รีวิวนี้จัดทำเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้จากประสบการณ์ ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับตัวฟิลเตอร์ B+W มานะครับ เห็นว่าเป็นฟิลเตอร์ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมาก แต่เห็นผู้ทีรีวิวสินค้านี้น้อย จริงอยากเป็นหนึ่งกระทู้ที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจครับ (ครั้งแรกกับการรีวิว ขาดตกบกพร่องประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)
Filter B+W ฟิลเตอร์ เกรดพรีเมี่ยม จากเยอรมัน มันดียังไง
เรียบเรียงโดย : สมัชชา งามลิขิตวัฒนกุล
ฟิลเตอร์ B+W นั้น เป็นฟิลเตอร์ที่ได้รับการยอมรับจากช่างภาพมืออาชีพทั่วโลก ที่ยืนยันได้ว่าเมื่อใส่ฟิลเตอร์ของ B+W แล้ว สามารถถ่ายภาพออกมาเสมือนกับไม่ได้ใส่ฟิลเตอร์ ซึ่งนั่นเป็นข้อดีที่สามารถทำให้ดึงประสิทธิภาพของเลนส์นั้นๆ ออกมาได้มากที่สุด
แล้วฟิลเตอร์ตัวอื่นล่ะ มันไม่ดีหรอ?? สำหรับฟิลเตอร์เกรดทั่วไปที่ใช้กันนั้น ก็สามารถใช้ถ่ายภาพได้เช่นกัน แต่จะมีผลอย่างเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อถ่ายย้อนแสง ถ่ายเข้าที่มีไฟแรงๆ เช่นหลอดไฟ ดวงไฟต่างๆ จะทำให้เกิดแฟร์ โกส หรือที่เราเห็นแสงเพี้ยนในภาพ
ฟิลเตอร์ B+W นั้นมีหลายประเภท หลายเกรด เหมือนกับยี่ฮ้ออื่นๆ ผมจะจำแนกฟิลเตอร์ B+W ตามเกรดและประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้
เกรดและรุ่นต่างๆ ของฟิลเตอร์ B+W
- ฟิลเตอร์ B+W F-pro ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีการเคลือบโค้ดเพียงชั้นเดียว Sigle Coat ทั้งบนและล่าง เป็นตัวล่างสุดของทาง B+W การเช็ดทำความสะอาดทำได้อยู่ในเกณฑ์ดี รุ่นเก่าใช้วัสดุเป็นอัลลอย(ALLOY) รุ่นใหม่ใช้วัสดุเป็นทองเหลือง(BRASS) เป็นฟิลเตอร์รุ่นประหยัดของทาง B+W เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ฟิลเตอร์เกรดยี่ฮ้อดีสักตัวแต่ราคาไม่แพงมากนัก ถึงแม้ตัวนี้จะเป็นตัวล่างของทาง B+W แต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ช่างภาพระดับกลาง ทอป ก็เลือกใช้ได้เช่นกัน
- ฟิลเตอร์ B+W F-pro MRC ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีการเคลือบโค้ดที่หน้าผิวเลน 4 ชั้น ทั้งบนและล่าง ซึ่ง MRC ในที่นี้ย่อมาจากคำว่า Multi Resistant Coating คือการโค้ดหลายชั้น การที่มีผิวเคลือบโค้ดที่มากขึ้นจะช่วยในการถ่ายภาพเข้าในที่แสงไฟแรงๆ ได้ดีขึ้น ลดการเกิดแฟร์และโกสของภาพได้ดีขึ้น รุ่นเก่าใช้วัสดุเป็นอัลลอย(ALLOY) รุ่นใหม่ใช้วัสดุเป็นทองเหลือง(BRASS) เป็นฟิลเตอร์ระดับกลางของทาง B+W ซึ่งช่างภาพระดับกลางและทอปจะเลือกใช้กัน เพราะเป็นฟิลเตอร์ที่ดึงความสามารถของเลนได้ออกมาค่อนข้างสมบูรณ์มาก สีเพี้ยนน้อยหรือแทบไม่ต่างกันเลย
- ฟิลเตอร์ B+W XS-pro Nano MRC ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีการเคลือบโค้ดที่หน้าผิวเลน 8 ชั้น ทั้งบนและล่าง โดยที่ชั้นที่ 8 ทั้งบนและล่างเป็นการเคลือบสารพิเศษของทาง B+W ตัวฟิลเตอร์มีความบางพิเศษ XS ย่อมาจาก Extra Slim ทำให้เช็ดทำความสะอาดได้ง่ายมาก น้ำหยดลงบนฟิลเตอร์จะมีคุณสมบัติคล้ายอยู่บนใบบัว รุ่นนี้เป็นรุ่นทอปสุดของทาง B+W ตัวฟิลเตอร์มีความบางลง วัสดุทำจากทองเหลือง มีความคงทนแข็งแรง อายุการใช้งานที่ยาวนาน เรื่องภาพที่ได้จากฟิลเตอร์นี้มีความสเหมือนจริงมากที่สุดเมื่อเทียบกับฟิลเตอร์รุ่นทอปยี่ฮ้อยอดนิยมตามท้องตลาด ฟิลเตอร์นี้เหมาะสำหรับช่างภาพทีจริงจังในการถ่ายรูป ช่างภาพระดับโปร หรือผู้ที่ต้องการดึงความสามารถของเลนนั้นๆ ออกมาให้ได้มากที่สุด
Filter B+W ประเภท XS-PRO กับ F-PRO
ฟิลเตอร์ B+W จะมีรหัสด้านหน้าระหว่างตัว XS-PRO และ ตัว F-PRO ตัวที่เป็น XS-PRO จะเป็นตัวทอปของฟิลเตอร์ตระกูล B+W ซึ่ง 2 ประเภทนี้มีข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดอยู่พอสมควร ดังนี้
- XS-PRO (3 MM) จะมีความบางกว่าตัว F-PRO (5 MM)
- การโค้ทผิว ตัว XS-PRO จะโค้ททั้งหมด 8 ชั้นบนและ 8 ชั้นล่าง ซึ่งชั้นที่ 8 ของทั้งบนและล่างจะเป็นการโค้ทผิวแบบ NANO พิเศษของทาง B+W ซึ่งทำให้สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย เมื่อน้ำหยดลงบนหน้าฟิลเตอร์หรือเทน้ำลงบนผิวฟิลเตอร์น้ำจะกลิ้งไปมาเหมือนอยู่บนใบบัว
ส่วนตัว F-PRO จะแยกออกเป็น 2 ชนิด แบบ Sigle Coat (โค้ทชั้นเดียว) และ MRC (Multi Resistant Coating) การโค้ทหลายชั้น ซึ่งตัว MRC จะโค้ททั้งหมด 4 ชั้น ถึงแม้ว่าจะโค้ทน้อย แต่ความเคลียใสของภาพก็ยังมีความสามารถที่อยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก เพียงแต่ว่าอาจจะเช็ดทำความสะอาดได้ไม่ง่ายเท่าตัว XS-PRO
- ความหนาของตัวกระจกตัว XS-PRO (1.2 MM) จะบางกว่าตัว F-PRO (1.8 MM)
ระหว่าง 007 Clear กับ 010 UV-Haze แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร
สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มใช้ฟิลเตอร์ B+W ก็จะมาสงสัยอีกว่าทำไมถึงมีประเภทยิบย่อยอีก จริงๆ แล้วในฟิลเตอร์เกรดเดียวกันแต่ มีข้อแตกต่างกันตรง 007 Clear กับ 010 UV-Haze นั้น สามารถอธิบายได้ดังนี้
007 Clear เป็นตัวที่ไม่ได้มีการเคลือบสาร UV ที่หน้าผิวเลน ทำให้ประสิทธิภาพในความเคลียใสของภาพทำได้ดีกว่าและมากกว่า
010 UV-Haze เป็นตัวที่มีการเคลือบสาร UV ที่หน้าผิวเลน ช่วยทำให้ภาพมีความเคลียในการถ่ายภาพที่มีรังสี UV
แล้วที่นี้ตัวไหนดีกว่ากัน ปัจจุบันนั้น กล้องยุคใหม่ จะเคลือบ UV มาที่ผิวเลนอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเคลือบที่ตัวฟิลเตอร์อีกก็ได้ ถ้าตามทฤษฎีตัว 007 Clear จะลดความสารถของเลนได้น้อยกว่า ก็คือให้ภาพสมจริงระดับ 99.9 % แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัว 010 UV-Haze จะด้อยกว่ามากมาย อาจจะเหลือความสามารถของเลนประมาณ 99.7 % ฉะนั้นในทางปฎิบัติแล้ว ใช้ฟิลเตอร์ไหนก็ได้ แทบไม่ต่างกันเลยถ้าเอาภาพมาเปรียบเทียบ นอกจากคุณจะซูมภาพเกิน 100 % อาจจะมีข้อแตกต่างบ้าง ก็แล้วแต่คุณจะเลือกละครับว่าชอบแบบไหน
สรุปข้อดีของฟิลเตอร์ B+W
- ทำความสะอาดง่าย
- สีของภาพไม่ค่อยเพี้ยนหรือเพี้ยนน้อยมาก
- มีความแข็งแรงทนทาน อายุการใช้งานที่ยาวนาน 5-10 ปี
- เมื่อใส่ฟิลเตอร์เป็นระยะเวลาหลายปี จะทำให้ฟิลเตอร์บางตัว (เกรดทั่วไป) ไม่สามารถถอดออกได้ อันเกิดมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ อุณภูมิมีผลต่อการยืด-หดตัวของฟิลเตอร์ทำให้บีบแน่นจนเกินไป , มีการกระแทก กระทบ กระเทือนที่ตัวฟิลเตอร์ ทำให้ฟิลเตอร์มีอาการผิดรูปเนื่องจากฟิลเตอร์ที่อ่อนนุ่มไม่แข็งแรง จึงทำให้ถอดไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้ฟิลเตอร์ B+W มีความคงทนแข็งแรงในตัววัสดุมาอยู่แล้ว จึงมั่นใจได้ว่าสามารถถอดเข้าใส่ออกได้ตลอดเวลา แม้ผ่านไปหลายปี
- เมื่อฟิลเตอร์แตก จะไม่ทำลายบนผิวหน้าตัวเลน เนื่องจากฟิลเตอร์จะแตกละเอียดเป็นเม็ดๆ (ข้อนี้ไม่มั่นใจนะครับ เคยได้ยินมาอีกที)
- วัสดุของขอบฟิลเตอร์ มีทั้งแบบเป็นทองเหลืองและอัลลอย แต่ทองเหลืองจะมีอายุการใช้งานที่ทนทานกว่า
ทองเหลืองดีกว่าอัลลอยอย่างไร
1.แข็งแรงกว่า คงรูปได้ดีกว่า
2.วัสดุเป็นคนละชนิดกับเมาส์เลนส์ ทำให้ลดปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิต หรือการเกิด
อ๊อกซิไดซ์ ระหว่างเลนส์กับฟิลเตอร์ ซึ่งทำให้หมุนออกยาก บ้านเราไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตแต่จะเกิดกรณีหลังมากกว่า
3.น้ำหนักมากกว่า( Filter mounts ขอบทองเหลือง หนักราวๆ 91กรัม(77mm) หนักกว่าอัลลอยเกือบ 2เท่า)
ปล.หากท่านใดมีข้อเสนอแลกเปลียนความรู้สามารถคุยกันได้ครับ ยินดีรับเรื่องหลังไมล์
ขอบคุณผู้ที่ติดตามอ่านครับ
CR:
http://www.schneiderkreuznach.com/en/photo-imaging/product-field/b-w-fotofilter/products/product-lines/
CR :
http://www.myphotoaccessory.com/blog/compare-difference-bw-f-pro-xs-pro-uv-lens-filters/
[CR] Filter B+W ฟิลเตอร์ เกรดพรีเมี่ยม จากเยอรมัน มันดียังไง
Filter B+W ฟิลเตอร์ เกรดพรีเมี่ยม จากเยอรมัน มันดียังไง
เรียบเรียงโดย : สมัชชา งามลิขิตวัฒนกุล
ฟิลเตอร์ B+W นั้น เป็นฟิลเตอร์ที่ได้รับการยอมรับจากช่างภาพมืออาชีพทั่วโลก ที่ยืนยันได้ว่าเมื่อใส่ฟิลเตอร์ของ B+W แล้ว สามารถถ่ายภาพออกมาเสมือนกับไม่ได้ใส่ฟิลเตอร์ ซึ่งนั่นเป็นข้อดีที่สามารถทำให้ดึงประสิทธิภาพของเลนส์นั้นๆ ออกมาได้มากที่สุด
แล้วฟิลเตอร์ตัวอื่นล่ะ มันไม่ดีหรอ?? สำหรับฟิลเตอร์เกรดทั่วไปที่ใช้กันนั้น ก็สามารถใช้ถ่ายภาพได้เช่นกัน แต่จะมีผลอย่างเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อถ่ายย้อนแสง ถ่ายเข้าที่มีไฟแรงๆ เช่นหลอดไฟ ดวงไฟต่างๆ จะทำให้เกิดแฟร์ โกส หรือที่เราเห็นแสงเพี้ยนในภาพ
ฟิลเตอร์ B+W นั้นมีหลายประเภท หลายเกรด เหมือนกับยี่ฮ้ออื่นๆ ผมจะจำแนกฟิลเตอร์ B+W ตามเกรดและประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้
เกรดและรุ่นต่างๆ ของฟิลเตอร์ B+W
- ฟิลเตอร์ B+W F-pro ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีการเคลือบโค้ดเพียงชั้นเดียว Sigle Coat ทั้งบนและล่าง เป็นตัวล่างสุดของทาง B+W การเช็ดทำความสะอาดทำได้อยู่ในเกณฑ์ดี รุ่นเก่าใช้วัสดุเป็นอัลลอย(ALLOY) รุ่นใหม่ใช้วัสดุเป็นทองเหลือง(BRASS) เป็นฟิลเตอร์รุ่นประหยัดของทาง B+W เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ฟิลเตอร์เกรดยี่ฮ้อดีสักตัวแต่ราคาไม่แพงมากนัก ถึงแม้ตัวนี้จะเป็นตัวล่างของทาง B+W แต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ช่างภาพระดับกลาง ทอป ก็เลือกใช้ได้เช่นกัน
- ฟิลเตอร์ B+W F-pro MRC ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีการเคลือบโค้ดที่หน้าผิวเลน 4 ชั้น ทั้งบนและล่าง ซึ่ง MRC ในที่นี้ย่อมาจากคำว่า Multi Resistant Coating คือการโค้ดหลายชั้น การที่มีผิวเคลือบโค้ดที่มากขึ้นจะช่วยในการถ่ายภาพเข้าในที่แสงไฟแรงๆ ได้ดีขึ้น ลดการเกิดแฟร์และโกสของภาพได้ดีขึ้น รุ่นเก่าใช้วัสดุเป็นอัลลอย(ALLOY) รุ่นใหม่ใช้วัสดุเป็นทองเหลือง(BRASS) เป็นฟิลเตอร์ระดับกลางของทาง B+W ซึ่งช่างภาพระดับกลางและทอปจะเลือกใช้กัน เพราะเป็นฟิลเตอร์ที่ดึงความสามารถของเลนได้ออกมาค่อนข้างสมบูรณ์มาก สีเพี้ยนน้อยหรือแทบไม่ต่างกันเลย
- ฟิลเตอร์ B+W XS-pro Nano MRC ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีการเคลือบโค้ดที่หน้าผิวเลน 8 ชั้น ทั้งบนและล่าง โดยที่ชั้นที่ 8 ทั้งบนและล่างเป็นการเคลือบสารพิเศษของทาง B+W ตัวฟิลเตอร์มีความบางพิเศษ XS ย่อมาจาก Extra Slim ทำให้เช็ดทำความสะอาดได้ง่ายมาก น้ำหยดลงบนฟิลเตอร์จะมีคุณสมบัติคล้ายอยู่บนใบบัว รุ่นนี้เป็นรุ่นทอปสุดของทาง B+W ตัวฟิลเตอร์มีความบางลง วัสดุทำจากทองเหลือง มีความคงทนแข็งแรง อายุการใช้งานที่ยาวนาน เรื่องภาพที่ได้จากฟิลเตอร์นี้มีความสเหมือนจริงมากที่สุดเมื่อเทียบกับฟิลเตอร์รุ่นทอปยี่ฮ้อยอดนิยมตามท้องตลาด ฟิลเตอร์นี้เหมาะสำหรับช่างภาพทีจริงจังในการถ่ายรูป ช่างภาพระดับโปร หรือผู้ที่ต้องการดึงความสามารถของเลนนั้นๆ ออกมาให้ได้มากที่สุด
Filter B+W ประเภท XS-PRO กับ F-PRO
ฟิลเตอร์ B+W จะมีรหัสด้านหน้าระหว่างตัว XS-PRO และ ตัว F-PRO ตัวที่เป็น XS-PRO จะเป็นตัวทอปของฟิลเตอร์ตระกูล B+W ซึ่ง 2 ประเภทนี้มีข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดอยู่พอสมควร ดังนี้
- XS-PRO (3 MM) จะมีความบางกว่าตัว F-PRO (5 MM)
- การโค้ทผิว ตัว XS-PRO จะโค้ททั้งหมด 8 ชั้นบนและ 8 ชั้นล่าง ซึ่งชั้นที่ 8 ของทั้งบนและล่างจะเป็นการโค้ทผิวแบบ NANO พิเศษของทาง B+W ซึ่งทำให้สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย เมื่อน้ำหยดลงบนหน้าฟิลเตอร์หรือเทน้ำลงบนผิวฟิลเตอร์น้ำจะกลิ้งไปมาเหมือนอยู่บนใบบัว
ส่วนตัว F-PRO จะแยกออกเป็น 2 ชนิด แบบ Sigle Coat (โค้ทชั้นเดียว) และ MRC (Multi Resistant Coating) การโค้ทหลายชั้น ซึ่งตัว MRC จะโค้ททั้งหมด 4 ชั้น ถึงแม้ว่าจะโค้ทน้อย แต่ความเคลียใสของภาพก็ยังมีความสามารถที่อยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก เพียงแต่ว่าอาจจะเช็ดทำความสะอาดได้ไม่ง่ายเท่าตัว XS-PRO
- ความหนาของตัวกระจกตัว XS-PRO (1.2 MM) จะบางกว่าตัว F-PRO (1.8 MM)
ระหว่าง 007 Clear กับ 010 UV-Haze แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร
สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มใช้ฟิลเตอร์ B+W ก็จะมาสงสัยอีกว่าทำไมถึงมีประเภทยิบย่อยอีก จริงๆ แล้วในฟิลเตอร์เกรดเดียวกันแต่ มีข้อแตกต่างกันตรง 007 Clear กับ 010 UV-Haze นั้น สามารถอธิบายได้ดังนี้
007 Clear เป็นตัวที่ไม่ได้มีการเคลือบสาร UV ที่หน้าผิวเลน ทำให้ประสิทธิภาพในความเคลียใสของภาพทำได้ดีกว่าและมากกว่า
010 UV-Haze เป็นตัวที่มีการเคลือบสาร UV ที่หน้าผิวเลน ช่วยทำให้ภาพมีความเคลียในการถ่ายภาพที่มีรังสี UV
แล้วที่นี้ตัวไหนดีกว่ากัน ปัจจุบันนั้น กล้องยุคใหม่ จะเคลือบ UV มาที่ผิวเลนอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเคลือบที่ตัวฟิลเตอร์อีกก็ได้ ถ้าตามทฤษฎีตัว 007 Clear จะลดความสารถของเลนได้น้อยกว่า ก็คือให้ภาพสมจริงระดับ 99.9 % แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัว 010 UV-Haze จะด้อยกว่ามากมาย อาจจะเหลือความสามารถของเลนประมาณ 99.7 % ฉะนั้นในทางปฎิบัติแล้ว ใช้ฟิลเตอร์ไหนก็ได้ แทบไม่ต่างกันเลยถ้าเอาภาพมาเปรียบเทียบ นอกจากคุณจะซูมภาพเกิน 100 % อาจจะมีข้อแตกต่างบ้าง ก็แล้วแต่คุณจะเลือกละครับว่าชอบแบบไหน
สรุปข้อดีของฟิลเตอร์ B+W
- ทำความสะอาดง่าย
- สีของภาพไม่ค่อยเพี้ยนหรือเพี้ยนน้อยมาก
- มีความแข็งแรงทนทาน อายุการใช้งานที่ยาวนาน 5-10 ปี
- เมื่อใส่ฟิลเตอร์เป็นระยะเวลาหลายปี จะทำให้ฟิลเตอร์บางตัว (เกรดทั่วไป) ไม่สามารถถอดออกได้ อันเกิดมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ อุณภูมิมีผลต่อการยืด-หดตัวของฟิลเตอร์ทำให้บีบแน่นจนเกินไป , มีการกระแทก กระทบ กระเทือนที่ตัวฟิลเตอร์ ทำให้ฟิลเตอร์มีอาการผิดรูปเนื่องจากฟิลเตอร์ที่อ่อนนุ่มไม่แข็งแรง จึงทำให้ถอดไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้ฟิลเตอร์ B+W มีความคงทนแข็งแรงในตัววัสดุมาอยู่แล้ว จึงมั่นใจได้ว่าสามารถถอดเข้าใส่ออกได้ตลอดเวลา แม้ผ่านไปหลายปี
- เมื่อฟิลเตอร์แตก จะไม่ทำลายบนผิวหน้าตัวเลน เนื่องจากฟิลเตอร์จะแตกละเอียดเป็นเม็ดๆ (ข้อนี้ไม่มั่นใจนะครับ เคยได้ยินมาอีกที)
- วัสดุของขอบฟิลเตอร์ มีทั้งแบบเป็นทองเหลืองและอัลลอย แต่ทองเหลืองจะมีอายุการใช้งานที่ทนทานกว่า
ทองเหลืองดีกว่าอัลลอยอย่างไร
1.แข็งแรงกว่า คงรูปได้ดีกว่า
2.วัสดุเป็นคนละชนิดกับเมาส์เลนส์ ทำให้ลดปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิต หรือการเกิด
อ๊อกซิไดซ์ ระหว่างเลนส์กับฟิลเตอร์ ซึ่งทำให้หมุนออกยาก บ้านเราไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตแต่จะเกิดกรณีหลังมากกว่า
3.น้ำหนักมากกว่า( Filter mounts ขอบทองเหลือง หนักราวๆ 91กรัม(77mm) หนักกว่าอัลลอยเกือบ 2เท่า)
ปล.หากท่านใดมีข้อเสนอแลกเปลียนความรู้สามารถคุยกันได้ครับ ยินดีรับเรื่องหลังไมล์
ขอบคุณผู้ที่ติดตามอ่านครับ
CR: http://www.schneiderkreuznach.com/en/photo-imaging/product-field/b-w-fotofilter/products/product-lines/
CR : http://www.myphotoaccessory.com/blog/compare-difference-bw-f-pro-xs-pro-uv-lens-filters/