คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
ผมขอแชร์ประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาครับ
เรื่องมีอยู่ว่าผมไปค้ำประกันสินเชื่อของธนาคารสีชมพูให้พี่สาวแท้ๆ ครับ ยอดหนี้แค่ 50000 บาทเท่านั้น แต่พี่สาวไม่เคยผ่อนชำระกับทางธนาคารเลยแม้แต่งวดเดียว ยาวนานมากกว่า 2 ปี ไม่เคยส่งค่างวดเลย ผลสุดท้ายเลยโดนฟ้องไปตามระเบียบ ผมกลายเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน เวลาไปขึ้นศาลพี่สาวผมก็ไปขึ้นคนเดียวครับ พอผมสอบถามพี่สาวก็บอกว่าเรียบร้อยๆ เจรจาต่อรองขอประนอมหนี้เรียบร้อยแล้ว ทำไปทำมาพี่สาวผมก็ไม่ส่งค่างวดอีกหลังจากประนอมหนี้ ทำให้ธนาคารสืบทรัพย์ ซึ่งพี่สาวผมไม่มีทรัพย์ใดๆ เลย แต่ผมมีบ้านพร้อมที่ดิน ทำให้ศาลสั่งให้นำบ้านผมขายทอดตลาดครับ เครียดเลยตอนนั้น ทำไงล่ะทีนี้ กลายเป็นว่าผมต้องรับผิดชอบเองทุกอย่าง จากยอดหนี้แค่ 50000 เมื่อรวมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วหนี้กลายเป็น 1 แสนเศษๆ ผมจึงต้องรับใช้หนี้ทุกอย่างเลยครับ โดยเริ่มจากขอเจรจาต่อรองกับทางธนาคารเพื่อให้ระงับการขายทอดตลาด จากนั้นก็ขอปิดบัญชีหนี้ครับ ซึ่งผมทำเรื่องขอปิดไปยังธนาคารที่ยอดชำระ 50000 บาท(กะว่าใช้ต้นให้ธนาคารคงพอใจ) โดยต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวฝากเข้าบัญชีแล้ว ธนาคารจะระงับบัญชีผมไว้ รอคณะกรรมการธนาคารอนุมัติผลปิดบัญชีประมาณ 3 เดือน(ยาวนานมาก เพิ่งทราบผลเมื่อ 22/09/57 ที่ผ่านมา) ผลปรากฎว่าธนาคารไม่ยอมครับ จะให้ผมปิดที่ยอดเต็มจำนวนทั้งหมด เนื่องจากธนาคารเห็นว่าผมมีทรัพย์ที่ยึดไว้เตรียมขายทอดตลาดรอไว้แล้ว ผมจึงต้องจำใจยอมปิดยอดหนี้เต็มๆ ทั้งหมด เฮ้อๆ มิฉะนั้นก็จะไม่มีบ้านอยู่กันเลยทีนี้เดือดร้อนกันไปใหญ่ ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมก็นำเงินส่วนที่เหลือไปปิดบัญชีที่ธนาคาร(สาขาเซนทรัลลาดพร้าว) มาเรียบร้อย โล่งไปหนึ่งเปาะ แต่เรื่องยังไม่จบครับ เหลือแค่รอเจ้าหน้าธนาคารนัดวันไปที่กรมบังคับคดีเพื่อถอนการขายทอดตลาดแล้วก็ถอนคดีครับ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า(แนะนำๆ ครับ)
1.ในฐานะผู้ค้ำประกัน เราจะเพิกเฉยมิได้ หนี้เขา = หนี้เรา ขอให้พูดคุยตกลงกันกับผู้กู้ให้เคลียร์ๆ กันไปเลยว่าจะจ่ายหนี้กันยังไง ได้แค่ไหน ช่วยกันผ่อนก็ยังดี
2.เมื่อเรื่องถึงชั้นศาลแล้ว ขอให้ไปขึ้นศาลด้วยตัวเองครับ(พกยาทัมใจไปด้วย)
3.กรณีของ จขกท. นั้นควรรีบติดต่อไปที่ธนาคารนะครับ ว่าเราจะทำอย่างไรได้บ้าง เล่าข้อเท็จจริงให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจรจาต่อรอง แล้วคงต้องเตรียมใช้หนี้แทน จะขอตกลงผ่อนชำระอะไรก็ว่าไป(เอาเท่าที่เราไหวนะครับ) หรือมีเงินก้อนก็ขอปิดบัญชีไปเลย ซึ่งยอดปิดก็แล้วแต่ละธนาคารครับ
4.ทรัพย์ที่ถูกยึดนั้นเป็นอะไรครับ ถ้าเป็นบ้านพร้อมที่ดินอย่างกรณีผมก็แย่หน่อยครับ แต่ถ้าเป็นรถยนต์ก็ต้องพิจารณากันอีกทีครับ
ปล.ฝากบอกเอด้วย มีหลายแนวทางในการหาทางออกครับ แต่ที่แน่ๆ ต้องทำใจใช้หนี้แทนบีชัวร์ๆ(ทำใจยากมากเพราะเป็นหนี้ที่เราไม่ได้ก่อ) สู้ๆ ครับ
เรื่องมีอยู่ว่าผมไปค้ำประกันสินเชื่อของธนาคารสีชมพูให้พี่สาวแท้ๆ ครับ ยอดหนี้แค่ 50000 บาทเท่านั้น แต่พี่สาวไม่เคยผ่อนชำระกับทางธนาคารเลยแม้แต่งวดเดียว ยาวนานมากกว่า 2 ปี ไม่เคยส่งค่างวดเลย ผลสุดท้ายเลยโดนฟ้องไปตามระเบียบ ผมกลายเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน เวลาไปขึ้นศาลพี่สาวผมก็ไปขึ้นคนเดียวครับ พอผมสอบถามพี่สาวก็บอกว่าเรียบร้อยๆ เจรจาต่อรองขอประนอมหนี้เรียบร้อยแล้ว ทำไปทำมาพี่สาวผมก็ไม่ส่งค่างวดอีกหลังจากประนอมหนี้ ทำให้ธนาคารสืบทรัพย์ ซึ่งพี่สาวผมไม่มีทรัพย์ใดๆ เลย แต่ผมมีบ้านพร้อมที่ดิน ทำให้ศาลสั่งให้นำบ้านผมขายทอดตลาดครับ เครียดเลยตอนนั้น ทำไงล่ะทีนี้ กลายเป็นว่าผมต้องรับผิดชอบเองทุกอย่าง จากยอดหนี้แค่ 50000 เมื่อรวมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วหนี้กลายเป็น 1 แสนเศษๆ ผมจึงต้องรับใช้หนี้ทุกอย่างเลยครับ โดยเริ่มจากขอเจรจาต่อรองกับทางธนาคารเพื่อให้ระงับการขายทอดตลาด จากนั้นก็ขอปิดบัญชีหนี้ครับ ซึ่งผมทำเรื่องขอปิดไปยังธนาคารที่ยอดชำระ 50000 บาท(กะว่าใช้ต้นให้ธนาคารคงพอใจ) โดยต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวฝากเข้าบัญชีแล้ว ธนาคารจะระงับบัญชีผมไว้ รอคณะกรรมการธนาคารอนุมัติผลปิดบัญชีประมาณ 3 เดือน(ยาวนานมาก เพิ่งทราบผลเมื่อ 22/09/57 ที่ผ่านมา) ผลปรากฎว่าธนาคารไม่ยอมครับ จะให้ผมปิดที่ยอดเต็มจำนวนทั้งหมด เนื่องจากธนาคารเห็นว่าผมมีทรัพย์ที่ยึดไว้เตรียมขายทอดตลาดรอไว้แล้ว ผมจึงต้องจำใจยอมปิดยอดหนี้เต็มๆ ทั้งหมด เฮ้อๆ มิฉะนั้นก็จะไม่มีบ้านอยู่กันเลยทีนี้เดือดร้อนกันไปใหญ่ ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมก็นำเงินส่วนที่เหลือไปปิดบัญชีที่ธนาคาร(สาขาเซนทรัลลาดพร้าว) มาเรียบร้อย โล่งไปหนึ่งเปาะ แต่เรื่องยังไม่จบครับ เหลือแค่รอเจ้าหน้าธนาคารนัดวันไปที่กรมบังคับคดีเพื่อถอนการขายทอดตลาดแล้วก็ถอนคดีครับ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า(แนะนำๆ ครับ)
1.ในฐานะผู้ค้ำประกัน เราจะเพิกเฉยมิได้ หนี้เขา = หนี้เรา ขอให้พูดคุยตกลงกันกับผู้กู้ให้เคลียร์ๆ กันไปเลยว่าจะจ่ายหนี้กันยังไง ได้แค่ไหน ช่วยกันผ่อนก็ยังดี
2.เมื่อเรื่องถึงชั้นศาลแล้ว ขอให้ไปขึ้นศาลด้วยตัวเองครับ(พกยาทัมใจไปด้วย)
3.กรณีของ จขกท. นั้นควรรีบติดต่อไปที่ธนาคารนะครับ ว่าเราจะทำอย่างไรได้บ้าง เล่าข้อเท็จจริงให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจรจาต่อรอง แล้วคงต้องเตรียมใช้หนี้แทน จะขอตกลงผ่อนชำระอะไรก็ว่าไป(เอาเท่าที่เราไหวนะครับ) หรือมีเงินก้อนก็ขอปิดบัญชีไปเลย ซึ่งยอดปิดก็แล้วแต่ละธนาคารครับ
4.ทรัพย์ที่ถูกยึดนั้นเป็นอะไรครับ ถ้าเป็นบ้านพร้อมที่ดินอย่างกรณีผมก็แย่หน่อยครับ แต่ถ้าเป็นรถยนต์ก็ต้องพิจารณากันอีกทีครับ
ปล.ฝากบอกเอด้วย มีหลายแนวทางในการหาทางออกครับ แต่ที่แน่ๆ ต้องทำใจใช้หนี้แทนบีชัวร์ๆ(ทำใจยากมากเพราะเป็นหนี้ที่เราไม่ได้ก่อ) สู้ๆ ครับ
แสดงความคิดเห็น
ธนาคารจะยึดทรัพย์ผู้ค้ำประกัน ทำไงดี
เป็นเรื่องของ เพื่อนร่วมงานที่ทำงาน เพื่อนเราคนนี้ สมมติชื่อ เอ ไปค้ำประกันเงินกู้ให้กับเพื่อนอีกคนชื่อ บี เป็นการต่างค้ำกันเองกับธนาคารแห่งหนึ่ง คือ เอกู้บีค้ำ - บีกู้เอค้ำ ตอนแรกๆบีก็ชำระหนี้ปกติไม่มีปัญหาอะไร แต่ บีเป็นคนใช้เงินมือเติบสุรุ่ยสุร่ายมาก เป็นหนี้ไปทั่วทุกสถาบันการเงิน โดยที่ไม่มีใครเอะใจเลย และไม่ยอมชำระหนี้คืนแก่เจ้าหนี้ มาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนเจ้าหนี้ฟ้องศาล แต่ เอก็ยังไปขึ้นศาลคนเดียวโดยไม่แจ้งบีเลย แค่มาบอกว่าไกล่เกลี่ยกันได้แล้ว บีจึงนอนใจ จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารมีคำสั่งศาลสั่งยึดทรัพย์ผู้ค้ำประกัน คือ เอ เพื่อชำระหนี้ที่ บีไม่ยอมจ่าย เมื่อไปสอบถาม บี ...บีบอกว่าตนพร้อมยอมล้มละลาย เพราะ บีไม่มีทรัพย์สินใดๆเป็นชื่อตนเองเลยแม้แต่อย่างเดียว ธนาคารจึงไม่สามารถตามยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ได้ จึงมาบีบเอาที่ผู้ค้ำประกันแทน และ บีก็ยอมที่ จะให้ไล่ออกจากงาน แต่บียังคงใช้เงินมือเติบเหมือนเดิม และไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิดแม้แต่น้อยเลย ยังคงเริงร่ามาทำงานปกติทุกวัน ทั้งที่ผู้ค้ำประกันกำลังโดนธนาคารยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ ที่ตนเองไม่ได้ก่อ หรือนำไปใช้เลย ลำพังหนี้ตนเองก็ท่วมหัวอยู่แล้ว
อยากปรึกษาพี่ๆ ในพันทิปว่าพอมีคำแนะนำบ้างไหมค่ะ ที่จะช่วยเพื่อนได้ค่ะ เพราะที่จริง ก็เกือบเป็นเรื่องของ จขกท แล้ว เพราะ จขกท ค้ำให้ เอ ด้วย ถ้าเอ ล้มละลาย หรือ ไม่มีเงินชำระหนี้ รายต่อไปก็คงเป็น จขกท. ด้วยเหมือนกันค่ะ จึงอยากขอคำแนะนำด้วยค่ะ ยาวหน่อยขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ