเราเจอะเจอสถานการณ์ต่างๆ ที่แสนจะเฮ็งซวย เราต่างก็ต้องมีน้ำโหเป็นธรรมดา เพราะ เราเป็นปุถุชนคนธรรมดา
จงเปลี่ยนพลังงานเหล่านี้ เป็นแรงขับดับให้เราทำงานให้ดียิ่งกว่าทุกๆวันที่เคยทำ
จงก้าวผ่านบททดสอบของชีวิต แล้วจะออกแบบชีวิตที่เราต้องการจะให้มันเกิดขึ้น ด้วยความหมั่นและความเพียร
มีอยู่ สามสิ่ง ที่เราควรจะทำอย่างดีที่สุด อย่างตระหนักรู้ และอย่างใส่ใจกับมันเกิน 100%
1. ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้า
>>> เพราะเขาคือคนที่อยู่กับคุณ ณ ปัจจุบัณขณะ
>>> โลกนี้มีคนตั้งหลายล้านคน แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคุณเป็นหนึ่งในหลายล้านนั้น
>>> การพบเจอกับเขา...อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ดั้งนั้น ควรทำให้เป็นการพบกันที่แสนจะน่าจดจำที่สุด
>>> การให้เกียรติคู่สนทนาแบบนี้ ... เขาจะไม่มีทางเจ็บหรือเสียใจในการมาพบกับเราเลย
2. ให้ความสำคัญกับงานที่อยู่ตรงหน้า
>>> เพราะงานนั้นคืองาน ณ ปัจจุบัณขณะ
>>> งานบนโลกนี้มีตั้งมากมาย แต่งานที่คุณเลือกที่จะทำมีแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
>>> จงทำงานทุกชิ้น โดยถือว่ามันคืองานชิ้นสุดท้ายที่คุณจะฝากไว้บนโลกใบนี้ จงทำงานทุกชิ้นด้วยฝีมือทั้งหมดที่คุณมี
>>> ทำงานให้มีมูลค่าสูงสุด ให้มีค่ามากกว่า ค่าจ้างที่ลูกค้าของคุณ จ่ายให้คุณ ... ให้เขาอายไปเลยที่จ่ายคุณน้อย
3. ให้ความสำคัญกับเวลา ณ ปัจจุบันขณะ
>>> เวลาทุกๆวินาทีมันจะไหลผ่านเราไป และมันก็จะไม่สามารถไหลย้อนกลับได้
>>> ถึงคุณจะมีเงินเป็นแสนล้าน USD ก็ไม่สามารถซื้อเวลาที่ผ่านไปแล้ว...กลับมาได้หรอก
>>> เวลาเปรียบเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถ recycle ได้ ... คุณเสียดายไหม ที่ปล่อยให้เวลาที่แสนมีค่า เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
>>> "คืนวันที่ผ่านไป เธอทำอะไรอยู่" ... จงถามประโยคนี้ทุกวัน
เนื้อหาส่วนหนึ่ง นำมาจากคำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี เรื่อง ปาฏิหาริย์แห่งปัจจุบันขณะ
ที่มา: http://www.youtube.com/watch?v=Zl-ItHh3_Ec&hd=1
จากใจ
โยโย หนุ่มคิดบวก