อะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะทำสักครั้งในชีวิต? เที่ยวรอบโลก, เป็นเจ้าของซุปเปอร์คาร์, กระทบไหล่กับดาราหรือศิลปินคนโปรด หรือการพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส???
ผมคิดว่าหลายคนต้องมีสิ่งที่อยากจะทำสักครั้งก่อนตาย... นั่นคือสิ่งคือสิ่งที่ผมคิดก่อนตัดสินใจสมัครวิ่งกรุงเทพมาราธอน
เป็นอารมณ์ต่อเนื่องจากงานวิ่ง ADIDAS KING OF THE ROAD 2012 (กระทู้ที่ผมเขียนเรื่องงานนี้
http://ppantip.com/topic/32565123) ไหนๆก็วิ่งมาแล้ว 16.8 กิโล เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจในทางที่ดีขึ้นประกอบกับการที่เห็นเพื่อนๆเป็นเก๊า เป็นมะเร็ง ทั้งๆที่มีอายุกันแค่เลข 3-4 เซ็งกับชีวิต งานและเงินช่วงนั้นก็ไม่ดี งั้นไปวิ่งมาราธอนเลยแล้วกัน!!!!!!
ก่อนอื่นขออธิบายสั้นๆสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าวิ่งมาราธอนนั้นระยะทางเท่าไหร่และมีกี่ประเภทหลักๆ
มาราธอน : 42.195 กิโล
ฮาร์ฟมาราธอน : 21 กิโล
มินิมาราธอน : 10 กิโล
ไมโครมาราธอนหรือฟันรัน : 5 กิโล (บางงานอาจมีระยะสั้นกว่านี้)
อัลทรามาราธอน : มากกว่า 42.195 เช่น 50, 100 กิโล, 100 ไมล์ (160 กิโล)
ผมเห็นบ่อยมากตามโซเชียลเน็ทเวิร์ค รูปงานฟันรันแต่โพสต์ว่าวิ่งมาราธอน หลายคนแต่งหน้าแต่งตัวสวยงามเหมือนไปเดินแฟชั่นรันเวย์หรือเที่ยวผับแดนซ์กระจาย อันนี้ไม่ว่ากัน การออกกำลังกายดีหมดแหละครับแต่อยากให้เข้าใจถึงประเภทงานวิ่งที่คุณลง
จากความเดิมตอนที่แล้ว ผมต้องหารองเท้าวิ่งใหม่เนื่องจากคู่ที่มีอยู่เล็กไปและทำให้เล็บดำจนหลุด ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ผมมีงบประมาณจำกัดจึงทำให้ต้องคิดมากขึ้นในการเลือกหารองเท้าคู่ใหม่ไปวิ่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิต รองเท้าแบบไหนที่เหมาะกับการวิ่งมาราธอนเป็นสิ่งที่ผมต้องศึกษาค้นคว้า รองเท้าพื้นหนานุ่ม รองเท้าบางเบา อะไรกันแน่ที่เหมาะกับผม ถ้าให้ผมคิดง่ายๆเลย รองเท้าที่รองรับแรงกระแทก(พวกพื้นหนา) น่าจะเป็นรองเท้าวิ่งมาราธอนที่ถูกต้องที่สุด วิ่งตั้งไกล 4-5 ชั่วโมงถ้ารองเท้าที่รองรับแรกกระแทกไม่ดีมีหวังเข่าพังหมดสภาพก่อนแก่แน่
ถ้าคิดว่ารองเท้าพวกหนานุ่มเป็นรองเท้าที่เหมาะสำหรับการวิ่งระยะไกลที่สุด งั้นทุกยี่ห้อรุ่นที่มันหนาก็คือคำตอบละซิ ใส่ Nike Air หนาสะใจไปเลยดีมั้ย??? แต่แพงครับพวก Air พวก Gel ตอนนั้นไม่มีเงินซื้อครับบวกกับการได้ยินเรื่องราวของ Abebe Bikila นักวิ่งมาราธอนชาวเอธิโอเปียที่ชนะได้เหรียญทองโอลิมปิกด้วยวิ่งเท้าเปล่า แล้วนักวิ่งคนนั้นเข่าของเขาไม่พังเหรอ??? ด้วยเหตุนี้ผมจึงท่องโลกอินเตอร์เนทเพื่อส่องเท้านักวิ่งมาราธอนระดับโลกว่าพวกเขาใส่รองเท้าอะไรกัน เหมือนกับหลายคนที่ชอบส่องรองเท้านักวิ่งท่านอื่นๆเวลาไปวิ่งที่สวนหรือตามงานวิ่ง ตอนนั้นได้ยินว่า New Balance เป็นรองเท้ายอดนิยมของนักวิ่งผมจึงค้นหาข้อมูลรองเท้าและนักวิ่งที่เป็นพรีเซนเตอร์ของเขาจึงได้พบ Youtube Video ของ Anton (Tony) Krupicka
http://www.youtube.com/watch?v=goZNN8h6M6E
พี่แกคนนี้วิ่งมาราธอนมานานมากแล้วตั้งแต่มัธยม เขาบอกว่า42 กิโลมันง่ายไปเลยวิ่ง 100 ไมล์ในป่าซะเลย (160 กิโล) แต่แล้วทำไมพี่แกเอามีดเฉือนพื้นรองเท้าที่ตัวเองใส่วิ่งทิ้ง? ไม่ต้องการพื้นหนาๆไว้รองรับแรงกระแทก?
ไม่กลัวเข่าเสียเหรอ??? เขาบอกว่าเขาหงุดหงิดกับรองเท้าที่หนา เขาต้องการรองเท้าที่บาง รองเท้าที่ทำให้เขาสนใจกับท่าวิ่งตัวเอง ได้รับรู้การสัมผัสพื้นของเท้า รองเท้าที่จะบังคับให้ผู้ใส่พัฒนาตัวเองให้เป็นนักวิ่งที่ดีขึ้น ดู Video นี้แล้วก็คิดว่าพี่แกอาจจะเป็นสายโหดไปสำหรับเรา ลองดูนักวิ่งคนอื่นกับยี่ห้ออื่นบ้างน่าจะดี เผอิญไปเจอ Youtube Video ของ Sketchers ซึ่งเป็นรองเท้าลำลอง (Casual Shoes) ที่ขึ้นชื่อในอเมริกา เดี๋ยวนี้เขาทำรองเท้าวิ่งด้วยเหรอ สมัยตอนอยู่ที่นั่นไม่เคยเห็น
3 Video ด้านล่างคือตัวที่ผมดูเป็นหลัก
Sketchers Go Run Ride
http://www.youtube.com/watch?v=qlhSsuzZa4M
Sketchers Go Run
http://www.youtube.com/watch?v=yOCk_lgQCAw
Sketchers Go Run Bionic
http://www.youtube.com/watch?v=sJSNh4Wn0CM
หลายคนน่าจะรู้จัก Meb Keflezighi เป็นอย่างดี เขาคือผู้ชนะ Boston Marathon ปี 2014 และเป็นผู้ร่วมออกแบบรองเท้ากับ Sketchers หลักการของรองเท้านี้คือเน้นให้ผู้ใส่รู้สึกเป็นธรรมชาติที่สุดกับการวิ่ง ส้นเท้าที่ถูกยกสูงขึ้นช่วยทำให้ท่าวิ่งอยู่ในรูปแบบที่ดีโดยเน้นการลงที่กลางเท้า ท่าวิ่งที่ดีจะลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ สิ่งที่เขาไม่ได้พูดคือรองเท้าเขารองรับแรงกระแทกไม่ให้เข่าคุณเจ็บ ผมยังไม่เคยเห็นโฆษณารองเท้ายี่ห้อไหนบอกว่ารองเท้าของเขาจะป้องกันไม่ทำให้ผู้ใส่เจ็บเข่า
แล้วความเชื่อที่ว่ารองเท้าหนาๆนุ่มๆจะป้องกันการบาดเจ็บมันมาจากไหนใครช่วยบอกที่ ผมตัดสินใจไปลอง Sketchers Go Run Ride และซื้อทันทีที่ได้ลอง ราคาตอนนั้นน่าจะเฉียดๆ 4,000 บาท ใส่สบาย กว้างขวางไม่บีบรัด นุ่มเบาสบาย คุณสามารถบิดม้วนรองเท้าคู่นี้ได้ทุกรูปแบบ ความยืดหยุ่นและทนทานถือว่าสุดยอดเลย ขอบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ของเขาแต่ยอดขายที่ติดอันดับต้นๆในอเมริกาทั้งที่เพิ่งจะเริ่มผลิตรองเท้าวิ่งได่เพียงไม่ถึง 5 ปีน่าจะเป็นสิ่งที่รับประกันถึงคุณภาพของ Sketchers ผมใส่รองเท้าคู่นี้โดยไม่ใส่ถุงเท้าตามที่ Meb Keflezighi ได้ออกแบบและใส่ให้ดูเป็นตัวอย่างในโฆษณา
http://www.youtube.com/watch?v=mG4Di2nytAk วัสดุด้านในรองเท้าที่มีลักษณะนิ่มคล้ายถุงเท้าจึงทำให้ใส่ด้วยกับเท้าเปล่าได้เลย (ควรซักรองเท้าบ่อยๆนะครับ ประเทศไทยอากาศร้อนชื้น)
ได้รองเท้าใหม่ก็เลยของอัพเกรดชุดเป็นชุดวิ่งจริงๆเลยโดยได้เสื้อและกางเกงวิ่งของ Adidas ที่ Outlet ในเมืองทอง จำได้ว่าสองอย่างรวมกันไม่น่าจะเกิน 1,200 บาท ความพร้อมเรื่องอุปกรณ์ถือว่าน่าจะผ่านแลัว คราวนี้เหลือแค่การฝึกซ้อม นี่แหละปัญหา!!!
ผมเข้าไปดูตารางฝึกซ้อมระยะ 42.195 กิโลจากเว็ปไซท์ของกรุงเทพมาราธอนซึ่งปัจจุบันอาจถูกลบออกไปแล้วตามในภาพครับ (เก็บไว้ในโทรศัพย์เลย ต้องทำมันให้ได้)
ดูตารางแล้วยอมรับเลยว่าโหดครับ นี่แหละทำไมหลายคนถึงพูดว่าการวิ่งมาราธอนคือหนึ่งในความท้าทายที่ควรทำสักครั้งก่อนตาย วิ่งสม่ำเสมอกับระยะไกลแบบนี้ต้องใช้ความบ้ามากครับ ความบ้าที่ออกมาทำสิ่งที่เกินกว่าความสามารถของตัวเอง ผมซ้อมวิ่งตามตารางในวินัยเกือบ 100% มีระยะไกลบางวันที่ผมวิ่งไม่จบแต่สัปดาห์ต่อไปก็ต้องซ้ำมันให้จบจนได้ ช่วงวันจันทร์-ศุกร์หรือระยะไม่ไกล 5-13 กิโลผมจะซ้อมที่ศูนย์กีฬาประชาชื่น ส่วนการวิ่งยาวจะไปที่สวนลุมหรือกลับไปวิ่งที่ปากช่องบ้านเกิดของผม(ตามภาพ)
มีสลับตารางบ้างตามความจำเป็นแต่ก็ถือว่าเป็นการซ้อมที่มีระเบียบวินัยมาก ผมผสม cross training เข้าไปบ้าง สรุปว่าเป้าหมายของผมแค่ขอให้วิ่งจบเพราะหากดูตามตาราง ระยะไกลที่สุดคือ 30 กิโล แล้ววันจริงมันจะไหวหรือ??? แน่นอนครับว่าผมต้องผึ่งกำลังใจจากการอฐิษฐานกับพระเจ้าตลอดการฝึกซ้อม ในบางครั้งระหว่างการซ้อมก็คิดในใจว่าเราวิ่งไปทำไม เหนื่อยจะตาย เพื่อนคนอื่นเขากินดื่มปาร์ตี้นอนตื่นสายสบายๆ ที่แน่ๆการฝึกฝนครั้งนี้ทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งขึ้น ใจที่ไม่ยอมแพ้คือกติกาของการวิ่งมาราธอนสำหรับผม ช่วงนั้นหลักการของการวิ่งและโภชนาการยังไม่มีเท่าไหร่อาศัยใจสั่งมาอย่างเดียว
วันศุกร์ก่อนแข่งไปรับเบอร์เองที่สโมสรทหารบกเอง วุ่นวายยุ่งยากใช้ได้ แต่ตอนนั้นไม่รู้หรอกงานวิ่งจัดดีไม่ดีเป็นยังไง ก่อนวันแข่ง 2วันผมพักและซักรองเท้า หาข้อมูลอ่านเกี่ยวกับบรรยากาศงานวิ่งมาราธอน สิ่งที่ต้องระวังสำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างผมคือการพยายามวิ่งด้วยความเร็วของตัวเองและความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงช่วงกิโลที่ 28 ใจจริงอยากเห็นคนออกมาเชียร์เหมือนในต่างประเทศและแอบหวังในใจแต่วันจริงไม่มีเลยครับ เชียร์กันเองระหว่างผู้จัดกับนักวิ่ง คิดแล้วแอบน่าหดหู่
เช้าวันงานวิ่งผมไปถึงงานประมาณตี 3 งานนี้ไปคนเดียว ไม่พกอะไรไปวิ่งเลยนอกจากใจ (ตอนนั้นยังไม่มีเพื่อนนักวิ่ง งานนี้เรียกว่าลุยเดี่ยวตั้งแต่เริ่มซ้อม) คราวนี้เพื่อนร่วมทาง 42.195 ทั้งไทยและต่างชาติไม่เยอะเหมือน 16.8 กิโลแต่ทุกคนมีความมุ่งมั่นกว่ามาก แอบมองรองเท้านักวิ่งทั้งหลายสรุปว่ามีแทบทุกแบบทุกยี่ห้อครับที่นำมาใส่วิ่งมาราธอนตั้งแต่พื้นบางแบบเท้าเปล่าไปจนถึงพื้นหนาๆ ถึงเวลาปล่อยตัวตี 4.30 ออกวิ่งไปเรื่อยตามทาง คิดอยู่ในใจว่าถ้าเป็นสมัยก่อนเวลานี้คงปาร์ตี้อยู่ไหนซักที่แต่ตอนนี้มาวิ่งมาราอน จะวิ่งถึงเส้นชัยกี่โมงผมเองคาดเดาไม่ได้เพราะเป็นครั้งแรก รู้อย่างเดียวว่าต้องไปให้ถึง กิโลที่ 12 บนทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนีเจอลุงป้อมที่เคยทักกันที่ศูนย์กีฬาประชาชื่น ผมบอกกับลุงแกว่า "ทำไมมันไกลจัง วิ่งมาตั้งนานแค่ 12 กิโลเอง" ลุงแกตอบผมว่า "ยังอีกไกลแต่วิ่งไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึง" ผมแวะจิบน้ำตามจุดให้น้ำตามที่ลุงแกแนะนำ พอถึงครึ่งทาง 21 กิโล ผมเร่งความเร็วขึ้นจากที่ศึกษามาว่าหากครึ่งทางแล้วยังแรงไม่ตกก็เป็นไปได้ที่จะเร่งเพื่อเวลาที่ดีขึ้น หลังจากนั้นประมาณกิโลที่ 28 มันก็เป็นไปตามคาดครับ ขาเริ่มหนัก ตึง ปวด ครบสูตรเลยทีนี้ ความเร็วตกเป็นเกียร์เต่า โดนแซงตรึมโดยส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นนักวิ่งสูงอายุ!!! จำได้ว่าท่าทางตอนนั้นเหมือนกับนักเดินทนมากกว่านักวิ่ง กิโลที่ 28-36 เป็นช่วงที่ยากที่สุดสำหรับผมเพราะแรงขาและกำลังของร่างกายโดยรวมกำลังแผ่วลงเรื่อยๆ แต่หากใจเราพยายามที่จะจบให้ได้อย่างดีที่สุดอดทนต่อไปเรื่อยๆ เส้นชัยจะไกล้ถึงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ถึงกิโลที่ 38 ผมมั่นใจแล้วว่าจะวิ่งถึงเส้นชัยแน่นอนเลยทำให้มีแรงพยายามฮึดเร่งขึ้นอีก พอเห็นกำแพงพระบรมมหาราชวัง เริ่มได้ยินเสียงเพลง คราวนี้ชัวร์ คอนเฟิร์ม ถึงแน่ และก็ตามสูตรครับ สร้างภาพด้วยการเร่งเร็วสุดชีวิตเข้าเส้นชัย รับเหรียญ น้ำ อาหาร เวลาอย่างเป็นทางการ 4 ชั่วโมง 26 นาที (ปีนั้นให้เหรียญก่อนวิ่ง ไม่รู้ผู้จัดคิดอะไรอยู่)
เวลาดีไม่ดีตอนนั้นไม่รู้ รู้แต่ว่าเราวิ่งจบก็พอใจแล้ว ไม่ได้ถ่ายรูปที่งานเพราะไปคนเดียวตัวเปล่าเลยรีบกลับบ้านเลย หาทางกลับยากมาก ไม่รู้จะทำไงเลยขึ้นรถเมล์เพื่อประชาชนมั่วๆให้ออกจากแถวนั้นและค่อยต่อแท็กซี่กลับบ้าน กลับถึงบ้านจึงได้ถ่ายรูปกลับเหรียญงานวิ่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิต บอกตรงๆว่าปวดและตึงไปทั้งร่างกาย ใจก็ยังสงสัยว่าทรมานอย่างนี้ ฝึกซ้อมหนัก ลำบากขนาดนี้ เราจะวิ่งมาราธอนแบบนี้อีกหรือปล่าว หรือว่ามันจะเป็นแค่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะทำอะไรสุดๆไปเลย สรุปว่าเย็นวันถัดไปก็ออกไปวิ่งเบาๆจึงยอมรับว่าการวิ่งมันทำให้ ร่างกาย จิตใจ แข็งแรงขึ้น ชีวิตโดยรวมดีขึ้น... วิ่งต่อไปเถอะ!!! อาจจะไม่รวยขึ้นเพราะว่างานอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่เราจะบ้าทำแบบข้ามวันข้ามคืนแบบไม่หลับไม่นอนอย่างที่เคยทำ แต่สุขภาพเป็นสิ่งที่เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ผมเคยตอบโทรศัพท์ที่โทรมาขายประกันว่า "ผมแข็งแรง ถึงวันที่ผมอายุ 80 ผมจะวิ่งมาราธอนให้คุณดู" ตอบไปด้วยความรำคาญ จริงๆไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงและจะทำได้หรือปล่าว แต่สิ่งที่แน่นอนคือการวิ่งระยะไกลจะเปลี่ยนชีวิตของคุณแน่นอนหากคุณได้ลองสักครั้ง
FB :
https://www.facebook.com/Jazzyfrankjazz
IG : jazzyfrank
#กรุงเทพมาราธอน
กรุงเทพมาราธอน2012 ขอให้ได้ทำมันสักครั้งในชีวิต (มาราธอนครั้งแรกของผม)
อะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะทำสักครั้งในชีวิต? เที่ยวรอบโลก, เป็นเจ้าของซุปเปอร์คาร์, กระทบไหล่กับดาราหรือศิลปินคนโปรด หรือการพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส???
ผมคิดว่าหลายคนต้องมีสิ่งที่อยากจะทำสักครั้งก่อนตาย... นั่นคือสิ่งคือสิ่งที่ผมคิดก่อนตัดสินใจสมัครวิ่งกรุงเทพมาราธอน
เป็นอารมณ์ต่อเนื่องจากงานวิ่ง ADIDAS KING OF THE ROAD 2012 (กระทู้ที่ผมเขียนเรื่องงานนี้ http://ppantip.com/topic/32565123) ไหนๆก็วิ่งมาแล้ว 16.8 กิโล เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจในทางที่ดีขึ้นประกอบกับการที่เห็นเพื่อนๆเป็นเก๊า เป็นมะเร็ง ทั้งๆที่มีอายุกันแค่เลข 3-4 เซ็งกับชีวิต งานและเงินช่วงนั้นก็ไม่ดี งั้นไปวิ่งมาราธอนเลยแล้วกัน!!!!!!
ก่อนอื่นขออธิบายสั้นๆสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่าวิ่งมาราธอนนั้นระยะทางเท่าไหร่และมีกี่ประเภทหลักๆ
มาราธอน : 42.195 กิโล
ฮาร์ฟมาราธอน : 21 กิโล
มินิมาราธอน : 10 กิโล
ไมโครมาราธอนหรือฟันรัน : 5 กิโล (บางงานอาจมีระยะสั้นกว่านี้)
อัลทรามาราธอน : มากกว่า 42.195 เช่น 50, 100 กิโล, 100 ไมล์ (160 กิโล)
ผมเห็นบ่อยมากตามโซเชียลเน็ทเวิร์ค รูปงานฟันรันแต่โพสต์ว่าวิ่งมาราธอน หลายคนแต่งหน้าแต่งตัวสวยงามเหมือนไปเดินแฟชั่นรันเวย์หรือเที่ยวผับแดนซ์กระจาย อันนี้ไม่ว่ากัน การออกกำลังกายดีหมดแหละครับแต่อยากให้เข้าใจถึงประเภทงานวิ่งที่คุณลง
จากความเดิมตอนที่แล้ว ผมต้องหารองเท้าวิ่งใหม่เนื่องจากคู่ที่มีอยู่เล็กไปและทำให้เล็บดำจนหลุด ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ผมมีงบประมาณจำกัดจึงทำให้ต้องคิดมากขึ้นในการเลือกหารองเท้าคู่ใหม่ไปวิ่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิต รองเท้าแบบไหนที่เหมาะกับการวิ่งมาราธอนเป็นสิ่งที่ผมต้องศึกษาค้นคว้า รองเท้าพื้นหนานุ่ม รองเท้าบางเบา อะไรกันแน่ที่เหมาะกับผม ถ้าให้ผมคิดง่ายๆเลย รองเท้าที่รองรับแรงกระแทก(พวกพื้นหนา) น่าจะเป็นรองเท้าวิ่งมาราธอนที่ถูกต้องที่สุด วิ่งตั้งไกล 4-5 ชั่วโมงถ้ารองเท้าที่รองรับแรกกระแทกไม่ดีมีหวังเข่าพังหมดสภาพก่อนแก่แน่
ถ้าคิดว่ารองเท้าพวกหนานุ่มเป็นรองเท้าที่เหมาะสำหรับการวิ่งระยะไกลที่สุด งั้นทุกยี่ห้อรุ่นที่มันหนาก็คือคำตอบละซิ ใส่ Nike Air หนาสะใจไปเลยดีมั้ย??? แต่แพงครับพวก Air พวก Gel ตอนนั้นไม่มีเงินซื้อครับบวกกับการได้ยินเรื่องราวของ Abebe Bikila นักวิ่งมาราธอนชาวเอธิโอเปียที่ชนะได้เหรียญทองโอลิมปิกด้วยวิ่งเท้าเปล่า แล้วนักวิ่งคนนั้นเข่าของเขาไม่พังเหรอ??? ด้วยเหตุนี้ผมจึงท่องโลกอินเตอร์เนทเพื่อส่องเท้านักวิ่งมาราธอนระดับโลกว่าพวกเขาใส่รองเท้าอะไรกัน เหมือนกับหลายคนที่ชอบส่องรองเท้านักวิ่งท่านอื่นๆเวลาไปวิ่งที่สวนหรือตามงานวิ่ง ตอนนั้นได้ยินว่า New Balance เป็นรองเท้ายอดนิยมของนักวิ่งผมจึงค้นหาข้อมูลรองเท้าและนักวิ่งที่เป็นพรีเซนเตอร์ของเขาจึงได้พบ Youtube Video ของ Anton (Tony) Krupicka http://www.youtube.com/watch?v=goZNN8h6M6E
พี่แกคนนี้วิ่งมาราธอนมานานมากแล้วตั้งแต่มัธยม เขาบอกว่า42 กิโลมันง่ายไปเลยวิ่ง 100 ไมล์ในป่าซะเลย (160 กิโล) แต่แล้วทำไมพี่แกเอามีดเฉือนพื้นรองเท้าที่ตัวเองใส่วิ่งทิ้ง? ไม่ต้องการพื้นหนาๆไว้รองรับแรงกระแทก?
ไม่กลัวเข่าเสียเหรอ??? เขาบอกว่าเขาหงุดหงิดกับรองเท้าที่หนา เขาต้องการรองเท้าที่บาง รองเท้าที่ทำให้เขาสนใจกับท่าวิ่งตัวเอง ได้รับรู้การสัมผัสพื้นของเท้า รองเท้าที่จะบังคับให้ผู้ใส่พัฒนาตัวเองให้เป็นนักวิ่งที่ดีขึ้น ดู Video นี้แล้วก็คิดว่าพี่แกอาจจะเป็นสายโหดไปสำหรับเรา ลองดูนักวิ่งคนอื่นกับยี่ห้ออื่นบ้างน่าจะดี เผอิญไปเจอ Youtube Video ของ Sketchers ซึ่งเป็นรองเท้าลำลอง (Casual Shoes) ที่ขึ้นชื่อในอเมริกา เดี๋ยวนี้เขาทำรองเท้าวิ่งด้วยเหรอ สมัยตอนอยู่ที่นั่นไม่เคยเห็น
3 Video ด้านล่างคือตัวที่ผมดูเป็นหลัก
Sketchers Go Run Ride http://www.youtube.com/watch?v=qlhSsuzZa4M
Sketchers Go Run http://www.youtube.com/watch?v=yOCk_lgQCAw
Sketchers Go Run Bionic http://www.youtube.com/watch?v=sJSNh4Wn0CM
หลายคนน่าจะรู้จัก Meb Keflezighi เป็นอย่างดี เขาคือผู้ชนะ Boston Marathon ปี 2014 และเป็นผู้ร่วมออกแบบรองเท้ากับ Sketchers หลักการของรองเท้านี้คือเน้นให้ผู้ใส่รู้สึกเป็นธรรมชาติที่สุดกับการวิ่ง ส้นเท้าที่ถูกยกสูงขึ้นช่วยทำให้ท่าวิ่งอยู่ในรูปแบบที่ดีโดยเน้นการลงที่กลางเท้า ท่าวิ่งที่ดีจะลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ สิ่งที่เขาไม่ได้พูดคือรองเท้าเขารองรับแรงกระแทกไม่ให้เข่าคุณเจ็บ ผมยังไม่เคยเห็นโฆษณารองเท้ายี่ห้อไหนบอกว่ารองเท้าของเขาจะป้องกันไม่ทำให้ผู้ใส่เจ็บเข่า แล้วความเชื่อที่ว่ารองเท้าหนาๆนุ่มๆจะป้องกันการบาดเจ็บมันมาจากไหนใครช่วยบอกที่ ผมตัดสินใจไปลอง Sketchers Go Run Ride และซื้อทันทีที่ได้ลอง ราคาตอนนั้นน่าจะเฉียดๆ 4,000 บาท ใส่สบาย กว้างขวางไม่บีบรัด นุ่มเบาสบาย คุณสามารถบิดม้วนรองเท้าคู่นี้ได้ทุกรูปแบบ ความยืดหยุ่นและทนทานถือว่าสุดยอดเลย ขอบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ของเขาแต่ยอดขายที่ติดอันดับต้นๆในอเมริกาทั้งที่เพิ่งจะเริ่มผลิตรองเท้าวิ่งได่เพียงไม่ถึง 5 ปีน่าจะเป็นสิ่งที่รับประกันถึงคุณภาพของ Sketchers ผมใส่รองเท้าคู่นี้โดยไม่ใส่ถุงเท้าตามที่ Meb Keflezighi ได้ออกแบบและใส่ให้ดูเป็นตัวอย่างในโฆษณา http://www.youtube.com/watch?v=mG4Di2nytAk วัสดุด้านในรองเท้าที่มีลักษณะนิ่มคล้ายถุงเท้าจึงทำให้ใส่ด้วยกับเท้าเปล่าได้เลย (ควรซักรองเท้าบ่อยๆนะครับ ประเทศไทยอากาศร้อนชื้น)
ได้รองเท้าใหม่ก็เลยของอัพเกรดชุดเป็นชุดวิ่งจริงๆเลยโดยได้เสื้อและกางเกงวิ่งของ Adidas ที่ Outlet ในเมืองทอง จำได้ว่าสองอย่างรวมกันไม่น่าจะเกิน 1,200 บาท ความพร้อมเรื่องอุปกรณ์ถือว่าน่าจะผ่านแลัว คราวนี้เหลือแค่การฝึกซ้อม นี่แหละปัญหา!!!
ผมเข้าไปดูตารางฝึกซ้อมระยะ 42.195 กิโลจากเว็ปไซท์ของกรุงเทพมาราธอนซึ่งปัจจุบันอาจถูกลบออกไปแล้วตามในภาพครับ (เก็บไว้ในโทรศัพย์เลย ต้องทำมันให้ได้)
ดูตารางแล้วยอมรับเลยว่าโหดครับ นี่แหละทำไมหลายคนถึงพูดว่าการวิ่งมาราธอนคือหนึ่งในความท้าทายที่ควรทำสักครั้งก่อนตาย วิ่งสม่ำเสมอกับระยะไกลแบบนี้ต้องใช้ความบ้ามากครับ ความบ้าที่ออกมาทำสิ่งที่เกินกว่าความสามารถของตัวเอง ผมซ้อมวิ่งตามตารางในวินัยเกือบ 100% มีระยะไกลบางวันที่ผมวิ่งไม่จบแต่สัปดาห์ต่อไปก็ต้องซ้ำมันให้จบจนได้ ช่วงวันจันทร์-ศุกร์หรือระยะไม่ไกล 5-13 กิโลผมจะซ้อมที่ศูนย์กีฬาประชาชื่น ส่วนการวิ่งยาวจะไปที่สวนลุมหรือกลับไปวิ่งที่ปากช่องบ้านเกิดของผม(ตามภาพ)
มีสลับตารางบ้างตามความจำเป็นแต่ก็ถือว่าเป็นการซ้อมที่มีระเบียบวินัยมาก ผมผสม cross training เข้าไปบ้าง สรุปว่าเป้าหมายของผมแค่ขอให้วิ่งจบเพราะหากดูตามตาราง ระยะไกลที่สุดคือ 30 กิโล แล้ววันจริงมันจะไหวหรือ??? แน่นอนครับว่าผมต้องผึ่งกำลังใจจากการอฐิษฐานกับพระเจ้าตลอดการฝึกซ้อม ในบางครั้งระหว่างการซ้อมก็คิดในใจว่าเราวิ่งไปทำไม เหนื่อยจะตาย เพื่อนคนอื่นเขากินดื่มปาร์ตี้นอนตื่นสายสบายๆ ที่แน่ๆการฝึกฝนครั้งนี้ทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งขึ้น ใจที่ไม่ยอมแพ้คือกติกาของการวิ่งมาราธอนสำหรับผม ช่วงนั้นหลักการของการวิ่งและโภชนาการยังไม่มีเท่าไหร่อาศัยใจสั่งมาอย่างเดียว
วันศุกร์ก่อนแข่งไปรับเบอร์เองที่สโมสรทหารบกเอง วุ่นวายยุ่งยากใช้ได้ แต่ตอนนั้นไม่รู้หรอกงานวิ่งจัดดีไม่ดีเป็นยังไง ก่อนวันแข่ง 2วันผมพักและซักรองเท้า หาข้อมูลอ่านเกี่ยวกับบรรยากาศงานวิ่งมาราธอน สิ่งที่ต้องระวังสำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อย่างผมคือการพยายามวิ่งด้วยความเร็วของตัวเองและความเป็นไปได้ที่จะหมดแรงช่วงกิโลที่ 28 ใจจริงอยากเห็นคนออกมาเชียร์เหมือนในต่างประเทศและแอบหวังในใจแต่วันจริงไม่มีเลยครับ เชียร์กันเองระหว่างผู้จัดกับนักวิ่ง คิดแล้วแอบน่าหดหู่
เช้าวันงานวิ่งผมไปถึงงานประมาณตี 3 งานนี้ไปคนเดียว ไม่พกอะไรไปวิ่งเลยนอกจากใจ (ตอนนั้นยังไม่มีเพื่อนนักวิ่ง งานนี้เรียกว่าลุยเดี่ยวตั้งแต่เริ่มซ้อม) คราวนี้เพื่อนร่วมทาง 42.195 ทั้งไทยและต่างชาติไม่เยอะเหมือน 16.8 กิโลแต่ทุกคนมีความมุ่งมั่นกว่ามาก แอบมองรองเท้านักวิ่งทั้งหลายสรุปว่ามีแทบทุกแบบทุกยี่ห้อครับที่นำมาใส่วิ่งมาราธอนตั้งแต่พื้นบางแบบเท้าเปล่าไปจนถึงพื้นหนาๆ ถึงเวลาปล่อยตัวตี 4.30 ออกวิ่งไปเรื่อยตามทาง คิดอยู่ในใจว่าถ้าเป็นสมัยก่อนเวลานี้คงปาร์ตี้อยู่ไหนซักที่แต่ตอนนี้มาวิ่งมาราอน จะวิ่งถึงเส้นชัยกี่โมงผมเองคาดเดาไม่ได้เพราะเป็นครั้งแรก รู้อย่างเดียวว่าต้องไปให้ถึง กิโลที่ 12 บนทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนีเจอลุงป้อมที่เคยทักกันที่ศูนย์กีฬาประชาชื่น ผมบอกกับลุงแกว่า "ทำไมมันไกลจัง วิ่งมาตั้งนานแค่ 12 กิโลเอง" ลุงแกตอบผมว่า "ยังอีกไกลแต่วิ่งไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึง" ผมแวะจิบน้ำตามจุดให้น้ำตามที่ลุงแกแนะนำ พอถึงครึ่งทาง 21 กิโล ผมเร่งความเร็วขึ้นจากที่ศึกษามาว่าหากครึ่งทางแล้วยังแรงไม่ตกก็เป็นไปได้ที่จะเร่งเพื่อเวลาที่ดีขึ้น หลังจากนั้นประมาณกิโลที่ 28 มันก็เป็นไปตามคาดครับ ขาเริ่มหนัก ตึง ปวด ครบสูตรเลยทีนี้ ความเร็วตกเป็นเกียร์เต่า โดนแซงตรึมโดยส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นนักวิ่งสูงอายุ!!! จำได้ว่าท่าทางตอนนั้นเหมือนกับนักเดินทนมากกว่านักวิ่ง กิโลที่ 28-36 เป็นช่วงที่ยากที่สุดสำหรับผมเพราะแรงขาและกำลังของร่างกายโดยรวมกำลังแผ่วลงเรื่อยๆ แต่หากใจเราพยายามที่จะจบให้ได้อย่างดีที่สุดอดทนต่อไปเรื่อยๆ เส้นชัยจะไกล้ถึงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ถึงกิโลที่ 38 ผมมั่นใจแล้วว่าจะวิ่งถึงเส้นชัยแน่นอนเลยทำให้มีแรงพยายามฮึดเร่งขึ้นอีก พอเห็นกำแพงพระบรมมหาราชวัง เริ่มได้ยินเสียงเพลง คราวนี้ชัวร์ คอนเฟิร์ม ถึงแน่ และก็ตามสูตรครับ สร้างภาพด้วยการเร่งเร็วสุดชีวิตเข้าเส้นชัย รับเหรียญ น้ำ อาหาร เวลาอย่างเป็นทางการ 4 ชั่วโมง 26 นาที (ปีนั้นให้เหรียญก่อนวิ่ง ไม่รู้ผู้จัดคิดอะไรอยู่)
เวลาดีไม่ดีตอนนั้นไม่รู้ รู้แต่ว่าเราวิ่งจบก็พอใจแล้ว ไม่ได้ถ่ายรูปที่งานเพราะไปคนเดียวตัวเปล่าเลยรีบกลับบ้านเลย หาทางกลับยากมาก ไม่รู้จะทำไงเลยขึ้นรถเมล์เพื่อประชาชนมั่วๆให้ออกจากแถวนั้นและค่อยต่อแท็กซี่กลับบ้าน กลับถึงบ้านจึงได้ถ่ายรูปกลับเหรียญงานวิ่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิต บอกตรงๆว่าปวดและตึงไปทั้งร่างกาย ใจก็ยังสงสัยว่าทรมานอย่างนี้ ฝึกซ้อมหนัก ลำบากขนาดนี้ เราจะวิ่งมาราธอนแบบนี้อีกหรือปล่าว หรือว่ามันจะเป็นแค่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะทำอะไรสุดๆไปเลย สรุปว่าเย็นวันถัดไปก็ออกไปวิ่งเบาๆจึงยอมรับว่าการวิ่งมันทำให้ ร่างกาย จิตใจ แข็งแรงขึ้น ชีวิตโดยรวมดีขึ้น... วิ่งต่อไปเถอะ!!! อาจจะไม่รวยขึ้นเพราะว่างานอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่เราจะบ้าทำแบบข้ามวันข้ามคืนแบบไม่หลับไม่นอนอย่างที่เคยทำ แต่สุขภาพเป็นสิ่งที่เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ผมเคยตอบโทรศัพท์ที่โทรมาขายประกันว่า "ผมแข็งแรง ถึงวันที่ผมอายุ 80 ผมจะวิ่งมาราธอนให้คุณดู" ตอบไปด้วยความรำคาญ จริงๆไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงและจะทำได้หรือปล่าว แต่สิ่งที่แน่นอนคือการวิ่งระยะไกลจะเปลี่ยนชีวิตของคุณแน่นอนหากคุณได้ลองสักครั้ง
FB : https://www.facebook.com/Jazzyfrankjazz
IG : jazzyfrank
#กรุงเทพมาราธอน