ให้ 8/10 หนัง Musical ของประเทศอังกฤษ เรื่องราวของอีฟ (Emily Browning จาก Sucker Punch 2011) สาวน้อยที่มีพรสวรรค์ในการแต่งและร้องเพลง หนีออกมาจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าเข้าเมืองใหญ่ในสก๊อตแลนด์เพื่อตามหาฝันการเป็นนักร้อง จนได้มาเป็นเพื่อนและตั้งวงดนตรีร่วมกับเจมส์ หนุ่มเนิร์ดนักดนตรี และ แคสซี่ สาวน้อยไฮโซที่พยายามจะหัดเรียนแต่งเพลง
God help the Girl ถูกฉายครั้งแรกในงานเทศกาล Sundance 2014 และคว้ารางวัล World Cinema Dramatic Special Jury Award มาให้กับนักแสดงนำทั้ง 4 คน โดยหนังเรื่องนี้เป็นผลงานเขียนบทและกำกับโดย Stuart Murdoch นักร้องนำแนวเพลง Indie Pop จากวง Belle & Sebastian
เพลงวง Belle & Sebastian ที่ Stuart Murdoch เป็นคนแต่งนั้นเคยถูกใช้เป็นเพลงประกอบหนังอย่างเรื่อง
- The Devil Wears Prada (2006) เพลง I Don't Love Anyone
- Juno (2007) เพลง Piazza, New York Catcher และ Expectations
- Forgetting Sarah Marshall (2008) เพลง Get Me Away from Here I'm Dying
- (500) Days of Summer (2009) เพลง The Boy with the Arab Strap (ชอบเพลงนี้)
เนื่องจากเพลงยังเป็นแนว Indie Pop เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าหนังก็ออกจะเป็นแนว Indie นิดๆ แต่ไม่ได้ติส ไม่ได้อาร์ทหรือดูยาก หากแต่เป็นหนังที่เหมาะกับคนเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบในการฟังเพลง เสพและชื่นชมศิลปะความงามของแฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผมองค์ประกอบต่างๆ โดยส่วนตัวบอกเลยว่าชอบมากๆ
หากจะให้เปรียบเทียบ God help the Girl และ Begin Again แล้ว แม้ว่าทั้ง 2 เรื่องจะเป็นหนังเพลงเหมือนกัน แต่แนวเพลงและกลิ่นอายทั้ง 2 เรื่องต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เพลงทั้ง 2 เรื่องก็เพราะมากไม่ต่างกัน Begin Again เป็นหนังที่ตอบโจทย์คนในวงที่กว้างกว่า แมสกว่า มีจุดแข็งอยู่ตรงที่มีหลายเส้นเรื่องของแต่ละตัวละคร เนื้อเรื่องที่กลมและแข็งแรงกว่า และอยู่ในโลกของความเป็นจริง
ในขณะที่ God help the Girl ตอบโจทย์คนในวงที่เล็กลงมาหน่อย แต่มีจุดแข็งอยู่ตรงที่เรื่องจะให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกจินตนาการ ชิล ฟรุ้งฟริ้ง สดใส โลกสวย กลิ่นอายและมนตร์ขลังของสก๊อตแลนด์ การออกแบบและแคสตัวละครหลักที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจนน่ารัก อีกทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของตัวละครหลักทั้งชายและหญิงที่น่ารักอย่าบอกใคร เหมือนใส่เพื่อไปถ่ายลงปกนิตยสารตลอดเวลา ขนาดใส่ชุดเล่นฟุตบอลก็ยังน่ารัก
หนังมีการคุมโทนสีของเสื้อผ้าให้เข้ากับฉากหลังและเสื้อผ้าคนอื่นๆทุกฉาก มีการจัดองค์ประกอบของฉาก สีของภาพและมุมกล้องดี อีกทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนดู MV กึ่งๆละครเวที ซึ่งโดยส่วนตัวเพลิดเพลินสำราญใจมากในการชมหนังเรื่องนี้ที่มีทั้งหมดที่กล่าวมา โดยเฉพาะในครึ่งแรกของหนังที่สดใสเบิกบานมากๆ และถึงแม้ว่าครึ่งหลังที่เส้นเรื่องนำพาให้หนังต้องเปลี่ยน Mood and Tone ให้สดใสน้อยลงไปหน่อยก็ตาม
ปล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิดต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ค่ะ (แค่รักการดูหนังและอยากจะแชร์แลกเปลี่ยนความเห็นให้คนชอบดูหนังมาคุยกัน ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ)
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ
https://www.facebook.com/MoviesStalker
[SR] รีวิวหนังเรื่อง God help the Girl
God help the Girl ถูกฉายครั้งแรกในงานเทศกาล Sundance 2014 และคว้ารางวัล World Cinema Dramatic Special Jury Award มาให้กับนักแสดงนำทั้ง 4 คน โดยหนังเรื่องนี้เป็นผลงานเขียนบทและกำกับโดย Stuart Murdoch นักร้องนำแนวเพลง Indie Pop จากวง Belle & Sebastian
เพลงวง Belle & Sebastian ที่ Stuart Murdoch เป็นคนแต่งนั้นเคยถูกใช้เป็นเพลงประกอบหนังอย่างเรื่อง
- The Devil Wears Prada (2006) เพลง I Don't Love Anyone
- Juno (2007) เพลง Piazza, New York Catcher และ Expectations
- Forgetting Sarah Marshall (2008) เพลง Get Me Away from Here I'm Dying
- (500) Days of Summer (2009) เพลง The Boy with the Arab Strap (ชอบเพลงนี้)
เนื่องจากเพลงยังเป็นแนว Indie Pop เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าหนังก็ออกจะเป็นแนว Indie นิดๆ แต่ไม่ได้ติส ไม่ได้อาร์ทหรือดูยาก หากแต่เป็นหนังที่เหมาะกับคนเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบในการฟังเพลง เสพและชื่นชมศิลปะความงามของแฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผมองค์ประกอบต่างๆ โดยส่วนตัวบอกเลยว่าชอบมากๆ
หากจะให้เปรียบเทียบ God help the Girl และ Begin Again แล้ว แม้ว่าทั้ง 2 เรื่องจะเป็นหนังเพลงเหมือนกัน แต่แนวเพลงและกลิ่นอายทั้ง 2 เรื่องต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เพลงทั้ง 2 เรื่องก็เพราะมากไม่ต่างกัน Begin Again เป็นหนังที่ตอบโจทย์คนในวงที่กว้างกว่า แมสกว่า มีจุดแข็งอยู่ตรงที่มีหลายเส้นเรื่องของแต่ละตัวละคร เนื้อเรื่องที่กลมและแข็งแรงกว่า และอยู่ในโลกของความเป็นจริง
ในขณะที่ God help the Girl ตอบโจทย์คนในวงที่เล็กลงมาหน่อย แต่มีจุดแข็งอยู่ตรงที่เรื่องจะให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกจินตนาการ ชิล ฟรุ้งฟริ้ง สดใส โลกสวย กลิ่นอายและมนตร์ขลังของสก๊อตแลนด์ การออกแบบและแคสตัวละครหลักที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจนน่ารัก อีกทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของตัวละครหลักทั้งชายและหญิงที่น่ารักอย่าบอกใคร เหมือนใส่เพื่อไปถ่ายลงปกนิตยสารตลอดเวลา ขนาดใส่ชุดเล่นฟุตบอลก็ยังน่ารัก
หนังมีการคุมโทนสีของเสื้อผ้าให้เข้ากับฉากหลังและเสื้อผ้าคนอื่นๆทุกฉาก มีการจัดองค์ประกอบของฉาก สีของภาพและมุมกล้องดี อีกทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนดู MV กึ่งๆละครเวที ซึ่งโดยส่วนตัวเพลิดเพลินสำราญใจมากในการชมหนังเรื่องนี้ที่มีทั้งหมดที่กล่าวมา โดยเฉพาะในครึ่งแรกของหนังที่สดใสเบิกบานมากๆ และถึงแม้ว่าครึ่งหลังที่เส้นเรื่องนำพาให้หนังต้องเปลี่ยน Mood and Tone ให้สดใสน้อยลงไปหน่อยก็ตาม
ปล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิดต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ค่ะ (แค่รักการดูหนังและอยากจะแชร์แลกเปลี่ยนความเห็นให้คนชอบดูหนังมาคุยกัน ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ)
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ https://www.facebook.com/MoviesStalker