ผมถูกรถตู้สายพัทยา-กรุงเทพ-หาดจอมเทียน ทิ้งไว้ที่ปั้มน้ำมันพร้อมนำกระเป๋าสัมภาระผมติดไปด้วย

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2557 ช่วงเวลาประมาณ 20.10 น. ผมได้ขึ้นรถตู้สายพัทยา-กรุงเทพ-หาดจอมเทียน จากพัทยากลางบริเวณหน้าปั้มน้ำมันบางจาก ค่าโดยสาร 160 บาท เพื่อเดินทางไปกรุงเทพฯ แต่ระหว่างทางรถตู้คันดังกล่าวได้มาถ่ายโอนผู้โดยสารรวมเป็นรถคันเดียวที่หน้าโรบินสัน-ศรีราชา ขณะที่นั่งอยู่ในรถตู้ผมได้นำสมอลทอล์คขึ้นมาเสียบกับโทรศัพท์เพื่อฟังเพลงแล้วใส่มือถือไว้ในกระเป๋าสะพาย ระหว่างทางบริเวณชลบุรีเวลาประมาณ22.00 น. รถตู้คันดังกล่าวได้ยูเทิร์นมาเติมแก๊สที่ปั้ม ปตท. คลองตำหรุฝั่งขาเข้าชลบุรี คนขับรถตู้ได้แจ้งผู้โดยสารทุกคนว่า "ให้ลงมาเข้าห้องน้ำหรือไปซื้อของที่เซเว่นก่อน" ผมจึงไปเข้าห้องน้ำ(ไม่ถึง5นาที) แต่พอออกมารถตู้คันดังกล่าวก็ไม่อยู่แล้ว ซึ่งกระเป๋าสัมภาระของผมก็อยู่บนรถตู้ด้วย ซึ่งข้างในกระเป๋ามีโน๊ตบุ๊คยี่ห้อ Acer รุ่น Aspire 207 และโทรศัพท์มือถือรุ่น Nokia N70 จำนวน 1 เครื่อง ผมจึงวิ่งไปถามเด็กปั้มว่ารถตู้ที่มาจอดเติมแก๊สเมื่อกี้ออกไปแล้วหรอ เด็กปั้มบอกว่าออกไปไม่ถึงนาทีนี่เองพี่ ผมเลยวิ่งเข้าไป 7-11 เพื่อขอดูกล้องวงจรปิด พบว่ารถตู้คันดังกล่าวขับออกไปเมื่อเวลา 22.05 น. เพราะแก๊สหมดไม่สามารถเติมแก๊สได้ ผมจึงขอยืมมือถือของพนักงานเซเว่นโทรแจ้ง 191 แต่ทางนั้นกลับตัดสายไปก่อนที่ผมจะพูดจบ ผมจึงโทรไปอีกที ทางนั้นจึงแจ้งมาว่าจะดำเนินเรื่องให้ โดยมีตำรวจมารับผมที่ปั้มเพื่อไปแจ้งความ ซึ่งในระหว่างที่รอนั้นผมได้โทรเข้าโทรศัพท์มือถือของผม (มันจะรับเองอัตโนมัติ) ผมได้ยินเสียงรถกำลังวิ่งและเสียงเพลงในรถ ผ่านไปจนถึงเวลา 23.20 น. ก็ยังไม่มีตำรวจมารับผมที่ปั้มน้ำมัน ผมจึงโทรแจ้งอีกรอบ รอบนี้ผมได้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของตำรวจนายหนึ่งใน สภ.เมืองชลบุรีมา ผมจึงโทรไปแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม ในระหว่างนั้นผมก็ได้โทรเช็คโทรศัพท์ของผมว่ากระเป๋ายังอยู่บนรถไหม ผมก็ยังได้ยินเสียงรถวิ่งที่ปลายสายดังมา ผ่านไปประมาณ 40 นาที มีตำรวจขับรถกระบะเข้ามาที่ปั้มน้ำมันเข้ามาเพื่อรับผมไปแจ้งความที่โรงพัก หลังจากสอบถามข้อมูลทั้งหมดแล้วจึงพาผมนั่งรถกระบะเดินทางไปยัง สภ.เมืองชลบุรี ขณะที่เดินทางอยู่นั้นผมได้ขอยืมโทรศัพท์มือถือของตำรวจที่มารับผมโทรเข้าโทรศัพท์ของผม พบว่าเสียงรถหยุดวิ่งตอนเวลาประมาณ 00.17 น. ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอะไรอีกเมื่อมาถึงโรงพักผมจึงได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานว่าถูกรถตู้ทิ้ง (ตอนหลังผมมาทราบเลขข้างรถว่าเป็นเลข 48-15 สายกรุงเทพ - พัทยา - หาดจอมเทียน) ร้อยเวรที่รับแจ้งความได้ลองโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของผม พบว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรจากรอบข้าง โทรศัพท์ยังไม่ถูกปิดแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ร้อยเวรแนะนำผมว่า ยังแจ้งข้อหาลักทรัพย์ไม่ได้เพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิด เผื่อว่าคนขับรถตู้เก็บสัมภาระของผมไว้ให้ จึงได้แนะนำให้ผมเดินทางกลับไปหาที่คิวรถตู้ที่ผมขึ้น เมื่อผมแจ้งความลงบันทึกประจำวันเสร็จ ผมก็นอนอยู่ที่โรงพักแห่งนั้นจนประมาณ 05.00 น. ผมจึงเดินออกมาหาวินมอเตอร์ไซต์รับจ้าง เพื่อให้ไปส่งขึ้นรถเพื่อเดินทางมาที่คิวรถตู้ที่พัทยา ผมออกจากชลบุรีประมาณ 05.50 น. ผมได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับรถตู้ที่ผมนั่ง เขาจึงพาผมเดินทางมาแบบคนเดียว มาส่งที่หน้าห้างโรบินสัน-ศรีราชา จุดที่ผมถ่ายโอนรถตู้ เขาแนะนำว่าวินรถตู้ที่นี่น่าจะสายเดียวกับคันที่ทิ้งน้องไว้ที่ปั้มน้ำมันเมื่อคืน ผมจึงลงไปสอบถามจากนายท่าที่เป็นผู้หญิงและเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด ในขณะเดียวกันคนขับรถตู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆนายท่าบอกว่า เขาจะเป็นคนพาผมมาส่งที่คิวรถตู้ในพัทยาเอง ระหว่างทางเขาได้โทรบอกทางท่ารถที่กรุงเทพและพัทยาว่า เมื่อคืนมีคนลืมผู้โดยสารและนำสัมภาระของผู้โดยสารไปด้วย ผมจึงขอยืมมือถือของคนขับรถตู้โทรเข้าหมายเลขโทรศัพท์ของผมอีกครั้ง พบว่ายังติดอยู่เสียงที่ผมได้ยินจากปลายสายคือเสียงรถกำลังวิ่ง ข้าวของในกระเป๋าสั่น เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ 06.30 น. จากนั้นผมเดินทางมาถึงที่หน้าคิวรถตู้สาย 48 กรุงเทพ- พัทยา-หาดจอมเทียน บริเวณพัทยาใต้หน้าเดอะวิลเลจ ผมได้พบนายท่าที่นี่ ผมจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมให้ฟัง เขาได้ถามถึงลักษณะคนขับ เลขข้างรถและเลขทะเบียนรถ(ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบ) ผมจึงบอกลักษณะคนขับไปว่า ใส่เสื้อยืดสีแดง เล่นบอลแสงสีม่วงๆที่เด้งไปเด้งมาได้ (ผมเห็นเขาโยนเล่นข้างทางระหว่างรอผู้โดยสาร) เขาจึงโทรสอบถามกับรถตู้ที่หมดที่ออกวิ่งในคืนนั้น ว่ามีใครถ่ายรถที่หน้าโรบินสันและแวะเติมแก๊สที่คลองตำหรุบ้าง ระหว่างนั้นผมได้บอกว่ามือถือผมยังอยู่บนรถแล้วมันยังรับสายอัตโนมัติ นายท่าคนดังกล่าวจึงได้โทรเข้าโทรศัพท์มือถือของผม พบว่าได้ยินเสียงรถกำลังวิ่งอยู่ จากนั้นนายท่าได้ทราบข้อมูลของรถคันที่ทิ้งผมและนำสัมภาระของผมไป จึงได้โทรไปยังรถตู้คันดังกล่าว(ตอนนี้ที่ผมทราบหมายเลขข้างรถแต่ยังไม่ทราบเลขทะเบียน) พบว่าคนขับรถตู้กำลังขับรถอยู่ และกำลังจะมาที่คิวรถ จึงได้วางสายไป นายท่าจึงได้โทรเข้าโทรศัพท์มือถือของผมอีก พบว่ามันเปลี่ยนจากเสียงรถกำลังวิ่งเป็นเสียงเปิดซิบรื้อค้นของในกระเป๋าเดินทางแทน จากนั้นเสียงทุกอย่างก็เงียบไปเป็นเวลาประมาณ 15 นาที คนขับรถตู้คันดังกล่าวจึงมาถึงที่ท่ารถ ผมได้เข้าไปสอบถามถึงกระเป๋าของผม พร้อมถามเขาว่า ทำไมถึงทิ้งผมไว้ที่ปั้ม ทำไมไม่ตรวจสอบผู้โดยสารให้ดีก่อนออกรถ เขาตอบว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอากระเป๋าไป และเขาได้ถามผู้โดยสารคนอื่นก่อนออกรถแล้ว เขาบอกว่ามีผู้โดยสารผู้หญิง 2 คนบอกเขาว่าคนครบแล้ว ไปได้(มันใช่หน้าที่ของผู้โดยสารที่ต้องตรวจคนหรอ) เขาบอกว่าคนอื่นเอากระเป๋าของคุณไปรึปล่าว มีคนนั่งอยู่ข้างๆคุณไหม(ผมนั่งแถวหลังสุดซึ่งมีผู้โดยสารคนหนึ่งหลับมาตลอดทาง นั่งอยู่อีกฝั่งนึงของผม) เขาก็ยืนยันและพาผมไปที่รถว่าเขาไม่ได้เอาของผมไป ผมจึงหันหลังเดินจากเขาโดยไม่พูด ในใจผมโกรธมาก นอกจากทิ้งผมไว้ที่ปั้มยังไม่พอ กระเป๋าและโน๊ตบุคผมยังหายด้วยผมเดินไปขอบคุณนายท่าที่ให้ความร่วมมือ ก่อนที่ผมจะออกมานั้นผมได้เดินเข้าไปขอเบอร์ของนายท่า(ซึ่งทราบชื่อตอนหลังว่านายท่าอู๊ด) และเบอร์ของคนขับรถตู้ จากนั้นผมจึงไปหาเพื่อนผมที่อยู่ที่พัทยา และพากันไปแจ้งความที่โรงพัก ผมจึงเล่าเรื่องดังกล่าวให้ตำรวจฟัง ตอนแรกตำรวจจะไม่รับแจ้งความเพราะเหตุไม่ได้เกิดในท้องที่เขา (แต่ผมมั่นใจว่าคนขับรถตู้เพิ่งมาเห็นกระเป๋าผมตอนเช้า และรื้อค้นกระเป๋าผมหลังทราบจากนายท่าว่ามีผู้โดยสารถูกทิ้งและสัมภาระติดรถตู้ไป ผมมั่นใจว่าเขาต้องเริ่มคิดขโมยก่อนถึงท่ารถที่พัทยา) ตำรวจแนะนำให้ผมไปเคลียก่อนที่จะแจ้งความ ผมจึงได้นำเบอร์ของคนขับรถตู้ให้ทางตำรวจไป ตำรวจนายดังกล่าวจึงได้โทรไปติดต่อทางคิวรถตู้ ทางคนขับและคิวรถตู้ขอเคลียค่าเสียหายกับผม ผมได้เรียกค่าเสียหายไปเป็นจำนวน 25,000 บาท ทางคนขับรถตู้ได้บอกผมว่า ให้ไปคุยกับทางเถ้าแก่ของเขาที่คิวรถ เมื่อไปถึงที่คิวรถเขาก็ยืนยันว่าทางคนของเขาไม่ได้เป็นคนนำของผมไปแน่นอน ผมอบรมลูกน้องมาดี ไม่มีทางที่จะทำกับผู้โดยสารแบบนี้หรอก เขาก็ถามผมว่าจะเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไร ผมบอกจำนวน 250,00 บาทไป เขาก็บอกว่าให้มากแบบนั้นไม่ได้หรอก ผมบอกเขาว่าทำไมจะไม่ได้เฉพาะโน๊ตบุ๊คผมก็ 23,000 บาทแล้ว ยังไม่รวมข้าวของอื่นๆ ค่าเดินทางและโทรศัพท์อีก(เป็นโทรศัพท์ที่ผมใช้มานานมาก) เขาก็บอกว่ามันก็ช่วยได้แค้นิดหน่อย แต่จะให้จ่าย 23,000 ไม่ไหวหรอก ผมบอกว่าเป็นเพราะคนขับรถตู้ที่เป็นลูกน้องของเขา เป็นต้นเหตุทำให้กระเป๋าของผมหาย เขาก็บอก งั้นเอางี้ รอไว้มาคุยกับทางคนที่ขับรถตู้และเขาในตอนเย็น แต่ตอนหลังเขาได้เลื่อนเวลาเป็นพรุ่งนี้เช้า

28 กันยายน 2557 ผมจึงได้เดินทางกลับมาเพื่อหาที่พักบริเวณใกล้ๆบ้านเพื่อนที่ผมรู้จัก ผมรอคิวรถตู้ติดต่อมาจนเช้าของวันที่ 29 กันยายน 2557 เวลา 10.40 น.  ก็ยังไม่ได้ติดต่อมา ผมจึงโทรเข้าเบอร์คนขับรถตู้ เขาบอกว่ากำลังขับรถรับผู้โดยสารเข้ากรุงเทพ และเขาไม่มีเงินที่จะใช้ค่าเสียหายให้ตามที่ผมเรียกร้องได้หรอก ผมเลยบอกว่างั้นผมขอเบอร์ของเถ้าแก่คุณ เขาก็ตอบกลับมาว่าได้ งั้นเดี๋ยวผมโทรกลับ จากนั้นเขาก็วางสายไป คนขับรถตู้ก็ไม่ได้ติดต่อกลับมา พอผมโทรกลับไปเขาก็ไม่รับสาย ผมจึงโทรหานายท่าอู๊ดแทน ทางนั้นจึงแจ้งมาว่าทางเขาจ่ายให้ได้แค่ 5,000 เท่านั้น ผมจึงตอบกลับไปว่า ถ้าจ่ายได้แค่ 5000 ผมไม่เอา งั้นผมขอเลขทะเบียนรถตู้ที่หมายเลขข้างรถ 48-15 นายท่าอู๊ดจึงตอบว่าเดี๋ยวผมติดต่อกลับไป ผมจะสอบถามให้ จากนั้นนายท่าคนนี้ก็หายสาบสูญไป ไม่รับสายผมเช่นกัน ผมจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความลักทรัพย์ที่โรงพักเมืองพัทยา ผมได้กล่าวหาว่าทางรถคนขับรถตู้เป็นคนลักทรัพย์ของผมไป ตำรวจได้นัดผมสอบปากคำในเย็นวันที่ 29 กันยายน 2557  เวลา 18.00 น.

29 กันยายน 2557 เจ้าหน้ากลับโทรมาแจ้งว่า คุณอย่าเพิ่งเข้ามา ผมยังเคลียร์งานไม่เสร็จ ขอเลื่อนเป็นวันที่ 30 กันยายน 2557 เวลา 08.00 น. แทน

30 กันยายน 2557 ผมจึงเดินทางไปให้ปากคำที่โรงพัก พร้อมกับร้องเรียนไปทางกรมขนส่ง และทางกรมขนส่งได้ติดต่อกลับมาว่า ทราบแล้วว่ามีนายท่าชื่อนี้จริง ทราบเรื่องแล้วว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงจากการสอบถาม เขาจึงบอกว่าจะนัดเพื่อที่จะสอบสวนเรื่องดังกล่าว ทางกรมขนส่งจึงแจ้งเรื่องกลับมาว่า คิวรถตู้นี้ยังไม่ได้ส่งค่างวดคิวเมื่อเดือนที่แล้ว  และตอนนี้ฃทางคิวรถตู้ปิดโทรศัพท์มือถือหนี ทำให้ทางกรมขนส่งติดต่อไม่ได้  และจะติดต่อผมมาอีกทีพรุ่งนี้ (1 ตุลาคม 2557)

ปล1. ฝากเป็นอุทาหรณ์ ก่อนจะขึ้นรถตู้ครั้งต่อไปอย่าลืมดูเลขข้างรถ สาย เลขทะเบียน เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบผม
ปล2. ขณะนี้เรื่องนี้ได้ดำเนินการอยู่ และผมยังอยู่ที่พัทยาครับ
ปล3.ผมยืมไอดีน้องมาโพส
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่